ท่านหญิงจีจอมพลัง

บทที่ 2 ชะตาแต่งงานของข้า



บทที่ 2 ชะตาแต่งงานของข้า

ฮูหยินใหญ่ตระกูลฟ่าน จ้งชิงเยียนนึกถึงปัญหาของบุตร ชายก็ได้แต่กลัดกลุ้ม ฟ่านหลี่เจี่ยเป็นลูกที่นางภาคภูมิใจ มาตลอด เขาขยันร่ำเรียน สุภาพเรียบร้อย ในยามว่างมัก จะวาดภาพ ใบหน้างดงามของลูกทั้งสองถอดแบบมาจาก นางทั้งสิ้น ช่างน่าภาคภูมิใจที่ทุกคนต่างชื่นชม

ใต้เท้าฟ่านสามีของนางกว่าจะฝ่าฟันมาจนได้เป็น เสนาบดีฝ่ายซ้ายคนสำคัญของราชสำนักช่างยากลำบาก แต่ก็อย่างที่เขาเคยบอก ยิ่งมีอำนาจและตำแหน่งสูงก็ยิ่ง ต้องระวังตัว

“ข้าคงจะมีอำนาจมากเกินไปเสียแล้ว”

“ทําไมหรือท่านพี่?”

“ฮ่องเต้คงไม่ไว้พระทัยอีกต่อไป ต้องชิงลาออกเสีย ก่อน” เมื่อเขาบอกกล่าวนางเช่นนั้น จึงได้ยื่นหนังสือขอ ลาออกอ้างว่า ต้องการไปพักผ่อนใช้ชีวิตอย่างสงบ และ เลี้ยงดูหลานๆ

ทว่าฮ่องเต้กลับไม่ปล่อยสามีนางไปโดยง่าย บังคับให้ ย้ายบุตรชายคนโตจากสังกัดเดิมมาอยู่สำนักตรวจการ เพื่อให้มาทำงานแทนบิดา ฮูหยินใหญ่รู้ว่าบุตรชายของ นางอยากจะใช้ชีวิตอย่างสงบ ใต้เท้าฟ่านซื้อที่ดินนอกเมืองไว้กว้างมากพอที่จะทำบ้านพักตากอากาศ ฟ่านหลี่ เจียจึงมักปลีกวิเวกออกไปพักที่นั่นในช่วงวันหยุด

หลังจากบุตรชายอายุครบยี่สิบ นางพยายามหารูปสตรี ในตระกูลต่างๆ ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเพื่อมาให้ฟ่านหลี่ เจี่ยเลือกเป็นฮูหยินสักคน แต่บุตรชายมิใส่ใจสตรีเหล่า นี้ ยังคงเก็บตัวอ่านหนังสือและวาดภาพต่อไป ปีนี้เขาอายุ ย่างยี่สิบเจ็ดแล้ว นับว่าเป็นชายอายุมากที่ยังไม่แต่งงานผู้ หนึ่งในเมืองหลวง ทุกคราที่นางไปร่วมวงสนทนาสมาคม หยินใหญ่ทั้งหลาย นางไม่รู้จะตอบคำถามนี้อย่างไร?

ล่าสุดมีฮูหยินผู้หนึ่งพูดถึงวัดหยกสวรรค์ว่าที่นี่สามารถ ขอพรแล้วเป็นจริง โดยเฉพาะการขอในวันพระจันทร์เต็ม ดวง ถ้ามีโอกาสได้ยันต์ที่อดีตท่านเจ้าอาวาสเขียนไว้เป็น ที่กล่าวขานกันว่าศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ฮูหยินใหญ่จ้งชิงเยียน จึงเร่งมา

“ฮูหยิน ท่านมาขอสิ่งใดหรือเจ้าคะ?”

“เจ้าคิดว่า ข้ามีความกังวลใดอีกเล่า? ปีนี้หลี่เจี่ยอายุย่าง ยี่สิบเจ็ดแล้ว ขอให้มีบุตรสาวจากตระกูลดีๆ ยอมรับการ ทาบทามก็แล้วกัน”

“ฮูหยิน ข้าว่าท่านทำให้คุณชายใหญ่ยอมรับให้ได้ก่อน เถอะ” ไปสวง สาวใช้อาวุโสที่อยู่กับฮูหยินมาตั้งแต่วัยสาวปนพิมพา

“อืม…เข้าก็พยายามอยู่ แต่เจ้าก็เห็นนี่ว่า ลูกชายของ ข้าเป็นเยี่ยงไร เห็นทีคงจะต้องพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่าง จริงจังแล้ว”

เมื่อฮูหยินจังชิงเยียนเริ่มต้นกราบพระแล้วขอพร จู่ๆ ฟ้า ก็มืดครึ้ม ลมกรรโชกแรงขึ้นจนใบไม้ปลิวว่อนทั่วลานวัด

“ฮูหยินท่านดูสิ ฟ้ามืดมิด ซ้ำลมแรงเยี่ยงนี้ไม่นานฝน คงตกหนักเป็นแน่” สิ้นคำกล่าวของไป่ส่วงฝนก็ตกลงมา อย่างหนัก จนพวกนางไม่อาจออกจากศาลาใหญ่ที่มีพระ ประธานองค์ใหญ่ตั้งอยู่ได้ “นั่นปะไร! ท่านเข้าไปหลบ ด้านในก่อนเถิดฮูหยิน ฝนสาดแรงเสียด้วย

ประตูใหญ่ของศาลานั้นสูงและกว้าง เพราะเปิดไว้ทุก บานยามฝนตกแรงจึงสาดเข้าด้านใน จ้งชิงเยียนกับไป๋ส่ วงรีบขยับเข้าไป ภายในศาลาเหลือเพียงแสงเทียนวอม แวมที่ปักอยู่หน้าพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ภายนอกมืดครึ้ม ฝนฟ้าคำราม ฟ้าแลบแปลบปลาบถี่ขึ้นๆ ทันใดนั้นเอง

เปรี้ยง!!!

“กรี๊ด!” ฟ้าผ่าอย่างแรงลงกลางลานวัด หน้าศาลาใหญ่ฮูหยินจังชิงเยียนและสาวใช้กรีดร้องขึ้นพร้อมกัน ทั้งคู่ ผวาเข้าเกาะแขนกันแน่น

ร่างของภิกษุชราถือเทียนเล่มใหญ่ปรากฏขึ้นด้านหลัง

“ตกใจมากหรือโยม

ทั้งคู่สะดุ้งเฮือก! หันขวับกลับไปมอง เมื่อเห็นเป็นภิกษุวัย ชราจึงถอนหายใจเฮือกออกมาพร้อมกัน

“อ้อ…หลวงพ่อ ฟ้าผ่าแรงมากเจ้าค่ะ” ฮูหยินจ้งตอบด้วย น้ำเสียงที่ยังสั่น

“ฮูหยินมาที่นี่เพื่อขอพรอันใดหรือ?”

“ข้าน้อยมาเพื่อขอพรให้บุตรชายคนโตฟ่านหลี่เจี๋ย เจ้าค่ะ”

“เจ้าเอาวันเกิดปีเกิดเขามาด้วยหรือไม่?”

“เอามาเจ้าค่ะ” ฮูหยินคิดจะสอดกระดาษนั้นไว้ใต้ฐาน พระหลังจากจุดธูปอธิษฐาน ทว่ายังไม่ทันได้ทำ ฝนก็ ตกลงมาเสียก่อน

“เจ้าเอามาให้อาตมาเถิด”
เมื่อฮูหยินจังส่งที่จดวันเดือนปี เวลาตกฟากของบุตร ขายให้กับภิกษุชราไป ท่านจึงยื่นแผ่นยันต์สีเหลืองให้ “เจ้ารับยันต์แผ่นนี้ไป จงเอาไปสอดไว้ใต้ที่นอนของบุตร ชายอย่าให้เขารู้ตัว แล้วพรที่ขอไว้จะสมหวัง

ฮูหยินจ้งรับยันต์ด้วยความยินดี “ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”

เปรี้ยง!!!

“ว้าย!” ทั้งสองหลับตาร้องออกมาพร้อมกัน พร้อมขยับ เข้าเกาะแขนกันแน่น ครั้นลืมตาขึ้นมา ร่างภิกษุชราผู้นั้น กลับหายไปจากศาลาแล้ว

“อ๊า! ฮูหยิน นักบวชหายไปแล้ว” ไปส่วงเนื้อตัวสั่นเทา

ฮูหยินจังตบแขนไป่ส่วงไว้ แล้วส่ายหน้ามิให้เอ่ยออกมา ดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยความหวาดหวั่น จู่ๆ ฝนก็หยุด และเมฆด่าก็เคลื่อนหายไปอย่างรวดเร็ว แสงแดดยาม บ่ายสาดเข้ามาในศาลา

“เร็วเข้าเถิดฮูหยิน ข้าแทบจะไม่ไหวแล้วเจ้าคะ” นางร้อง ลั่น แทบจะกลั้นปัสสาวะไม่ไหวด้วยความหวาดกลัว ‘วัด หยกสวรรค์สมกับเป็นวัดเก่าแก่ ข้าคิดแล้วไม่ควรจะมา วันพระจันทร์เต็มดวง’

เมื่อฮูหยินกับไป่ส่วงกลับมาถึงคฤหาสน์ตระกูลฟ่านจึงแอบพากันเอายันต์ลวดลายแปลกตาที่เขียนบนผ้าสี เหลืองขนาดใหญ่เท่าสองฝ่ามือไปสอดไว้ใต้ฟูกนอนของ ฟ่านหลี่เจี๋ย

ตกดึกคืนนั้น ฟ่านหลี่เจี๋ยฝันประหลาดนัก เขาเดินไปบน บันไดสูงชันขึ้นไปถึงวัดแห่งหนึ่งทั้งศาลาขนาดใหญ่และ เจดีย์ล้วนเป็นสีขาวบริสุทธิ์ ภิกษุชรายืนยิ้มรอที่หน้าเจดีย์ กล่าวทักทายด้วยเสียงกังวาน

“มาแล้วหรือ กําลังรออยู่เที่ยว”

“รอข้าหาไมหรือขอรับ?”

“ชะตาของแคว้นหมิงยามนี้ จำเป็นต้องหยิบยืมชะตาเจ้า มาช่วยแก้ไข ปีนี้เจ้าจำเป็นต้องแต่งงานเพื่อช่วยให้แคว้น นี้ผ่านพ้นภัยพิบัติ”

“หา! การแต่งงานของข้า จ๊กเกี่ยวอันใดกับชะตาเมือง เล่า?” ฟ่านหลี่เจี๋ยรู้สึกตกใจ เขาเป็นเพียงขุนนางเล็กๆ ในราชสำนักเท่านั้น

“การแต่งงานของเจ้าจะเปลี่ยนเรื่องเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นในแคว้นนี้ได้”


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ