Kings- of - Element

ตอนที่17 XV



ตอนที่17 XV

ณ ใจกลางเมืองฟาลัน

หลังจากที่ผมเดินเข้าเมืองมาถึงได้สังเกตเห็นความ เปลี่ยนแปลงภายในเมืองอย่างถนัดตา สิ่งก่อสร้างต่างๆ ดูทรุดโทรมอย่างเห็นได้ชัด ชาวเมืองมีสีหน้าอมทุกข์ แทบจะทุกราย รวมถึงผู้เล่นที่มีน้อยกว่าปกติเพราะถึงแม้ เมืองฟาลันจะเป็นเมืองที่เล็ก และค่อนข้างชนบท แต่ก็ มีธรรมชาติที่สวยงาม จึงเป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับต้นๆ เลยก็ว่าได้ บางครั้งก็เห็นผู้เล่นที่ระดับน้อยๆถูกพวกกิลด์ ใหญ่ที่คุมที่นี่กำลังรุมกันปล้นจี้จำนวนไม่น้อย แต่ผมก็ไม่ ได้เข้าไปช่วยแต่อย่างใด เพราะไม่อยากจะมีปัญหามาก เท่าไหร่นัก ผมเองก็ใช่ว่าจะเป็นคนดีที่เห็นคนอื่นที่ไม่รู้จัก กําลังเดือดร้อนแล้วแปลงร่างเป็นฮีโร่เข้าไปช่วยโดยไม่คิด หน้าคิดหลังก่อน แต่ถ้าคนๆนั้นเป็นเพื่อน หรือคนรู้จัก ผม ก็พร้อมที่จะเข้าไปช่วยโดยไม่สนใจว่าพวกมันจะยิ่งใหญ่ มาจากไหน ผมก็พร้อมที่จะเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อคนที่ผมรัก และเคารพอย่างแน่นอน

“นี่คือเมืองที่ฉันกับราชาร่วมกันสร้างจริงๆหรอเนี่ยรู้สึกจะรับไม่ได้หน่อยๆแล้ว” ผมพูดลอยๆในขณะที่ กำลังมองดูชาวเมือง และผู้เล่นอย่างเห็นใจ ผมพยายาม ไม่สนใจสิ่งเหล่านั้น และเดินตรงไปยังท้ายเมืองเพื่อหา ร้านๆหนึ่ง เดินมาได้ไม่นานผมมาหยุดอยู่หน้าร้านขาย และ ซ่อมแซมอาวุธ ลักษณะของมันเป็นบ้านทรงไม้เก่าๆหลัง หนึ่งซึ่งดูทรุดโทรมอย่างมาก ผมไม่รีรอรีบเดินเข้าไปใน ร้านทันที

“มีคนอยู่มั้ยค้าบบบ………. ผมไม่เห็นคนอยู่ในร้านจึง ตะโกนเรียกหา และไม่นานก็มีเสียงตอบกลับมา

“มีโว้ยมี! รอข้าแปปนึง

ไม่นานเกินรอชายรูปร่างสูงใหญ่มีกล้ามเป็นมัดๆ อายุ ราวๆ 40 กว่าปี เดินออกมาจากประตูหลังร้าน สภาพของ เขาดูมอมแมม เนื้อตัวเต็มไปด้วยเหงื่อไคลไหลย้อยออก

มา

“ต้องการอะไร ไอ่หนุ่ม บอกไว้ก่อน ร้านข้าไม่ได้มีของดี อะไรหรอกนะ” เขาเรียกผมที่กำลังยืนหันหลังให้อยู่

“ไม่ได้ต้องการอะไรหรอกครับ แค่อยากถามอะไรนิดหน่อย” ผมยิ้มตอบพลันหันกลับมาคุยเผยให้เห็นใบหน้าที่ แสนคุ้นเคย

“ค คุณ….ภาคิน….!” เขาเอ่ยชื่อผมออกมาอย่าง ตะกุกตะกัก พร้อมกับหยาดน้ำสีใสที่ค่อยๆไหลออกมา จากดวงตา เป็นเวลานานเหลือเกินสำหรับการรอคอยชาย ที่สร้างเมืองนี้ขึ้นมาพร้อมกับท่านราชา ชายผู้สามารถจะ ปลดแอกพวกเขาจากพวกกิลด์ต่างๆที่มายึดครองได้ บัดนี้ ชายผู้นั้นได้มายืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว

หวัดดีครับ ลุงซารัน” ผมกล่าวทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม อย่างเคย พลางมองหน้าของลุงแกไปพลางๆ ซักพักแกก็ ปรับอารมณ์ใหม่แล้วจึงเริ่มพูดต่อ

“มานั่งคุยกันก่อนสิ” ลุงซารันชี้มือให้ผมเข้าไปรอข้างใน ร้านพร้อมเดินไปปิดประตูหน้าร้านแล้วติดป้ายว่า ‘ร้านปิด จากนั้นลุงแกก็เดินตามผมเข้าไปด้านในทันที

ผมนั่งคุยกับลุงซารันนานหลายชั่วโมงจนได้ทราบถึงเรื่อง ราวต่างๆในระหว่างที่ผมไม่อยู่ ลุงแกเล่าว่าหลังจากที่ผม หายตัวไปได้ไม่นานทำให้พวกกิลด์ใหญ่เข้ามาแทรกแทรกภายในเมืองจนค่อยๆขยายอำนาจจน สามารถบุกเข้าสังหารพระราชา และทำการยึดครอง พระราชวังได้สำเร็จ ขนาดพระราชาที่เป็นถึง NPC คลาส 7 ยังด้านพลังของพวกมันไม่ไหวเพราะพวกมันมี 1 ใน ราชันย์ที่เข้ามาช่วยหนุนในการยึดเมือง หลังจากที่พวกนั้น ยึดเมืองได้แล้ว มันได้สร้างฐานกิลด์สาขาของพวกมันขึ้น มาทันที พร้อมทั้งตั้งกฎเกณฑ์มากมายที่เอื้อผลประโยชน์ ให้กับพวกมันอย่างมหาศาลส่งผลให้ชาวเมืองตกระกำ ลำบากอย่างที่เห็น

แล้วคุณภาคินจะเอาไงต่อครับ?” ลุงซารันพูดขึ้นด้วย ” สีหน้าเคร่งเครียด

“ยึดเมืองคืนมาไงครับ”

“มีอะไรให้ผมช่วยก็บอกได้เลยนะ ผมยินดีอย่างมาก”

“ไม่เป็นไรครับ ศึกครั้งนี้ผมขอจัดการเองจะดีที่สุด”

“แต่ว่า……” ซารันคัดค้าน เขาเองก็อยากมีส่วนร่วมในการ ยึดเมืองกลับมาด้วยเหมือนกัน

“เชื่อใจผมเถอะ ผมมีของดีเยอะ…..” ผมยิ้มตอบกลับไปจากนั้นก็เดินออกจากร้านไป ทิ้งให้ซารันยืนมองแผ่นหลัง อันคุ้นเคยของผมที่เต็มไปด้วยความมั่นใจเหมือนคราว สมัยก่อนอยู่แบบนั้น

ดวงตะวันลับขอบฟ้าไป พร้อมสลับสับเปลี่ยนกับ พระจันทร์ขึ้นมาส่องแสงในยามค่ำคืน หมู่ดวงดาวพลัน ระยิบระยับสวยงามอยู่เต็มท้องฟ้า ผมที่มองดูอยู่บน หลังคาของอาคารที่คิดว่าคงสูงที่สุดของเมืองแล้วพลัน ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “คงได้เวลาไปเอาเมืองคืนแล้ว สินะ” ผมเสยะยิ้มพลันเปลี่ยนเอาชุดเซตของจริงขึ้นมาใส่ พร้อมเอายศแห่งราชันย์ขึ้นแสดง พร้อมกับเรียกใช้ทักษะ ล่องหน และพุ่งตรงไปยังพระราชวังทันที

ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงที่หมาย ผมหยุดมองสถานที่ตรง หน้าพลันกวาดสายตามองดูรอบๆเพื่อประเมินกองกำลัง ของอีกฝ่าย พบว่ามีทหารเฝ้ายามจำนวนไม่น้อย และผู้เล่น จากกิลด์ Tragedy อีกจำนวนหนึ่ง ระดับโดยเฉลี่ยของทั้งหมดอยู่ประมาณ 700 ต้น แต่ไม่เป็นอุปสรรค แต่อย่างใด รอบๆพระราชวังมีบาเรียเวทย์คลุมเอาไว้อยู่ คิดว่าอย่างน้อยๆก็เป็นบาเรียระดับ A คงไม่เกินระดับ S เป็นแน่ พวกมันคงไม่ลงทุนลงแรงสร้างบาเรียระดับสูงไว้ กับเมืองเล็กๆแบบนี้หรอก

“คงได้เวลาลองของใหม่แล้วสินะ….”

Battle Mode …… ON

ทันทีที่เรียกใช้ทักษะพลันปรากฏเปลวเพลิงลุกโชนรอบ ตัวผม มันค่อยๆรวมตัวกันเป็นเกราะโปร่งแสงสีแดงอ่อนๆ จากนั้นก็เริ่มแปรเปลี่ยนจนกลายเป็นเกราะส่วนต่างๆทั่วร่าง มีผ้าคลุมเป็นเปลวเพลิงปลิวพริ้วไหวอยู่ด้านหลัง ทั่วทั้งตัว มีเพลิงสีแดงอ่อนๆลุกท่วมอยู่ตลอดเวลา คันธนูพลันขยาย ใหญ่จากเดิมขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับร่างกายที่เริ่มรู้สึกถึง พลังที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม

“ใช้ได้แฮะ รู้สึกกระปรี้กระเปร่าอย่างบอกไม่ถูก” ผมพูด เชยชมกับรูปร่างที่พึ่งเห็นครั้งแรกราวกับเด็กเห่อของเล่น แต่เวลาไม่เคยรอใคร เพราะมันจำกัดเวลาแค่ 90 วินาที เท่านั้น
Power Shot

สกิลเจาะเกราะถูกรวยิงใส่มาเรียไม่ยั้ง คุ้ม….บาเรียเริ่ม นไหว ผมถึงกับตกใจเพราะไม่คิดว่าเพียงแค่สกิลเดียวจะ ทําให้มาเรียขนาดใหญ่แบบนี้สะเทือบได้ ผมยิ้มมุมปากเพ ราะ มติดใจทักษะใหม่นี้ขึ้นมาซะแล้วสิ ไม่รอช้าระดมสกิล ใสแบบจัดเต็มอีกครั้ง

มม…มมม… เสียงสกิลต่างๆนาๆ เข้าปะทะกับบาเรีย งสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว เหล่าผู้เล่น และ NPC ที่เป็นทหาร รักษาอยู่ข้างในล้วนวิ่งเต้นหาที่มาของเสียงที่ดังขึ้น

“เกิดอะไรขึ้น!” ผู้เล่นคนหนึ่งพูดขึ้น

“ไม่ทราบครับหัวหน้า แต่คาดว่าคงจะเป็นศัตรู”

“ศัตรูงั้นหรอ ใครกันที่กล้าทำการอุกอาจแบบนี้ หรือจะ เป็นราชันย์แดง!”

“ไม่ทราบเหมือนกันครับ”

“จะเป็นใครก็ชั่ง ริมหาตัวมันให้เจอ และจัดการมันเร็วเข้า!”

“รับทราบครับ!”

“หัวหน้าครับ เราพบศัตรูแล้วครับ” ลูกน้องผู้มาใหม่พูดขึ้น

มา

“ดี! พวกมันมีกันกี่คน”

“มีแค่คนเดียวครับ….”

“ว่าไงนะ!….เป็นไปไม่ได้ แค่คนเดียวถึงกับทำบาเรียเสีย หายได้ขนาดนี้ รีบระดมคนไปจัดการมันให้เร็วที่สุดเร็ว เข้า!”

กองกำลังทหารทั้งผู้เล่น และ NPC ต่างพากันยกกอง กำลังของตัวเองเพื่อมุ่งไปจัดการตัวต้นเหตุที่ตอนนี้กำลัง ทำลายบาเรียระดับ S เป็นว่าเล่น ใช้เวลาไม่นานพวกเขาก็ มาถึงจุดหมายแต่มันคงจะสายเกินไปเสียแล้ว

“นั่นไง มันอยู่นั่น!”
“บ้าน่า!”

“เป็นไปไม่ได้!”

ภาพที่พวกเขาเห็นตอนนี้คือ ผู้เล่นเพียงคนเดียวที่กำลัง ระดมสกิลใส่มาเรียอย่างไม่หยุดยั้ง จนกระทั่งมาเรียนั้น แตกลงต่อหน้าต่อตาพวกเขาโดยที่ไม่มีโอกาสได้ปกป้อง เลยแม้แต่น้อย

หลังจากที่ทำลายบาเรียลงได้แล้ว ผมรีบใช้ทักษะล่องหน หลบหนีออกจากวงล้อมของพวกทหารทันที ช่วงดีที่พวก นั้นไม่มีผู้เล่นสายตรวจจับทำให้ง่ายต่อการฝ่าวงล้อมออก มา ผมคๆอยลอบเข้าไปโดยกระโดดขึ้นบนหลังคาอย่าง รวดเร็วเพื่อมุ่งหน้าไปหาที่อยู่ของพระราชา เมื่อมาถึงที่ หมายแล้วผมกระโดดเข้าหน้าต่างของห้องนอนพระราชา โดยทันที เมื่อเข้ามาถึงเบื้องหน้าของผมปรากฏเป็นหนุ่ม ใหญ่นั่งกุมขมับอยู่บนโต๊ะทำงาน

-ไงตาแก่ เครียดตายละมั้งแบบนี้” ผมยิ้มแซวคนคุ้นเคย หน้าทะเล้น

“เหอะ ขาตายแหละ กว่าจะมานะเอ็ง คงรู้เรื่องทุกอย่าง แล้วสินะ จะฆ่าก็รีบฆ่าไม่ต้องมาลีลา” พระราชาไม่มีท่าที ตกใจเลยแม้แต่น้อยที่เห็นผมโผล่มา เขากล่าวอย่างรู้ ความหมายการมาเยือนของผม เพราะหากผมสังหารพระ ราชาได้แล้ว เมืองก็จะกลายมาเป็นเมืองของผมดังเดิม

กฏของการยึดเมืองคือ การสังหารผู้ปกครองเมืองนั้นไม่ ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม เมื่อสังหารผู้ครองเมืองได้แล้ว ทหาร NPC ที่อยู่ภายใต้การปกครองจะแปรพรรคทันที และผู้ปกครองเมืองจะฟื้นขึ้นมาอีกครั้งด้วยความภัคดีต่อผู้ ที่ยึดเมืองได้

ผมก็ไม่รอช้ากระหน่ำสกิลใส่พระราชาในทันที ไม่มีแม้แต่ เสียงร้องของชายแก่ตรงหน้าทิ้งไว้แต่เพียงรอยยิ้มด้วย ความปิติยินดี ไม่นานหลังจากที่พระราชากลายเป็นแสง ตายไป ละอองแสงยังคงไม่ไปไหน มันยังคงวนไปวนมายัง จุดที่พระราชาตายดังเดิม
ขอแสดงความยินดีกับผู้เล่น ภาคิน ด้วยค่ะที่สามารถยึด เมืองฟาลันได้สำเร็จ

ผู้เล่นสามารถตวรจสอบสิทธิต่างๆเกี่ยวกับเมืองของผู้เล่น ได้ที่หน้าต่างของระบบค่ะ

ผมขอบคุณคุณผู้อ่านทุกท่านไว้ล่วงหน้าที่สนับสนุนงาน เขียนของผม และอย่าพึ่งทิ้งกันไปไหนนะครับ^^

และก็ยังสามารถติชม ได้เหมือนเดิมนะครับ ผมจะนำไป ปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นต่อไป..


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ