ตอนที่ 5 พบเจอกันเมื่อครั้นเยี่ยมไข้
ซุนฮูหยินน้อยคลายยิ้มแล้วพูดขึ้น “ท่านแม่พูดถูกเจ้าค่ะ”
“เฮ้อ! ไปกันเถอะ เจ้าสามของพวกเราช่างอาภัพเสียจริง อายุกยี่สิบสองแล้ว ไม่เพียงไม่มีบุตรชาย แม้กระทั่งบุตรีก็ยัง ไม่มี แต่กลับยังให้ข้าที่เป็นมารดาคอยเป็นห่วงเรื่องในเรือน ของเขาอีก” หลังจากที่ลู่ฮูหยินเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ นางก็ส่อง เครื่องแต่งกายของตนผ่านคันฉ่องทองเหลืองขนาดเต็มตัว จากนั้นก็พาสะใภ้ทั้งสองออกไป
เหยาเยี่ยนอกินมื้อค่ำในเรือนของตน ตลอดหลายวันที่ เหยาเฟิงเกอล้มป่วยนั้น นางได้ต่อเติมโรงครัวเล็กๆ เอาไว้ เห ยาหยวนจือส่งแม่ครัวมาให้นางตั้งนานแล้ว เหตุเพราะกลัวว่า บุตรีจะไม่คุ้นชินกับอาหารที่พ่อครัวในเมืองหลวง จึงตั้งใจ ส่งแม่ครัวจากเจียงหนานมา
คาดไม่ถึงว่าลู่ฮูหยินจะสั่งให้คนส่งอาหารมาให้เหยาเยี่ย นอวี่เพิ่มอีกสองอย่าง ทั้งสั่งคนส่งอาหารมาบอกว่า “เดิมที หยินอยากจะจัดงานเลี้ยงภายในตระกูลแล้วเชิญคุณหนูรอง เหยาไปร่วมโต๊ะ แต่เหตุเพราะยังอยู่ในช่วงไว้อาลัยของแคว้น ตระกูลของพวกเราไม่เหมือนตระกูลอื่น ไม่อาจต่อหน้าทำอย่าง ลับหลังกลับทำอีกอย่างได้ อีกเหตุเพราะสะใภ้สามไม่สบาย คิดว่าสะใภ้สามคงอยากจะให้คุณหนูรองคอยอยู่เคียงข้าง ดังนั้นช่วงหลายวันนี้คุณหนูรองไม่ต้องไปเรือนหลักแล้วเจ้าค่ะ แต่ คอยอยู่กับสะใภ้สามก็พอ ฮูหยินยังกล่าวอีกว่า คุณหนูรองไม่ ต้องเกรงใจเจ้าค่ะ หากมีสิ่งใดไม่คุ้นซิน ขอเพียงบอกกล่าว และหากบ่าวรับใช้ไม่เชื่อฟังหรือเกียจคร้านก็ไล่ออกได้เลย เจ้าค่ะ”
ความหมายในสิ่งที่พูดนั้นชัดเจน เจ้ายังไม่ได้เป็นชื่อ[1] ไม่ใช่สะใภ้ของตระกูลพวกเรา การปรนนิบัติรับใช้บิดามารดา ทุกเช้าค่ำนั้นไม่ใช่กงการอะไรของเจ้า เจ้ามาที่นี่เพื่อคอยอยู่ กับพี่สาวของตนเท่านั้น เช่นนั้นก็อยู่ข้างๆ พี่สาวของตนก็เพียง พอแล้ว ซึ่งสิ่งที่นางกล่าวมานั้นยังมีอีกความหมายหนึ่งที่แฝง เอาไว้ แม้จะไม่ได้เอ่ยพูดออกมา ทว่าเหยาเยี่ยนอวกลับเข้าใจ ช่วงนี้ยังเป็นช่วงไว้อาลัยของแคว้น ดังนั้นอย่าได้ไม่ถือปฏิบัติ แล้วก่อให้เกิดเรื่องเสื่อมเกียรติออกมา
เหยาเยี่ยนอวี่เหยียดกายลุกขึ้นฟังสาวใช้พูดจนจบ หลัง จากนั้นก็ขานรับ “ได้” นางหันไปมองซุยเวยครู่หนึ่ง ชัยเวยจึง รีบไปหยิบเหอเปา[2]แล้วยื่นให้กับสาวใช้
สาวใช้เองก็ไม่ได้กระมิดกระเมี้ยนแต่อย่างใด นางรับเหอ เปาแล้วย่อตัวน้อมคำนับเหยาเยี่ยนอวี่ “บ่าวขอบพระคุณใน น้ำใจของคุณหนูเป็นอย่างยิ่งเจ้าค่ะ” จากนั้นก็ถอยหลังออกไป
เหยาเยี่ยนอมองดูม่านที่ร่วงหล่นลงมา จากนั้นค่อยๆ หันหลังหย่อนกายพิงลงบนตั่งไม้ และครุ่นคิดภายในใจ ใน เมื่อหลายวันนี้ไม่ต้องไปน้อมทำความเคารพที่เรือนหลัก เช่น นั้นคิดแผนการว่าวันข้างหน้าควรจะทำเช่นไรจะดีกว่า
เรื่องที่ต้องกลายมาเป็นภรรยาคนที่สองของซอเสียงนาง ไม่อาจทำได้ การจะทำสัญญากับเขาว่าวันข้างหน้าจะไม่ข้อง เกี่ยวกัน และต่างคนต่างใช้ชีวิตตนเอง ปล่อยให้เขานอนกอด หญิงงามของเขา ส่วนตนนั้นยืนอยู่ในตำแหน่งของตนแล้วใช้ ชีวิตที่มีความสุขเพียงลำพัง? เรื่องเช่นนี้คงไม่อาจเป็นไปได้
เรื่องอื่นอย่าได้กล่าวถึงเลย เอาแค่เรื่องทายาท หาก อนุภรรยาให้กำเนิดทายาทก็ไม่อาจกล่าวถึงแล้ว หากบุตรของ ภรรยาเอกยังไม่ได้ถูกให้กำเนิด ไม่ว่าจะเป็นอนุภรรยาหรือ เมียบ่าว หลังจากร่วมหลับนอนกับสามีย่อมต้องดื่มยาต้ม คือ[3] นี่เป็นกฎที่บันทึกเอาไว้ในกฎระเบียบราชวงศ์ต้าอวิ๋น
หากตระกูลใหญ่ตระกูลใดที่มีบุตรคนโตเป็นบุตรที่เกิด จากอนุภรรยานั้น การลงโทษสถานเบาคือไร้ซึ่งอนาคต การ ลงโทษสถานหนักจะได้รับโทษฐานลุ่มหลงอนุภรรยาทำลาย ภรรยาเอก หากตระกูลเดิมของภรรยาเอกนั้นมีอำนาจ ไม่แน่ ว่าอาจจะต้องจบชีวิตลงโดยการถูกจับกุมไปขังคุกก็ได้
ดังนั้น เหยาเยี่ยนอวี่จึงรู้ว่าหากตนคิดอยากจะทำเรื่อง ยืนอยู่บนส้วมทว่าไม่ยอมถ่าย[4] ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ทั้งตระกูลซูและตระกูลเหยาต้องไม่ปล่อยนางเอาไว้แน่ หาก สมรสเจ็ดปีแล้วไม่ทำการใด ย่อมต้องถูกขับไล่ออกไปจากวงศ์ ตระกูล ถึงเวลานั้น สินสมรสต่างๆ เกรงว่าคงต้องเหลือเอาไว้ ให้ชื่อ ทว่านางไม่อาจรอจนครบเจ็ดปีได้
ชุ่ยเวยที่เดินไปส่งสาวใช้ในเรือนหลักกลับไปแล้วเดิน กลับมา นางเห็นคุณหนูของตนนอนพิงอยู่บนตั่งไม้แล้วครุ่นคิดบางอย่าง สีหน้านั้นแลดูลำบากใจยิ่งนัก จึงเดินไปข้างหน้า แล้วเอ่ยถามเสียงเบา “คุณหนูเจ้าคะ เวลานี้ก็ไม่เช้าแล้ว คุณ หนูจะไปหาคุณหนูใหญ่หรือไม่ เมื่อครู่บ่าวได้ยินพวกสาวใช้ พูดกันว่าคุณหนูใหญ่อาเจียนยาต้มออกมาอีกแล้วเจ้าค่ะ”
เหยาเยี่ยนออดไม่ได้ขมวดคิ้ว “นี่มันเป็นโรคอะไรกัน แน่?! ตอนที่พี่ใหญ่อยู่บ้านนั้นสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงมาโดย ตลอด…
“คุณหนูเจ้าคะ…” เหยาเยี่ยนอวี่ยังไม่ทันพูดจบชัยเวย ส่ายหน้าแล้วห้ามปราม ชัยเวยเดินขึ้นหน้าอีกสองก้าวแล้วกระ ซิบเสียงเบาใกล้กับหูของเหยาเยี่ยนอวี่ “คำพูดเช่นนี้ไม่อาจ กล่าวเหลวไหลได้ เพราะจะทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดได้เจ้าค่ะ”
ก็จริง เหยาเยี่ยนอวี่ยกยิ้มพลางพยักหน้าอย่างจนใจ ใน เรือนแห่งนี้ไม่ได้มีเพียงบ่าวที่ตนพามา ทว่ายังมีบ่าวของจวน โหวอีก
ชัยเวยจับแขนของเหยาเยี่ยนอไว้ จากนั้นค่อยๆ พยุง นางขึ้นมา พร้อมพูดขึ้นเสียงเบา “คุณหนู พวกเราไปดูอาการ คุณหนูใหญ่เสียหน่อยเถอะเจ้าค่ะ หากอาการป่วยของคุณหนู ใหญ่ดีขึ้นมาได้นั้น คงจะดียิ่งนัก” ชัยเวยมองคิ้วของเหยาเยี่ย นอที่ขมวดเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็ครุ่นคิด นับตั้งแต่คุณหนู ของพวกนางรู้ว่าตนเองต้องเดินทางมาอยู่ที่จวนโหวเพื่อมาเป็น ชื่อของท่านเขยซู ดวงหน้าของนางก็ไม่เคยคละเคล้าด้วยรอย ยิ้มอีกเลย
ทันใดนั้นเองเหยาเยี่ยนอวี่ก็คิดบางอย่างขึ้นมาได้ จริง ด้วย หากเหยาเฟิงเกอไม่สิ้นใจ เช่นนี้ตนก็ไม่ต้องกลายเป็นซ เสียนของชูอวี้เสียง!
แม้ว่านางจะเป็นบุตรีอนุภรรยาของจวนข้าหลวงใหญ่ ปกครองสองเมือง ทว่าก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องไปเป็นอนุภรรยา ของผู้อื่น คำพูดนี้นางได้ยินจากปากของท่านพ่อผู้แสนเฉลียว ฉลาดกับหูตนเองตั้งแต่ยังเล็ก หากสามารถใช้อาการป่วยของ เหยาเพิ่งเกอมาเดินหมาก เช่นนั้นนางก็จะสามารถแลกความ เป็นอิสรภาพของตนได้แล้วใช่หรือไม่
ตนเองได้เข้ามายังจวนโหวทั้งยังนำสินสมรสมาด้วย ถ้า จะไม่ต้องกลับจวนเหยาอีก หากไม่เป็นชื่อ เช่นนั้นก็ถือว่าเป็น กุ้ยเชีย[5] ตราบใดที่เป็นเพียงอนุภรรยา เช่นนั้นล้วนขึ้นอยู่กับ การตัดสินใจของเหยาเพิ่งเกอ หากสามารถโน้มน้าวเหยาเพิ่ง เกอแล้วร้องขอให้นางปล่อยตนออกจากจวน เพื่อไปใช้ชีวิตอยู่ ในสวนในไร่นาอย่างเงียบสงบ เช่นนั้นคงจะดีมากไม่ใช่หรือ
เหยาเยี่ยนอวี่ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ความเศร้าที่มีมา หลายวันนั้นจางหายไป เวลานี้ภายในใจรู้สึกปลอดโปร่งขึ้นไม่ น้อย
พาชัยเวยเข้าไปยังเรือนนอนของเหยาเพิ่งเกอ หลี่หมัวมัว กำลังมองดูซานหูสาวใช้เช็ดหน้าให้กับเหยาเพิ่งเกออยู่ เหยา เยี่ยนอวี่จึงเดินไปด้านหน้าด้วยฝีเท้าที่แผ่วเบา แล้วพูดขึ้น “มา ข้าเอง”
ซานรีบหันกลับไปน้อมคำนับให้กับเหยาเยี่ยนอวี่ เหยา เยี่ยนอวี่เอาผ้าจากในมือของนาง จากนั้นแช่ผ้าในน้ำอุ่น ใหม่ อีกครั้ง แล้วลงนั่งข้างเตียงพลางเช็ดหน้าของเหยาเพิ่งเกออ ย่างใส่ใจ หลังจากนั้นจึงมือของนางเข้าหาตน แล้วใช้ผ้าเช็ด ละนิ้ว ส่วนอีกมือหนึ่งกลับกดลงบนชีพจรของนาง แล้วฟัง ชีพจรด้วยความตั้งใจ
ตอนที่เหยาเยี่ยนอวี่อยู่ในโลกปัจจุบัน นางได้ร่ำเรียนด้าน การแพทย์ตะวันตก และเป็นศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจ
หลังจากที่ทะลุมิติมานั้นได้กลายเป็นเด็กหญิงอายุหกขวบ เวลาว่างไม่มีอะไรทำนางก็มักจะเปิดอ่านตำราที่ทางตระกูลเก็บ รักษาเอาไว้ ตระกูลเหยาไม่ได้ถือเป็นตระกูลใหญ่ หากนับย้อน วงศ์ตระกูลไปสามรุ่นนั้น เดิมทีเป็นตระกูลพ่อค้าพาณิชย์ เมื่อ ถึงรุ่นท่านปู่ทวดของเหยาหยวนจือ ท่านได้รู้สึกว่ามีเงินทอง เพียงพอแล้ว อีกทั้งยังอิจฉาบรรดาคนที่ได้ศึกษาร่ำเรียนแล้วก ลายเป็นข้าราชการและสามารถแต่งตั้งภรรยาและลูกชายให้มี ยศศักดิ์ได้ จึงตัดสินใจเริ่มเข้าสู่แวดวง ละทิ้งการเป็นพ่อค้า แล้วมาอยู่ในวงการเกษตร จากนั้นก็ให้หลานชายของตนตั้งใจ ศึกษาเล่าเรียน
บิดาของเหยาหยวนจือเริ่มต้นจากการสอบคัดเลือกข้ารา ชการเคอวี่ จากนั้นทำงานด้วยความระมัดระวังและมีความรับ ผิดชอบสูงจนได้มาอยู่ในตำแหน่งรองเสนาบดีกรมคลัง ท่าน ของนางเชื่อฟังคำสอนของบรรพบุรุษ และเคารพนับถือครูบา อาจารย์ จึงได้สร้างและขยายสถานศึกษาส่วนตัวเพื่อไว้ให้บุตรหลานเรียน ท่านมีความปราดเปรื่องในการสอนบุตร เหยา หยวนจือก็มาจากการสอบคัดเลือกเคอรี่ จึงมีความฉลาดหลัก แหลมมากยิ่งกว่าท่านปู่ เขาจึงเป็นข้าหลวงใหญ่ปกครองสอง เมืองคนปัจจุบัน
เหตุเพราะมีบรรพบุรุษท่านหนึ่งที่ชื่นชอบในการอ่านตำรา ห้องตำราของตระกูลเหยาจึงสะสมตำราเอาไว้มากมายหลาก หลายประเภทยิ่งนัก มีครั้งหนึ่งเหยาเยี่ยนอวี่บังเอิญได้พบ ตำราแพทย์ที่หายไปนาน จึงแอบนำกลับมาศึกษาในเรือนของ ตน
เมื่อมีตำราแพทย์คอยอยู่เคียงข้าง ชีวิตในเรือนหลังของ เหยาเยี่ยนอวี่จึงมีความเพลิดเพลินทั้งที่ไม่ได้ก้าวเท้าออกนอก เรือนเลย ถึงอย่างไรเสียนางก็ไม่ชื่นชอบการเย็บปักถักร้อย และไม่ชื่นชอบฉันฉีซูฮว่า[6] ด้านการทำอาหารที่ไม่ใส่ใจเสีย เท่าใด สิ่งเดียวที่นางเอาใจใส่นั้นมีเพียงตำราแพทย์นี้เท่านั้น
การรักษาในสมัยโบราณนั้นไม่มียารักษาทางฝั่งตะวันตก ไม่มีมีดผ่าตัด ทั้งหมดล้วนอาศัยเพียงยาสมุนไพรจีนและเข็ม เงินเท่านั้น สำหรับศัลยแพทย์อย่างเหยาเยี่ยนอวนั้น นี่จึงเป็น เรื่องน่าเสียใจไม่น้อย ความปรารถนาเดียวของนางในตอนนี้ คือมีมีดผ่าตัดหนึ่งชุด แม้จะได้เอามาเล่นในยามว่างก็ยังดี
เพื่อที่จะให้ความปรารถนาเป็นจริง นางจึงเลี้ยงแมว สุนัข ไก่ และกระต่ายเอาไว้ในสวนมากมาย รวมถึงตัวยาสมุนไพร จีนต่างๆ ที่สามารถใช้ประโยชน์ แน่นอน เหตุผลที่แท้จริงที่ นางทำเช่นนี้ไม่อาจพูดออกไปได้ หากพูดออกมาจะเป็นการเปิดเผยว่าตนฝืนกฎสวรรค์ ถูกครหาว่าเป็นมารปีศาจ และคง ถูกจับมัดขึ้นไปบนกองฟืน ถูกไฟแผดเผาจนตาย
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ