บทที่ 12 ณัฐณิชาไม่ใช่ตะเกียงขาดน้ำมัน
บนโต๊ะมีอาหารเช้าวางอยู่ชุดหนึ่ง
ณัฐณิชามองไข่ดาวที่ทอดในระดับที่กำลังตีฟองนั้น ก็แสบ จมูก ขอบตาร้อนผ่าว และเกิดความรู้สึกอยากจะร้องไห้ขึ้นมา ทันที
นับตั้งแต่คุณย่าที่รับอุปการะณัฐณิชาเสียชีวิตไป ก็ไม่เคยมี ใครทำอาหารเช้าให้เธออีก คิดไม่ถึงเลยว่าคนที่ไม่เอาจริงเอาจัง ทั้งยังโหดเหี้ยมอยู่บ้างเช่นเขา จะเป็นผู้ชายอบอุ่นคนหนึ่งเหมือน กัน
เธอกิน “อาหารเช้า” ในช่วงเวลาบ่ายด้วยความรู้สึกขอบคุณ ธราเทพ
หลังจากนั้น เมื่อคิดได้ว่าต้องไปพบกับคุณปู่ของธราเทพ และ คุณพ่อคุณแม่ของเขา ณัฐณิชาก็กลัวขึ้นมา แค่ธราเทพคนเดียวก็ จัดการได้ยากแล้ว ไม่รู้ว่าคนในครอบครัวเขาจะเป็นคนแบบไหน กันบ้าง
โดยเฉพาะการเรียกร้องให้เธอแต่งกายให้งดงามหน่อย สำหรับณัฐณิชานั้นไม่ง่ายเลย
เธอเปิดกระเป๋าเดินทางของตนเอง นอกจากกางเกงยีนส์ เสื้อ ยืดแบบต่างๆ และเสื้อกีฬาแล้ว ทั้งหมดก็เป็นสินค้าราคาถูกที่ซื้อ มาจากแผงลอยริมถนน
เธอเปิดโทรศัพท์มือถือของตนเอง ตรวจยอดเงินคงเหลือใน บัตรธนาคารแล้วถอนหายใจ ตอนนี้เธอรู้สึกเสียใจที่ฉีกเช็คใบ นั้นทิ้งเสียแล้ว
สุดท้ายแล้ว ณัฐณิชาก็กัดฟัน ตัดสินใจไปซื้อเครื่องแต่งกาย ทั้งตัว เธอมัดผมลวกๆ และออกไปข้างนอก
ณัฐณิชาปล่อยใจใช้เงินหนึ่งพันหยวน ซื้อชุดเดรสสีดำหนึ่งชุด รองเท้าหนังส้นสูงระดับปานกลางหนึ่งคู่ และกระเป๋าถือหนึ่งใบ ให้ตนเองด้วยความใจกว้าง
ตอนที่เธอจ่ายเงินนั้นรู้สึกเจ็บปวดใจไปพลาง และครุ่นคิด
เงียบๆว่าจําเป็นต้องให้ธราเทพคืนเงินที่เธอออกไปก่อนถึงจะได้
หลังจากนั้นเธอก็กลับมาที่บ้าน แปรงฟันล้างหน้าสระผม จัดการตนเองจนสะอาดเรียบร้อยแล้วถึงได้สวมเสื้อผ้าชุดใหม่ และนั่งรอธราเทพอย่างเชื่อฟัง
ณัฐณิชานั้นรู้จักที่จะรุกในคราวที่ควรรุก รู้จักที่จะถอยในคราว ที่ควรถอย เธอรู้ว่ามีเพียงแค่ทำให้ธราเทพพอใจตามข้อเรียก ร้องเท่านั้น ถึงจะสามารถถามเบาะแสของเจ้าของจี้หยกคนเดิม ออกมาได้
พลบค่หกโมงเย็น ธราเทพก็กลับมาถึงบ้านตรงเวลา
เมื่อเห็นณัฐณิชาที่แต่งกายได้ดูมีชีวิตชีวาแล้วก็เลิกคิ้วอย่าง อดมิได้ “เดรสที่ซื้อใหม่?”
หลังจากนั้นก็สังเกตเห็นถึงป้ายสินค้าที่ถูกเธอซ่อนเอาไว้ใต้ปกคอเสื่อโผล่ออกมา
ธราเทพขมวดคิ้ว ยื่นมือไปช่วยเธอดึงป้ายออกมา ขณะที่ กำลังจะฉีกออก ณัฐณิชาก็รีบห้ามเขาเอาไว้ “อย่าฉีก! คุณพูดมา ก่อนว่า คุณจะให้ฉันเบิกเงินที่ออกไปก่อนไหม? ถ้าหากว่าไม่ให้ เบิก พรุ่งนี้ฉันจะเอาไปคืน
แคว่ก ธราเทพฉีกป้ายสินค้าของเธอทิ้ง และโยนบัตรธนาคาร ให้เธอใบหนึ่ง พลางเอยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ตอนนี้คุณเป็น ถึงนายหญิงน้อยชาแล้ว อย่าทำเรื่องที่น่าขายหน้าแบบนี้
ณัฐณิชาตะลึงค้าง กำบัตรธนาคารใบนั้นเอาไว้แล้วยิ้มหวาน ให้เขา “ขอบคุณนะคะ แต่ว่าฉันเติบโตมาแบบนี้ ก็ไม่รู้สึกว่าน่า ขายหน้าอะไร”
ธราเทพรู้ว่าเธอไม่สบายใจ แต่ก็ไม่อยากจะอภิปรายหัวข้อ ความยากจนและความสูงศักดิ์กับเธอในตอนนี้
เขาเอ่ยน้ำเสียงเย็นชา “อีกครู่หนึ่งที่คุณพบกับคุณปู่ คุณพ่อ และแม่เลี้ยงของผม ยังมีลูกสาวของแม่เลี้ยงที่ชื่อว่านภสรณ์ ทว่า เธอไม่ได้มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับผม เพียงแค่เป็นน้อง สาวในนามเท่านั้น
ณัฐณิชาลอบมองเขาเงียบๆ น้ำเสียงตอนที่เขาเอ่ยถึงแม่เลี้ยง ทำให้รู้สึกได้ว่าความสัมพันธ์ในครอบครัวของเขาไม่ค่อย ปรองดองกันเท่าใดนัก และอยากจะถามว่าแม่แท้ๆของเขาไป ไหนแล้ว แต่ก็รู้สึกว่าขี้เม้าท์ไปหน่อย จึงกลืนคำพูดนั้นลงไป
“จำได้แล้ว” ณัฐณิชารับคำ
ธราเทพกลับดูเหมือนว่าจะคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงเอ่ยเสริมอีกว่า “ถ้าหากว่าลูกพี่ลูกน้องที่ไม่ได้เรื่องของผมไม่ได้เมาแอ๋อยู่ที่ KTV อย่างนั้นคุณก็อาจจะได้พบกับเขา อย่าอยู่กับเขาสองต่อสอง เขา ไม่ใช่คนดีอะไร”
ณัฐณิชามุมปากกระตุกเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นคุณควรจะเตือน เขาว่าอย่าหาเรื่องฉัน”
ธราเทพมองเธอครู่หนึ่ง และส่ายหน้าด้วยความจนปัญญา “สรุปได้ว่า คุณอย่าก่อเรื่อง พวกเรากินข้าวเสร็จแล้วก็กลับ
“OK!” ณัฐณิชากลอกตา เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงอย่าง มากว่า “แม่เลี้ยงกับลูกพี่ลูกน้องคุณมักจะรังแกคุณใช่หรือไม่ ไม่ อย่างนั้น ให้ฉันช่วยคุณจัดการพวกเขาสักหน่อย? อย่างอื่นฉัน ทำไมเป็น แต่เรื่องนี้ฉันชำนาญ
ธราเทพเหลือบมองเธอนิ่งๆครู่หนึ่ง เมื่อไรกันที่เขาจำเป็นต้อง ให้เด็กสาวคนหนึ่งช่วยเขาระบายความโกรธ
“ผมไม่ชอบก่อเรื่อง คุณก็อย่าสร้างความวุ่นวายให้ผม
ณัฐณิชาเบ้ปาก ผงกศีรษะด้วยท่าทางเบื่อหน่าย แต่ในใจกลับ เตรียมพร้อมรับมือการโจมตีอยู่ตลอดเวลา
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ