ตอนที่ 4 ฝึกปรือวิชาแดนกังหนํ
ตอนที่ 4 ฝึกปรือวิชาแดนกังหน้า
จ่านจือ กับเฟินมู่เหอ และเฟื่นไป่ชิงเดินทางลงใต้แดน กังหน้า(ตอนล่างของแม่น้ำฮวงโห) เหยียบย่างเข้าวันที่ ห้า จึงบรรลุถึงริมทะเลสาบต้งถิง เมืองเยียว์หยัง มณฑล หูหนัน หากเป็นมู่เหอ กับไป่ชิงลำพังทั้งสอง อาจใช้เวลา เดินทางน้อยกว่านี้มากนัก
แต่ครั้งนี้มีจ่านจือ ร่วมเดินทางมาด้วย อาจเป็นเพราะเขา ไม่เป็นวรยุทธ์ ทำให้การเดินทางล่าช้ากว่าผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไป เมื่อหลายวันก่อน มู่เหอ กับไปชิง ทั้งสองกำลังเดินทาง กลับผา เพื่อไปแจ้งข่าวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในบู๊ลิ้ม พร้อมกับ แจ้งข่าว ของเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเกี๊ยะเทียน บุคคลที่เจ้า ผาของทั้งสอง ให้เสาะหานั้นเอง
บังเอิญระหว่างทาง เดินทางผ่านหมู่บ้านเย้ยอรุณแห่ง นั้น พบเห็นจ่านจือ กำลังถูกทำร้ายเข้าพอดี สองเฮียม่วย แซ่เฟื่น จึงได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ด้วยความเวทนาสงสาร ยากนิ่งดูดาย เมื่อได้พบกันถือเป็นวาสนา เฟื่นไป่ชิง เลย คิดว่าหากนาง และพี่ชาย ออกหน้า พาจ่านจือไปหา เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเกี๊ยะเทียน พร้อมกับขอร้องให้ท่าน ช่วยอบสั่งสอนท่านคงไม่ปฏิเสธ
เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเปี๊ยะเทียนเอง ท่านตัวคนเดียว ลำพัง หากรับจ่านจือเอาไว้ช่วยงาน คงสามารถแบ่ง เบาแรงท่านได้ส่วนหนึ่ง ทั้งสองจึงอาสานำพาจ่านจือ มา ส่งตามแผนที่ ซึ่งเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเปี๊ยะเทียนทิ้งไว้ให้ ก่อนจากกันครั้งก่อน ที่เนินเสือดาว
เฟื่นไปชิง นางเองแรกพบกับจ่านจือ นางกลับรู้สึกต้อง ชะตากับเด็กหนุ่มผู้นี้อย่างบอกไม่ถูก ดังนั้นนางจึงตั้งใจ จะช่วยเหลือเขาให้ถึงที่สุด หลังจากสนทนากันอยู่หลาย คำ ทั้งสองอายุย่างเข้าสิบห้าปีเท่ากันอีกด้วย นางเห็นว่า จ่านจือเป็นคนเที่ยงตรง มีคุณธรรมและกตัญญูยิ่งนัก คิด ว่าคงส่งเสริมคนมิผิด หากการลงจากผาครั้งแรกของนาง ครั้งนี้ ได้สร้างบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่ง ถือว่าไม่เสีย เที่ยวแล้ว นางคิดเช่นนั้น
หุบเขาสายรุ้ง ตามแผนที่ซึ่งเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเปี๊ยะ เทียน เขียนบอกไว้อย่างละเอียด ตั้งอยู่เมืองเส้าหยัง ซึ่ง จะต้องเดินทางตัดผ่านเมืองอี้หยัง เมืองโหลวตี จึงจะถึง เมืองเส้าหยัง ทั้งสองคำนวณว่า จะต้องใช้เวลาเดินทาง อีกราวหนึ่งถึงสองวัน จึงบรรลุถึง คิดว่าคงเสาะหาที่อยู่ ของเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเปี๊ยะเทียน ไม่ยากเย็นเท่าใดนัก
ทั้งสองคิดไว้ว่า เมื่อส่งจ่านจือให้เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเย็ ยะเทียนแล้ว จะรีบเดินทางกลับผาทันที เพราะทั้งสอง ออกจากผามานานมากแล้วเกรงว่าท่านเจ้าผาจะเป็นห่วง ทั้งหมดเห็นว่าใกล้มืดค่ำแล้ว จึงเห็นพ้องว่าควรหาโรงเตี๊ยม สั่งอาหารรับประทาน และพักผ่อนเอาแรง พรุ่งนี้เช้าค่อยออกเดินทางต่อ
ทั้งหมดเดินทางมาอีกไม่ไกลเท่าใดนัก พบโรงเตี๊ยมแห่ง หนึ่งไม่เล็กไม่ใหญ่ อีกทั้งผู้คนมิพลุกพล่าน ทั้งหมดจึง ตกลงใจเข้าพักที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้สักคืน หลังจากจับจอง ห้องพัก พร้อมกับสั่งอาหารง่าย ๆ ไม่กี่อย่างแล้ว ทั้งหมด จึงนั่งรับประทานอาหารด้วยกัน อีกทั้งยังสนทนาเรื่องราว ที่เกิดขึ้น ยังโรงเตี๊ยมที่หลบหนีมา ป่านฉะนี้ไม่ทราบว่า ผลการประลอง ระหว่างบุรุษสองคน ผลออกมาเป็นเช่น
ไร
วันนี้ทั้งหมด ใช้เวลาเดินทางมาทั้งวัน สองเฮียมวยแซ่ เปิ่น เกรงว่าจ่านจือ ไม่มีวรยุทธ์ อาจเหน็ดเหนื่อยจนเกิน ไป จึงบอกให้จ่านจือรับประทานอาหารให้มาก ๆ วันรุ่ง ขึ้น จะได้มีเรี่ยวแรงเดินทางต่อ แต่ทว่าจ่านจือ บอกกับทั้ง สองว่า เขามิได้เหน็ดเหนื่อยมากมายเท่าใดนัก
อาจเป็นเพราะจ่านจือ มีร่างกายแข็งแรงกำยำ ตั้งแต่เล็ก จนเติบใหญ่ ไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยแม้แต่คราเดียว จ่านจือ จึงไม่อ่อนเพลียเสียกำลังมากนัก ทั้งยังเกรงว่าเป็นการ รบกวน สองเฮียมวยแซ่เฟินจนเกินไป หากมัวแต่ชักช้า เสียเวลา เพียงแค่ทั้งสองยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ช่วยชีวิต ของตนไว้ นับว่าเป็นบุญคุณอันใหญ่หลวงแล้ว ทั้งสอง กลับมีน้ำใจนำพาเขา มาฝากกับเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเปี๊ยะ เทียนอีก จ่านจือรู้สึกตื้นตันใจยิ่งนัก หากมีโอกาส จะต้อง ตอบแทนบุญคุณทั้งสองอย่างแน่นอน
ทั้งสาม รับประทานอาหารจนหมดเกลี้ยงด้วยความ หิวโหย โรงเตี๊ยมเล็ก ๆ แห่งนี้ มีผู้คนสัญจรผ่านไปมาไม่ มากนัก ภายในโรงเตี๊ยมประกอบด้วยเก้าแก่ อายุไม่เกิน สี่สิบปีผู้หนึ่ง พ่อครัว และเสี่ยวเอ้ออีกสองคนเท่านั้น ทั้ง สามเลือกห้องพักติดกันสองห้อง แล้วแยกย้ายกันเข้าห้อง พักผ่อนหลับนอน
ไป่ชิง พักลำพังห้องหนึ่ง ทางด้านทิศตะวันออก ส่วนอีก ห้อง ซึ่งติดกัน มู่เหอ กับจ่านจือ อยู่ร่วมห้องเดียวกัน แยก เป็นสองเตียงนอน มู่เหอเอง เขารู้สึกเอ็นดูเด็กหนุ่มผู้ นี้ไม่น้อย ด้วยเห็นว่าจ่านจือ รู้จักวางตัวไม่ถือดีอวดเก่ง เวลาเจรจายังรู้จักใช้ถ้อยคำ แม้บางครั้ง จะกล่าววาจา ออกมาตรง ๆ มีอ้อมค้อม คิดเช่นไรกล่าววาจาออกมาเช่น นั้น มู่เหอกลับถือว่า นั้นคือการแสดงออกถึงความจริงใจ มิได้เสแสร้ง หลังจากทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว ต่าง รีบแยกย้ายล้มตัวลงนอน รุ่งสางจะได้รีบออกเดินทาง
สองยาม(ประมาณยี่สิบสองนาฬิกา) บริเวณโดยรอบ เงียบสงัด สายลมเฉื่อยฉิวพัดเบา ๆ ยอดไม้ใบหญ้าไหว โอนเอนตามสายลมช้า ๆ ทุกคนหลับสนิทแล้ว ทันใดนั้น เงาร่างสองสายปรากฏวูบ แล้วหายวับไปทางด้านต้นไม้ ใหญ่ ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก แท้จริงแล้วมีคนสะกด รอยตามทั้งสามมา จากหมู่บ้านเย้ยอรุณ เป็นสองเทวทูต ซ้ายขวา เจียฮุยกับเจียจิ้ง มันทั้งสองเป็นคนของหมู่ตึก กระเรียนฟ้านั้นเอง
ทั้งสองเป็นเฮียตี๋(พี่ชายน้องชาย) กัน อดีตเคยเป็นโจร ชั่วปล้นชิงม้าชาวบ้าน อาศัยอยู่นอกด่านหันหูกวน ด้าน เพลงยุทธ์ถือว่าร้ายกาจไม่เบา ทั้งสองใช้อาวุธนอก สารบบประเภทหนึ่ง เป็นกระบองเหล็กครึ่งท่อนยาวสา มเปี๊ยะส่วนปลายทู่ โดยรอบกระบองมีเหล็กแหลมคล้าย ตะปู โผล่ยื่นออกมาเป็นจำนวนมาก ส่วนปลายแหลมที่ ยื่นออกมานี้ มีปุ่มกลไกตรงด้ามจับควบคุม เมื่อกดปุ่ม กลไกสามารถบังคับ ให้เหล็กปลายแหลมคมเหล่านั้น หด เข้า หรือยื่นออกมา จากตัวกระบองได้ตามต้องการ มันทั้ง สองสะพายอาวุธไว้กลางหลัง
เมื่อเห็นทั้งสามเข้าห้องพักหลับสนิท สองเทวทูตซ้าย ขวา ล่าถอยออกมาไม่ไกลนัก หลายวันมานี้ออกติดตาม ทั้งสามมาห่าง ๆ ทั้งสองอายุไม่ห่างกันเท่าใดนัก เจียฮุย ผู้พี่ อายุสี่สิบสองปี ส่วนเจียจิ้งผู้น้อง อายุสี่สิบปี ดังนั้น เวลาเรียกหากัน จึงไม่เรียกหาว่าเฮียตี๋ เหมือนพี่น้องคู่อื่น
“ดูท่าทีพวกมันสามคน คงหลับสนิทแล้ว ท่านกับข้าพเจ้า จงรีบพักผ่อนหลับนอนเอาแรงแถวนี้เถิด พรุ่งนี้เช้าจะได้ รีบตื่น แล้วติดตามพวกมันอย่าให้คลาดสายตา หากเกิด ผิดพลาดขึ้นมา เกรงว่าท่านหลิวกงกง จะตำหนิพร้อมกับ เอาโทษพวกเราได้
เทวทูตซ้ายเจียฮุยผู้พี่กล่าว เทวทูตขวาเจียจิ้งผู้น้องเห็น ด้วย กล่าวตอบว่า
“เอาเป็นเช่นนี้ ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับท่าน แต่ข้าพเจ้ายัง มีข้อสงสัยประการหนึ่ง? เด็กหนุ่มที่มาด้วยกับมันทั้งสอง เป็นผู้ใดกัน? ลักษณะท่าทางคล้ายมิใช่ชาวยุทธ์ มันมี ความสัมพันธ์อันใด? กับเฮียมวยแซ่เฟื่นสองคนนั้น?”
“เอาไว้เราค่อยสืบสาวดูก็แล้วกัน ข้าพเจ้าเห็นว่าตอนนี้ เราทั้งสองรีบพักผ่อนก่อนเถิด อย่ามัวพูดมากกันอยู่เลย”
จากนั้นทั้งสอง จึงแยกย้ายกันพักผ่อน ใต้ต้นไม้ใหญ่ ไม่ ไกลจากโรงเตี๊ยมมากนัก
เช้าตรู่คนทั้งสาม จ่านจือ กับมู่เหอ และไป่ชิง รีบสั่ง อาหารเป็นข้าวต้ม รับประทานกับผัดผักไม่กี่อย่าง โต๊ะ ข้าง ๆ ห่างไปไม่ไกลนัก นั่งอยู่ด้วยบุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง ผู้ซึ่ง เคยปรากฏตัว ในค่ำคืนที่มีคนตายในหมู่ตึกกระเรียนฟ้า อีกทั้งมันเคยท้าประลอง กับบุรุษสวมหน้ากากปีศาจนั้น เอง
ทั้งสามคนมัวแต่เร่งรีบรับประทานอาหาร จึงไม่ทัน สังเกตเห็น บุรุษหนุ่มสำอางผู้นั้น มันผู้นั้นหน้าตาหมดจด คิ้วโก่ง จมูกเล็กเรียว ริมฝีปากบาง ใบหน้ารีรูปไข่ เกล้า ผมตึงเป็นมวยกลางศีรษะ สวมรัดเกล้าสีเงินส่องประกาย ส่วนปลายผมยาวสยายลงมาเลยบ่าไม่กว้างเท่าใดนัก องคาพยพดูไป ไม่คล้ายบุรุษไม่คล้ายสตรี
เมื่อทั้งสามออกเดินทาง บุรุษหนุ่มสำอางผู้นั้นได้หายตัว ไปก่อนหน้า ไม่ถึงครึ่งก้านธูปมอด เมื่อทั้งสามรับประทาน อาหารเสร็จสรรพ เร่งรุดออกเดินทางทันที ทั้งหมดใช้ เวลาเดินทางตลอดทั้งวัน โดยมิได้หยุดพัก มีเพียงแวะ เติมน้ำดื่มยังลําธารระหว่างทางเท่านั้น เมื่อเวลาบ่าย คล้อย ทั้งสามค่อยบรรลุเข้าเขตเมืองเส้าหยัง
แนวเขาอู่หลิ่งซัน คือที่ตั้งของหุบเขาสายรุ้ง แนวเขาแห่ง นี้ตั้งอยู่ทางตอนใต้ ของมณฑลหูหนัน มีทิวเขาสลับซับ ซ้อนอยู่มากมายหลายลูก ตามแผนที่ ซึ่งเจ้าโอสถสายรุ้ง เส้าเกี๊ยะเทียน เขียนไว้ละเอียด ทั้งสามคิดว่า คง เสาะหาได้ไม่ยากเย็น ทั้งสามเร่งรุดเดินทางเข้าสู่หุบเขา สายรุ้งเพราะเกรงกลัวจะมืดค่ำเสียก่อน
แท้ที่จริงแล้ว บุรุษหนุ่มสำอางผู้ที่นั่งอยู่ในโรงเตี๊ยม ตอน ที่ทั้งสามรับประทานอาหาร มันมิได้หายตัวไปไหน เพียง แต่ล่วงหน้ามาดักรอคนทั้งสาม ก่อนเข้าหุบเขาสายรุ้งไม่ ไกลมากนัก หลังจากได้ยินทั้งสามสนทนากันว่า จะเร่ง รุดเดินทางเข้าหุบเขาสายรุ้ง บุรุษหนุ่มผู้นั้น มันตั้งใจมา ด้กรอคนทั้งสาม มันมีจุดประสงค์อันใดกันแน่? เป็นไปได้ หรือไม่ ในวันนี้ บุรุษหนุ่มผู้นี้ คิดจะลงมือต่อทั้งสาม ด้วย ฝ่ามืออำมหิตอีกครั้ง ล้วนเป็นไปได้
บุรุษหนุ่มคนดังกล่าว ล่วงหน้ามาไกลโข เมื่อถึงทางแยก ก่อนเข้าหุบเขาสายรุ้งไม่มากนัก เห็นชายสามคน ในมือ ถือกระบี่ กำลังมุ่งหน้าตรงมา ยังตำแหน่งที่ตนดักรอคน ทั้งสามอยู่พอดี บุรุษหนุ่มผู้นั้นรีบถลันหลบวูบลงข้างทาง อันมีกอหญ้าเขียวรกครึ้มแถบหนึ่งปกคลุม
ที่แท้สามคนที่มุ่งตรงมา เป็นมันสามคนชั่วช้า ที่เข้าไป ในหมู่บ้านเย้ยอรุณ แล้วลงมือทำร้ายคน อีกทั้งยังลงมือ ฆ่าป้าหนิว แม่บุญธรรมของจ่านจือนั้นเอง อันที่จริงมันทั้ง สาม เป็นพวกกเฬวรากมีฝีมือติดตัวต่ำทรามยิ่ง เทียบได้ ดั่งชนชั้นปลายแถวในยุทธจักรพวกมันเป็นมิจฉาชีพ ปกติ หากินอยู่ในเมืองลั่วหยาง หลังจากหลิวซุนกงกงต้องการ สืบหาข่าว จึงว่าจ้างผู้คนมากมายให้หาข่าวให้กับท่าน โดยให้มือดีในหมู่ตึกกระเรียนฟ้า เป็นผู้ติดต่อว่าจ้าง
ข่าวที่หลิวซุ่นกงกงต้องการทราบโดยด่วน มิใช่ข่าวการ ตายของชาวยุทธ์ หรือข่าวของคนลี้ลับที่ปรากฏตัวขึ้นใน บู๊ลิ้มขณะนี้ แต่กลับเป็นข่าวคราวของวลีสี่ประโยค ซึ่ง ปรากฏขึ้นในยุทธภพ ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้จัดการเรื่อง นี้ คือหัวหน้าตึกหกหุน อันสุ่ยนั้นเอง
สามมิจฉาชีพ ได้รับการว่าจ้างจากหัวหน้าตึกหกหุน อัน สุ่ย เมื่อออกหาข่าว พวกมันทำตัวอวดโอ้ใช้อำนาจบาตร ใหญ่ หากรื้อค้นได้สิ่งของมีค่าของชาวบ้าน ล้วนหยิบ ฉวยมาเป็นสมบัติของตนเอง ชาวบ้านที่ต่อสู้ขัดขืน ถูก พวกมันทำร้ายทุบตี พวกมันทั้งสาม ใช้ชื่อหลิวซุ่นกงกงมา ข่มขู่ผู้คนเรื่อยมา หลังจากฆ่าป่าหนิวตาย กลัวทางการ เอาผิด จึงหลบหนีลงแดนใต้กังหนำ
สามคนชั่วปรึกษาหารือกันว่า เอาไว้เรื่องราวเงียบสงบลงสักระยะหนึ่ง จึงค่อยย้อนกลับไปยังลั่วหยางอีกครั้ง บังเอิญตอนนั่งพักระหว่างทาง แอบได้ยินสองเทวทูตซ้าย ขวาสนทนากัน จึงทราบว่าเป็นคนของหลิวซุนกงกงส่งมา
หลังจากปรึกษาหารือกันแล้ว แสร้งสร้างข่าวเท็จขึ้นมา สักเรื่องราวหนึ่ง จากนั้นนำไปแจ้งกับคนของหลิวกงกง ทั้งสอง ซึ่งหมายถึงสองเทวทูตซ้ายขวา เจียฮุย กับเจีย จิ้งนั้นเอง อาจโชคดีมีค่าตอบแทนเป็นเงินทองบ้าง จึงได้ ติดตามสองเทวทูตซ้ายขวา มาห่าง ๆ เมื่อเห็นสองเทวทูต ซ้ายขวาหยุดพักผ่อน ทั้งสามคนจึงได้ล่วงหน้ามาก่อน ช่วงหนึ่ง เพื่อตั้งหลักกุเรื่องซ้อมคำพูดให้แนบเนียน
ช่วงเวลานั้น เป็นเวลาเดียวกันกับจ่านจือ พร้อมทั้งมู่ เหอ อีกทั้งไป่ชิง เดินทางผ่านมาพอดี พอคนชั่วช้าทั้งสาม พบเห็นเข้า จึงจดจำได้ในทันที สามคนชั่วช้านั้น ทราบ แน่แก่ใจว่าไม่อาจต่อกร กับเฮียม่วยแซ่เฝิ่น ประเมินตัว ว่าฝีมือสู้ทั้งสองมิได้ จึงรีบวิ่งหนีโกยอ้าวจากไป ไป่ชิง มีสายตาปราดเปรียวยิ่ง เหลือบเห็นพวกมันทั้งสามเข้า พอดี จึงรีบส่งเสียงกล่าววาจา กับพี่ชายของนางว่า ให้รีบ ติดตามพวกมันทั้งสามไป
ก่อนจะติดตามไป หันมากล่าวกับจ่านจือว่า ให้เขารอ นาง และมู่เหอพี่ชายอยู่ตรงนี้ สั่งกำชับว่าอย่าได้เพ่นพ่าน ไปไหนไกลเด็ดขาด ให้รอคอยจนกว่านาง กับพี่ชายมู่ เหอ จะกลับมา นางกับมู่เหอ จะติดตามไปฆ่าคนชั่วช้าทั้งสาม แก้แค้นให้ป้าหนิว แทนจ่านจือ กล่าวจบทั้ง สองทะยานร่างติดตามสามคนชั่วไปในทันที
ทั้งสองเฮียม่วยแซ่เฟิน ติดตามมาได้ระยะหนึ่ง เกือบจะ ไล่พวกมันสามคนทัน ไกลออกไปในคลองจักษุ ปรากฏ ชุดขาวสองนาง สาดร่างพุ่งปราด ๆ มาทางด้านนี้พอดี ไป ชิง รวมทั้งมู่เหอ ทั้งสองรีบชะลอฝีเท้าลง พร้อมกับทิ้งตัว หมอบร่างแนบชิด ติดกับเนินเตี้ยใกล้ ๆ ลูกหนึ่ง ปล่อย ให้สามคนชั่วช้านั้น หลบหนีไปได้ ชุดขาวสองนางพุ่งร่าง ปราดเข้ามาใกล้ ด้วยความเร็วดุจวิญญาณผีภูตพราย
เมื่อนางทั้งสองสาดทะยานร่างมาถึง ทิ้งตัวลงอย่าง แผ่วเบานุ่มนวลยิ่ง เมื่อเท้าแตะสัมผัสพื้น เผยให้เห็นเป็น นางชีสองนาง แต่งกายด้วยอาภรณ์สีขาว สําหรับผู้ทรง ศีล พร้อมกับประดับพวงประคำสีดำสนิทคล้องยาวจรด หน้าอก
แม่ชีทั้งสองกวาดสายตาไปมาอยู่เที่ยวหนึ่ง สำรวจจน ทั่วบริเวณ แม่ชีคนหน้าอายุไม่เกินหกสิบปี บนศีรษะสวม ทับด้วยหมวกสีดำสำหรับผู้ทรงศีล ในมือเพิ่มด้ามแส้สี สนิทเล่มหนึ่ง ขนแส้อ่อนหยุ่นสีขาวนวลใยดั่งเส้นไหม เงินพลิ้วไหวไปมา นางชีคนหลังแต่งกายเฉกเช่นเดียวกัน อายุราวสี่ห้าสิบปี ที่แตกต่างกันในมือเพิ่มกระบี่ยาวเล่ม หนึ่ง
มู่เหอ กับไปชิง เคยพบเห็นนางชีคนหน้ามาก่อนแล้วอีกทั้งยังเคยประมือกับนางด้วย แต่ที่ทั้งสองเฮียมวยแซ่ เฟิน มีทราบนั้นคือ นางชีทั้งสองเป็นผู้ใด และมีความ สัมพันธ์เกี่ยวข้องตอกันฉันใด สังกัดค่ายพรรคสำนักใด แต่ที่รู้แจ้งกระจางนางซีคนหน้า มีฝีมือสูงสุดยอด
ครั้งนี้ยังเพิ่มนางชีหน้าตาดุร้ายมาอีกผู้หนึ่ง ลักษณะท่า รางที่เห็นทะยานมาเมื่อครู่ ไม่เป็นรองนางชีคนหน้าเท่าใด นัก ทั้งสองเฮียมวยแซ่เฟื่น รีบใช้วิชาลมปราณบังคับ ปิตสกัดกั้นลมหายใจ พร้อมกับหยีดวงตาทั้งสองลงเป็น เส้นตรงแคบเก็บประกาย คอยจ้องดูแม่ชีสองนางโดยไม่ ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว ริมโสตได้ยินนางชีทั้งสองสนทนา กันว่า
“มันผู้นั้นอันตรธานไปแล้วซือไท่ คำนวณจากวิชาตัวเบา ของมันสูงส่งยอดเยี่ยม ขนาดเราท่านทั้งสอง ทุ่มเทฝีเท้า ไล่ติดตามมาไม่ห่าง มันยังสามารถหลบหนีหายตัวไปจน ได้”
แม่ชีนางที่ถือกระบี่กล่าววาจา ต่อนางชีคนหน้า อีกทั้ง เรียกหานางว่าซือไท
“ดูท่าแล้วมันคงหนีไปได้ไม่ไกลนัก คาดคิดมิถึง พวกเรา ติดตามมันมาจากนอกด่าน เมืองลั่วหยาง สุดท้ายหลุด รอดสายตาพวกเราไปจนได้ คิดแล้วน่าเจ็บใจยิ่งนัก ท่าน กับเราอย่ามัวรอช้า รีบแยกย้ายตรวจค้นดูให้ทั่ว จากนั้น ไปพบกันที่ริมทะเลสาบต้งกิงอีกหนึ่งชั่วยาม
นาง ซึ่งถูกเรียกหาว่าซือไท่ ออกคำสั่งต่อนาง คนหลัง พร้อมกับแยกย้ายจากไป ดูจากท่าทางนางชีทั้งสอง พวก นางกำลังไล่ติดตามผู้ใดอยู่กระนั้น เมื่อนางชีทั้งสองจาก ไปไกลแล้ว สองเฮียม่วยแซ่เฟื่น รีบพากันออกมา จาก เนินเตี้ยที่ใช้หลบซ่อนตัวทันที
“พี่ชาย นางคือแม่ชีนิรนามผู้นั้น? ผู้ที่ข้าพเจ้าประมือ ด้วยในเมืองลั่วหยาง นางมาทำกระไรที่กังหนำกันนะ? ท่าทางนางไม่น่าไว้วางใจ เรื่องราวที่นางกำลังกระทำ คง มิใช่เรื่องราวอันดีอย่างแน่นอน มิหนำซ้ำครั้งนี้ยังเพิ่ม แม่ชีท่าทางดุร้ายมาด้วยอีกนางหนึ่ง ลำพังนางชีนิรนาม นางนั้นผู้เดียว ยังนับว่าร้ายกาจมากแล้ว ครั้งนี้ยังเพิ่มมา อีกหนึ่งนาง ลักษณะท่าทางช่างน่ากลัวนัก สามคนชั่วช้า นั้นมันคงหลบหนีไปไกลโขแล้ว เห็นทีข้าพเจ้า กับพี่ชาย พวกเราคงแก้แค้นให้ท่านป้าหนิว แทนจ่านจือไม่สําเร็จ
เฟินมู่เหอ กล่าวตอบว่า คงมิใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน เรื่อง ราวที่นางชีสองเดินทางมากังหนำ แล้วผู้ใดกัน ที่นางชี ทั้งสองติดตามมา เฮียมวยแซ่เฟื่นทั้งสอง เห็นว่าทิ้งจ่านจึ อมานานโขแล้ว จึงได้ชักชวนกันกลับไปหาเขา ยังบริเวณ ที่ให้เขารอคอยอยู่
ทางด้านจ่านจือนั้น หลังจากสองเฮียมวยแซ่เฟื่น คล้อย หลังไปไม่นานนัก สองเทวทูตซ้ายขวา เจียฮุย กับเจียจิ้ง เดินทางมาถึงทางแยกพอดีเมื่อทั้งสองพบเห็นจ่านจือ ซึ่ง เขายืนอยู่ลำพังคนเดียว มันทั้งสองหันสบตากันวูบ พร้อมปรากฏรอยยืมขนที่มุมปาก
ใช่แล้ว นี้จึงเป็นโอกาสเหมาะเจอะยิ่ง หากคิดจะจัดการ กับ จานจือ หากกำจัดจ่านจือไปคนหนึ่ง เท่ากับหมด ปัญหาไปเรื่องราวหนึ่ง สิ่งที่สำคัญที่สุด เด็กหนุ่มไร้วร ยุทธ์เช่นเขา ไม่มีราคาค่างวดกระไรให้เก็บไว้ ขืนยังเก็บ ไว้ รังจะเป็นตัวยุ่งยากสร้างปัญหาทำเสียการใหญ่
เทวทูตซ้ายเจียฮุย มันย่างสามขุมเข้าหาจ่านจือทางด้าน หน้าแล้ว ซึ่งความจริงแล้ว สำหรับจ่านจือผู้ซึ่งไร้วรยุทธ์ เพียงฝ่ามือเดียวนับว่าเพียงพอ สําหรับการฆ่าเขาแล้ว แต่ทว่าเทวทูตซ้ายขวา เจียฮย กับเจียจิ้ง อาศัยอยู่แต่ใน หมู่ตึกกระเรียนฟ้า มิได้ลงมือฆ่าคนมาช้านาน พวกมันจึง ต้องการหาความสนุกสนาน ก่อนที่จะลงมือฆ่าคนในครั้ง นี้ ดังนั้นเทวทูตขวาเจียจิ้ง จึงเดินก้าวเท้าเข้าหาจ่านจือ ทางด้านหลัง ทั้งสองเทวทูตซ้ายขวา สบตากันแล้วส่ง รอยยิ้ม พวกมันไม่เร่งรีบ
เมื่อก้าวเท้าเข้าหาห่างมิถึงสามก้าว มันทั้งสองกวาด สายตาไปมาสำรวจตรวจสอบจ่านจือ ตั้งแต่ศีรษะจรด ปลายเท้า พลางขบคิดว่า น่าเสียดายบุคลิกภาพเด็กน้อย ผู้นี้ องคาพยพนับว่าไม่เลว ส่วนสัดเหมาะยิ่งกับการฝึก ยุทธ์ แต่นั่นพวกมันเพียงแค่ขบคิด หาได้ปรารถนาให้ เป็นไปเช่นนั้นไม่ ช่วยกระไรมิได้แล้ว ในเมื่อสวรรค์ยังมิ ต้องการ นรกไยจะไม่ต้อนรับ พวกมันทั้งสองล้วนมีความ คิดเช่นนี้ จากนั้นพวกมันส่งเสียงฮิฮะในลำคอ สายตาทอ ประกายอำมหิต เทวทูตซ้ายเจียฮุย ส่งเสียงกล่าวต่อจ่านถือว่า
“อย่าได้ตกอกตกใจไป ทารกน้อยอันน่ารัก ประเดี๋ยว บิดาทั้งสองของเจ้า จะช่วยสงเคราะห์ส่งทารกอันน่ารัก เยี่ยงเจ้า ไปทัศนาปรโลกล่วงหน้าก่อนสักหลายปี ฮา ๆ”
ในขณะที่กล่าววาจา พลางส่งเสียงหัวเราะอย่าง สนุกสนาน ทางด้านเทวทูตขวาเจียจิ้ง ซึ่งยืนอยู่ทางด้าน หลังของจ่านจือ กล่าววาจาโต้ตอบกลับมาเช่นกันว่า
“แต่มีคนบอกกล่าวต่อเราว่า ในปรโลกนั้นทั้งเหน็บหนาว ทรมาน ทั้งมืดมิดมองมิเห็นเส้นทาง มิมีอันใดน่าพิสมัย ให้ท่องเที่ยว หรือว่าท่านเจียฮุย ท่านจะให้ทารกน้อยอัน ประเสริฐผู้นี้ ล่วงหน้าไปก่อนพวกเราทั้งสอง เพื่อให้มันไป คอยต้อนรับพวกเรา ตอนที่ท่านกับข้าพเจ้า ติดตามมันไป อีกหลายสิบปีข้างหน้า ฮา ๆ”
เทวทูตซ้ายเจียฮุย หัวเราะครืนด้วยความชอบอกชอบใจ ในคำพูดของเทวทูตขวาเจียจิ้ง มันรีบกล่าวเสริมเติมต่อ ทันทีว่า
“แต่เอาเถิดเด็กน้อย เจ้าอย่าได้กังวลไป บิดาทั้งสอง รับปากกับเจ้าว่า จะรีบหาคนส่งไปอยู่เป็นเพื่อนเจ้าสัก หลายคน เพื่อที่เจ้าจะได้ไม่อ้างว้างเดียวดายจนเกินไป นัก เช่นนี้เจ้าเห็นว่าดีหรือไม่?”
มันทั้งสองเฟ้นว่า การฆ่าคนไร้เรื่องราวมันสองคนเห็น ชีวิตคนเป็นเช่นผักปลา คล้ายก้อนเนื้อที่วางอยู่บนเขียง ที่ผ่านมามีคนตายในน้ำมือมันทั้งสองนับไม่ถ้วน เมื่อสิ้น สงคราม ทางการได้หันมาปราบปรามโจรผู้ร้าย มันทั้ง สองจึงถูกหลิวซุนกงกง ชักชวนให้ช่วยทำงาน มิเช่นนั้นจะ ต้องรับโทษทัณฑ์ ที่พวกมันเคยก่อกันเอาไว้
ตั้งแต่บัดนั้นมา เทวทูตซ้ายขวา เจียฮุย กับเจียจิ้ง จึง สวามิภักดิ์ต่อหลิวซุ่นกงกง คอยทำงานให้หลิวกงกง พร้อมกับเก็บตัวอยู่ในหมู่ตึกกระเรียนฟ้าเรื่อยมา จน กระทั่งครั้งนี้ พวกมันทั้งสอง ได้รับมอบหมายให้คอย ติดตามเฮียม่วยแซ่เฟินนั้นเอง
เมื่อมันทั้งสอง กล่าววาจากระทั่งเห็นว่าสนุกสนานเพียง พอแล้วมันทั้งสองพร้อมลงมือเข่นฆ่าแล้ว มันสองคนคิด ว่า ขอซัดคนละหนึ่งฝ่ามือคงเพียงพอแล้วสำหรับฆ่าคนไร้ วรยุทธ์เช่นจ่านจือ
ทางด้านบุรุษหนุ่มหน้าแฉล้ม ท่าทางสำรวยสำอางผู้นั้น ผู้ที่หลบซ่อนตัวอยู่หลังกอหญ้าข้างทาง ห่างไปไม่เท่าใด นัก ได้ยินคำพูด อีกทั้งยังเห็นเหตุการณ์โดยตลอด จึงดีด กายออกจากที่ซ่อนตัว กระโดดคราเดียวจึงบรรลุถึง เมื่อ ทิ้งตัวลงระหว่างคนทั้งสามแล้ว มันส่งเสียงดังสดใสว่า
“ข้าพเจ้าแอบได้ยินลูกสุนัขสองตัวคุยกัน แม้นเรื่องราว ของลูกสุนัขสองตัว ไม่คล้ายมีส่วนเกี่ยวข้องใดกับข้าพเจ้านัก แต่เรื่องราวซึ่งลูกสุนัขเช่นพวกท่านกำลัง สนทนากัน ข้าพเจ้ากลับเห็นด้วยยิ่ง
บุรุษหนุ่มสำอางผู้นั้น กล่าววาจาพร้อมกับเดินวนสำรวจ ไปมาอยู่เที่ยวหนึ่ง ในมือของมันนอกจากพกพากระบี่ งดงามเล่มหนึ่งแล้ว อีกมือหนึ่งซึ่งยกขึ้นแกว่งไกว ถือดอก หญ้ารูปร่างประหลาดมาด้วยดอกหนึ่ง บุรุษหนุ่มผู้นั้น ใช้ ปลายดอกหญ้าเขี่ยมายังร่างของจ่านจือ แล้วส่งเสียง กล่าวต่อว่า
“ข้าพเจ้าแม้นเห็นด้วยกับเรื่องราวที่สุนัขท่านทั้งสอง สนทนากัน เรื่องราวในปรโลกล้วนน่าไปเที่ยวชมนัก ข้าพเจ้าเองยังไม่เคยไปท่องเที่ยวยังปรโลกมาก่อน อีก ทั้งยังมีอยากไปท่องเที่ยวในเร็ววันนี้ ลูกสุนัขเช่นพวก ท่านทั้งสองยังไม่เคยไปเช่นกัน เพียงได้ยินคนกล่าวว่าน่า ทัศนาถึงเพียงนั้น พวกท่านทั้งสองกลับหูเบาเชื่อถือแล้ว เด็กน้อยไร้เดียงสาผู้นี้ท่านเองคงไม่เคยไปสินะ? ลูกสุนัข สองตัวจะส่งท่านไปก่อน ท่านยินยอมจะไปให้กับพวกมัน เช่นนั้นรึ?”
บุรุษหนุ่มสำอางผู้นั้น ใช้ดอกหญ้าเขี่ยไปมาตามร่างของ จ่านจือ จากนั้นแสดงทีท่าขบคิดแล้วกล่าว
“ท่านมันซื่อบื้อ สมองโง่งมทำตัวทึ่มเกินไปแล้ว ลูก สุนัขสองตัวจะส่งท่านไป ท่านก็จะไป? สำหรับกับเรื่องนี้ ข้าพเจ้าล้วนมิเห็นด้วยกับลูกสุนัขสองตัวเช่นพวกมัน”
สองเทวทูตซ้ายขวา เจียฮุย กับเจียจิ้ง มันสองคน ทราบ ว่า บุรุษสำอางผู้นี้เป็นผู้ใด และมันมาจากสถานที่ใด? สำหรับสองเรื่องราวนี้พวกมันสองคนมิใส่ใจเท่าใดนัก แต่ สําหรับ ลูกสุนัขสองตัวของบุรุษสำอางนั้น พวกมันล้วน โกรธจนลมแทบพวยพุ่งออกมาจากรูห มันทั้งสองกลึงจ้อง บุรุษหนุ่มสำอางผู้นั้นแทบจะกินเลือดกินเนื้อ มันทั้งสอง มิทันจะขยับริมฝีปากกล่าววาจา บุรุษหนุ่มสำอางผู้นั้นส่ง เสียงกล่าวขึ้นก่อนว่า
“ข้าพเจ้าแม้นเห็นด้วยกับเรื่องราวในปรโลก แต่สำหรับ เจ้าที่มผู้นี้ที่สุนัขเช่นพวกท่าน จะส่งมันไป ข้าพเจ้าคล้าย ยังมิเห็นด้วย ในความเห็นของข้าพเจ้า ลูกสุนัขเช่นพวก ท่านสองคน ล้วนมีคุณสมบัติครบถ้วนยิ่งกว่ามันมากนัก”
“คุณสมบัติอันใด? ของเจ้า จงรีบบอกกล่าวออกมา
เทวทูตซ้ายเจียฮุย ส่งเสียงตวาดถาม
บุรุษหนุ่มสำอางผู้นั้นได้ยินเช่นนั้น มันส่งเสียงหัวร่อแล้ว หัวร่ออย่างพอใจยิ่ง สำรวจขึ้นลงระหว่างสองเทวทูตซ้าย ขวา เจียฮุย กับเจียจิ้ง แล้วหันมาสำรวจจ่านจืออีกเที่ยว หนึ่ง ส่งเสียงกล่าวว่า
“คุณสมบัติอันใด? พวกท่านทั้งสองยอมรับเองถูกต้อง หรือไม่?ข้าพเจ้ากำลังกล่าวถึงคุณสมบัติของลูกสุนัขพวกท่านทั้งสองรีบกล่าวถาม เช่นนั้นพวกท่านทั้งสอง สมควรเป็นลูกสุนัขจริง ๆ แล้ว”
จ่านจือแม้นมิเคยท่องเที่ยวยุทภพ ประสบการณ์ ภายนอกหมู่บ้ายเย้ยอรุณนั้น เขาแทบจะไม่เคยทราบ เรื่องราวมาก่อนเลย แต่สำหรับคำสนทนาระหว่างบุรุษ ส่าอางผู้นั้น กับสองเทวทูตซ้ายขวา เจียฮุย กับเจี้ยจิ้ง เขา ยังพอเดาออกอยู่บ้าง บุรุษหนุ่มสำอางผู้นี้กำลังกล่าวด่า สองคนนั้น ว่ามันทั้งสองเป็นลูกสุนัขนั้นเอง
เทวทูตขวาเจียจิ้ง ทราบว่าพลาดท่า วาจาของเทวทูต ซ้ายเจียฮุยเมื่อครู่ เท่ากับยอมรับว่าพวกมันทั้งสองเป็นลูก สุนัข มันแม้กริ้วโกรธบุรุษหนุ่มสำอาง แต่มันคิดว่าเดี๋ยว มันต้องฆ่าบุรุษสำอางผู้นี้ไปพร้อมกับจ่านจือ ดังนั้นจึงส่ง เสียงตวาดถามว่า
“คุณสมบัติอันใด? มีวาจาเล่นลิ้นก็จงรีบกล่าวออกมา พวกเราทั้งสองมิมีเวลามากนัก รีบกล่าวออกมา แล้วลูก สุนัขเช่นพวกเราสองคนจะช่วยส่งเจ้าอีกคนไปปรโลก”
เทวทูตซ้ายเจียฮุย ถลึงมองเทวทูตขวาเจียจิ้ง แต่มัน กลับมิกล้ากล่าวตำหนิอันใด ในเมื่อสักครู่มันเองยังพลาด ท่า ยอมรับว่าพวกมันเป็นลูกสุนัข ครั้งนี้เทวทูตขวาพลาด ท่ายอมรับบ้าง ถือว่าเจ้ากันไปมิมีผู้ใด ได้เปรียบเสีย เปรียบ
บุรุษหนุ่มสำอางได้ยินเช่นนั้น พร้อมกับเห็นปฏิกิริยา ของมันทั้งสอง บุรุษหนุ่มสำอางผู้นั้น ยิ่งรู้สึกขอบอก ชอบใจยิ่ง ส่งเสียงกล่าวโดยปลอดโปร่งว่า
“คุณสมบัติของลูกสุนัขท่านทั้งสอง เพียงไม่กี่ข้อคง เพียงพอแล้วสำหรับการไปท่องเที่ยวปรโลกก่อนเจ้าที่ม นั้น หนึ่งนั้นสุนัขเช่นท่านทั้งสอง ประสบการณ์นั้นย่อม โชกโชนกว่ามัน ประการที่สองนั้น หากมองดูวัยแล้ว สุนัข ทั้งท่านอาวุโสกว่ามันมากนัก อีกข้อหนึ่งดูจากองคาพยพ ของสุนัขท่านทั้งสอง สมควรไปท่องเที่ยวปรโลกก่อนมัน มากนัก”
จ่านจือ ได้แต่ยืนฟังบุรุษสำอางผู้นั้น กล่าววาจาโต้ตอบ กับสองเทวทูตซ้ายขวา เจียฮุย กับเจียจิ้ง สำหรับเขาแล้ว มิทราบว่าสมควรกระทำประการใด ได้แต่ภาวนาในใจ ให้สองเฮียม่วยแซ่เฟื่นปรากฏตัว เขาเองมิเข้าใจเช่นกัน ไฉนสองเทวทูตซ้ายขวา เจียฮุย กับเจียจิ้ง ซึ่งเขาไม่เคย พบหน้ารู้จักพวกมันมาก่อน เหตุใดพวกมันทั้งสองจึงคิด เอาชีวิตของเขาด้วย
ยุทธภพซับซ้อนถึงเพียงนี้ บุรุษหนุ่มสำอางลึกลับผู้นี้ อีกผู้หนึ่ง จ่านจือเคยพบพานมาแล้วเมื่อมินานมานี้ บุรุษ สำอางผู้นี้ยิ่งน่ากลัว เขาเคยเห็นฝีมือของมันมาแล้ว คาด คิดมิถึงว่า สองเฮียม่วยแซ่เฟื้นอุตส่าห์พาเขาสลัดหลุดมา ไกลโขแล้ว มันยังติดตามมาทันเข้าจนได้
แต่กระนั้น มิว่าเช่นไร จ่านจือยังคิดกล่าวขอบคุณมันมิได้ หากมันไม่ปรากฏตัวออกมา ป่านนี้เขาอาจจะถูกสอง คนที่เขามีรู้จักมาก่อน ลงมือสังหารเขาไปแล้วอาจเป็นได้
บุรุษสำอางลึกลับยังมิยอมรามือ ยังคงส่งเสียงกล่าว วาจาสืบต่อว่า
“มิว่าด้วยเหตุผลกลใด? ข้าพเจ้าคิดว่าในปรโลก คงยินดี ต้อนรับลูกสุนัขเช่นพวกท่านมากกว่ามัน แทนที่สุนัขท่าน สองคน จะหาคนไปอยู่เป็นเพื่อนเจ้าที่มนั้น ข้าพเจ้าเห็น ว่า พวกท่านทั้งสองมิต้องลำบากมากมายถึงปานนั้น จะ สิ้นเปลืองเรี่ยวแรงเสาะหาคนไปล่วงหน้าไยกัน ข้าพเจ้า กลับเห็นว่า สุนัขเช่นพวกท่านทั้งสอง มีความสนิทสนมรัก ใคร่กันดี ดังนั้นลูกสุนัขทั้งสองเช่นพวกท่าน สมควรล่วง หน้าไปก่อนเจ้าที่มนั้น
จ่านจือรับฟังวาจาบุรุษสำอางลึกลับผู้นี้ เขาเองยังคาด เดาเจตนามันมิออกเช่นกัน ดูไปมันคล้ายต้องการช่วย เหลือเขา หรือว่ามันเพียงต้องการหาความสนุกสนาน เช่นกันเป็นแน่ ได้ยินมันส่งเสียงกล่าวต่อแบบไม่เกรงอก เกรงใจสองคนก่อนนั้นว่า
“พฤติกรรมลูกสุนัขท่านทั้งสอง ข้าพเจ้าเห็นแล้วรู้สึก ขัดตายิ่ง ข้าพเจ้าเองมิใช่คนดีกระไรนัก แต่ยังมั่นใจอยู่ หลายส่วนว่า ข้าพเจ้ามิได้ชั่วช้าต่ำทรามกว่าพวกท่าน เป็นเด็ดขาด ดังนั้นเอาเป็นเช่นนี้เถิด ข้าพเจ้ายินยอมให้ เกียรติสุนัขท่านทั้งสอง ซึ่งพวกท่านนับว่าอาวุโสวัยมากแล้วคงอีกไม่กี่ปีต่อจากนี้ ล้วนต้องลาโลกนี้ไปไม่ผิดไป จากนี้แน่นอน”
บุรุษสำอางลึกลับผู้นั้น ยกมือขึ้นแล้วชี้นิ้วไปที่ปลาย จมูกตนเอง พร้อมกับส่งเสียงกล่าวต่อว่า
“ข้าพเจ้าผู้เป็นตั๋วกงกง(ปู่ใหญ่) มิได้เป็นผู้ที่ตระหนี่ถี่ เหนียวสักเท่าใด? ดังนั้นจะช่วยออกค่าเดินทางไปปรโลก ให้กับลูกสุนัขเช่นพวกท่านทั้งสอง สักหลายอีแปะดีหรือ ไม่?”
บุรุษหนุ่มสำอางลึกลับผู้นั้น กล่าววาจายียวนกวนโทสะ ยิ่ง สองเทวทูตซ้ายขวา เจียฮุย กับเจียจิ้ง มันทั้งสอง ผาดโผนในยุทธจักรมานับว่าโชกโชน ยังมิเคยมีผู้ใด กล้าใช้วาจาล่วงเกินพวกมันขนาดนี้มาก่อน อีกทั้งครั้งนี้ ผู้ที่กล่าววาจาโอหังกับมัน ยังเป็นเด็กน้อยที่เพิ่งหย่านม มารดาไม่เท่าไหร่อีกด้วย
มันทั้งสองแสดงอาการโกรธกริ้วจนลมออกหู สอง ตาแดงก่ำจนเส้นเลือดฝอยในดวงตาแทบระเบิด ทั้งมิได้ นัดหมาย มันทั้งสองดึงกระบองที่กลางหลังออกมาถือไว้ มั่น จากนั้นแยกย้ายเข้าหาบุรุษหนุ่มสำอางลึกลับผู้นั้น ทันที ก่อนที่เทวทูตขวาเจียจิ้ง จะส่งเสียงตวาดเกรี้ยว กราดว่า
“ทารกปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม บังอาจกล่าววาจายอกย้อนวันนี้หากเราทั้งสองไม่เอาชีวิตเจ้า เราสองคนมีขอ เป็นคน
ในขณะที่เทวทูตขวาเจียจิ้งทะยานเข้าหาบุรุษสำอาง ลึกลับก่อน มันเหลียวมาทางด้านเทวทูตซ้ายเจียฮุย ซึ่ง อยู่ใกล้กับจ่านจือ พร้อมกับส่งเสียงกำชับออกคำสั่งว่า
“เจียฮุยท่านจัดการเด็กทารกนั้น ทารกน้อยฝีปากกล้าผู้ นี้ ข้าพเจ้าจะเป็นคนจัดการกับมันเอง”
กล่าวจบเทวทูตขวาเจียจิ้ง เกร็งลมปราณใส่ตัวกระบอง พร้อมกับฟาดเฉียง ๆ ใส่ตำแหน่งหัวไหล่ของบุรุษหนุ่ม สําอางลึกลับ ด้วยระดับความเร็วสุดเปรียบปาน บุรุษหนุ่ม สำอางหน้าตาแฉล้มเอียงตัววูบ หลบพ้นสภาวะกระบองที่ เกรี้ยวกราดดุดันได้โดยปลอดโปร่ง เมื่อกระบองฟาดผ่าน ศีรษะไป ฝ่ามือข้างขวาบุรุษหน้าหยกกลับยกขึ้น พร้อม กับสะบัดข้อมือปาดวูบ เหนือข้อศอกของเทวทูตขวาเจีย จิ้ง ประมาณสองนิ้ว เทวทูตขวาเจียจิ้ง รู้สึกชาวูบตั้งแต่หัว ไหล่จรดปลายนิ้ว กระทั่งมันแทบปล่อยกระบองหลุดจาก มือ
มันยังมิทันได้ตั้งตัว ฝ่ามือที่สองของบุรุษหนุ่มสำอาง ลึกลับติดตามมา แต่ทว่าฝ่ามือนี้ กระแทกใส่กลางหลังมัน อย่างถนัดถนี่ พร้อมกับพลังประหลาดแผ่พุ่งผ่านฝ่ามือ เข้ามา เทวทูตขวาเจียจิ้ง รู้สึกหายใจติดขัดขึ้นมา มันรีบ เกร็งลมปราณขึ้นคุ้มครองกาย พร้อมกับทิ้งตัวกลิ้งลงกับ พื้นไปสามวาเศษ ในใจพลันคิดว่าเด็กน้อยผู้นี้เป็นผู้ใดกัน ไฉนฝีมือช่างร้ายกาจดุดันนัก ตั้งแต่มันออก ท่องยุทธภพมาช้านาน มันยังไม่เคยประมือกับพลังวิชาที่ ร้ายกาจ แปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อนเลย
บุรุษหนุ่มสำอางลึกลับผู้นั้นหลังจากซัดฝ่ามือที่สอง แล้ว หันกลับไปทางด้านจ่านจือ มันเห็นเขาถูกเทวทูต ซ้ายเจียฮุย ฟาดไปหนึ่งฝ่ามือร่างเซถลาถอยไปสองก้าว ล้มครืนลง เทวทูตซ้ายเจียฮุย มิทันเหลียวกลับมาดูว่า เทวทูตขวาเจียจิ้งผู้น้อง หมดท่าก้นเบ้าลุกมิขึ้น มันเงื้อ กระบองขึ้นสุดหล้า แล้วฟาดตามติดใส่กลางกระหม่อม ของจ่านจือ บุรุษหนุ่มสำอางผู้นั้น มันจึงได้กระจ่างว่า จ่า นจือไม่เป็นวรยุทธ์ มันมิรอช้ารีบสะกิดเท้าคราวเดียว บรรลุถึงคนทั้งสอง พร้อมกับจ่อจี้ประกบนิ้วชี้ กับนิ้วกลาง แต่ไกล ใส่ตำแหน่งชายโครงของเทวทูตซ้ายเจียฮุย
มาตรว่าจะเคยผ่านการต่อสู้มาอย่างโชกโชน แต่ครานี้ บุรุษหนุ่มสําอางลึกลับ ลงมือรวดเร็วปานเทพยดา เทวทูต ซ้ายเจียฮุย ยามร้อนรนรีบวกกระบองกลับมาต้านทาน ป้องกัน แต่มิทันการสภาวะกระบองของมันยังคงเชื่อง ช้าเกินไป เมื่อสองนิ้วของบุรุษสำอางลึกลับจี้ปราดถึง ตำแหน่งชายโครงก่อน พร้อมกันนั้นพลังประหลาดสาย หนึ่ง บัดเดี๋ยวร้อน บัดเดี๋ยวเย็นแผ่พุ่งเข้ามาดั่งมหรรณพ ดุจอัคคี เทวทูตซ้ายเจียฮุย รู้สึกอึดอัดขัดข้องถึงที่สุด กระทั่งเลือดลมในกายพลุ่งพล่าน พลังลมปราณในร่าง แตกกระสานซ่านเซ็น
บุรุษหนุ่มสำอางลึกลับนั้น ชักนิ้วที่จ่อจี้ชายโครงกลับ พร้อมกับยกเท้าขวาเตะโครม เข้าที่หัวไหล่ซ้ายของมัน ถนัดถนี่ ส่งผลให้ร่างของเทวทูตซ้ายเจียฮุย กระเด็น กระดอนมาชนกับร่างของเทวทูตขวาเจียจิ้ง ที่เพิ่งลุกขึ้น ยืนมาได้อย่างยากเย็น ทำเอามันทั้งสองล้มโครมครามลง ก้นเบ้ากระแทกพื้นดังครืนใหญ่ มันทั้งสองนึกถึงว่า วันนี้จะมาพ่ายแพ้ไม่เป็นกระบวน ให้กับเด็กน้อยผู้หนึ่งซึ่ง อายุไม่ถึงยี่สิบ มันทั้งสองรีบก้มเก็บกระบอง แล้วรวบรวม พละกำลังที่มีหลงเหลือ พากันเหินข้ามพุ่มไม้ไม่เตี้ยไม่สูง นักต้นหนึ่ง หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว
บุรุษหนุ่มสำอางลึกลับผู้นั้น มิคิดจะติดตามมันทั้งสองไป มันก้าวเท้าเข้าหาจ่านจือ ซึ่งเขาอยู่ในลักษณะร่างครึ่งนั่ง ครึ่งยืน พร้อมกับมือข้างหนึ่งกุมหัวไหล่ไว้ แต่มิได้รับบาด เจ็บกระไรมากนัก มันกล่าววาจาด้วยน้ำเสียงดุดันต่อจ่า นถือว่า
“เจ้าเป็นกระไรหรือไม่? เจ้าทึ่ม? ดูท่าทางท่านคงไม่เป็น ยุทธ์สินะ? ท่านช่างอวดดีไม่เจียมตัวประมาณตน ไม่เป็น วรยุทธ์แล้วยังคิดออกมาผาดโผนยุทธภพ ท่านคงเบื่อ การมีชีวิตแล้วกระมัง? เจ้าทึ่ม ท่านมีชื่อเรียกหาว่ากระไร? รีบบอกกล่าวออกมาให้ข้าพเจ้าทราบ
บุรุษหนุ่มสำอางลึกลับผู้นั้น ตะคอกถามจ่านจือ ซึ่งยัง ยืนทำกระไรมิถูกด้วยความตระหนกตกใจ ถึงแม้นเขาจะ ถูกบุรุษหนุ่มสำอางลึกลับผู้นั้น เรียกตนเองว่าเจ้าทึ่ม เขา หาได้รู้สึกโกรธเคืองไม่ เพียงแค่บุรุษหนุ่มสำอางผู้นั้น ยื่นมือเข้าขัดขวางสองเทวทูตซ้ายขวา เจียฮุย กับ เจียจิ้ง อีกทั้งยังขับไล่มันทั้งสองหลบหนีไปคล้ายดั่งลูก สุนัขสองตัว ถือว่ามันได้ช่วยเหลือเขามากแล้ว ต่อให้ถูก เรียกหาว่าตัวโง่งมบัดซบ หรืออาจจะรุนแรงกว่านี้อีกร้อย พันเท่า เขายังมิคิดโกรธเคืองมันขึ้นมาได้ เมื่อลุกขึ้นยืน เรียบร้อยแล้ว จ่านจือละล่ำละลักตอบไปตามตรงว่า
“ข้าพเจ้าแซ่จ้าว ชื่อจ่านจือ ขอบคุณท่านจอมยุทธ์ ที่ ท่านช่วยเหลือข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเดินทางมาจากเมืองลั่ว หยาง พร้อมกับสหายอีกสองท่าน ครั้งก่อนพวกเราจาก มาโดยมิได้บอกกล่าว ต้องขออภัยต่อท่าน ถูกต้องดั่ง วาจาท่าน ข้าพเจ้าไม่เป็นยุทธ์ จึงถูกสองคนนั้นทำร้าย ทุบตี โชคดีที่ท่านจอมยุทธ์ยื่นมือช่วยเหลือข้าพเจ้าเอาไว้ เอ่อ..มิทราบว่าท่านจอมยุทธ์ มีนามอันสูงส่งว่ากระไร?”
จ่านจือถามกลับบ้าง บุรุษหนุ่มสำอางลึกลับผู้นั้น แสดง ท่าทางดั่งค้อนเขาวงหนึ่ง แต่สีหน้ายังคงนิ่งเฉย จะโกรธ หรือยินดียากคาดเดา บุรุษหนุ่มสำอางลึกลับผู้นั้น เดิน สํารวจรอบ ๆ ตัวจ่านจือ พร้อมกับขบคิดในใจว่า ที่แท้ เป็นแค่เด็กหนุ่มชาวบ้านร้านถิ่นธรรมดา ดังนั้นจึงไม่คิด จะกล่าววาจาด้วยต่อไป มันหันกลับมาถลึงตาใส่จ่านจือ พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดันว่า
“ชื่อของข้าพเจ้า คู่ควรให้ท่านเรียกหาหรืออย่างไร? ที่ ผ่านมาผู้คนที่รู้ชื่อของข้าพเจ้า ล้วนต้องตายไปมิมีผู้ใดยกเว้น ข้าพเจ้าเกลียดชังยิ่งนัก กับผู้คนที่ไม่รู้จักเจียมตน แต่เอาเถิด วันนี้ข้าพเจ้ากลับอารมณ์ดียิ่ง
บุรุษสาอางลึกลับ หยุดเว้นช่วงจังหวะเล็กน้อย แล้วส่ง เสียงกล่าวต่อว่า
“ดังนั้นวันนี้ข้าพเจ้าจะไม่ฆ่าคน ยิ่งลักษณะท่าทางทึ่ม ๆ เยี่ยงท่านด้วยแล้ว ยังไม่คู่ควรให้ข้าพเจ้าลงมือ อ้อ แล้ว มิต้องกล่าวขอบคุณต่อข้าพเจ้า แท้จริงข้าพเจ้ามิได้ตั้งใจ จะช่วยเหลือท่านสักหน่อย ข้าพเจ้าเพียงอยากสนุกสนาน หาความสำราญกับมันสองคนนั้นมากกว่า แท้จริงแล้ว ข้าพเจ้าคิดจะฆ่าท่านเสียด้วยซ้ำ แต่ดูแล้วท่านทึ่ม ๆโง่ ๆลงมือไปหาได้สนุกสนานไม่ อีกประการข้าพเจ้าเกรง จะเสียการใหญ่ สหายสองคนของท่านกำลังมา เช่นนั้น ข้าพเจ้าขอตัว”
แต่ไม่ทราบด้วยเหตุผลใด บุรุษหนุ่มสำอางลึกลัลบผู้นั้น ก่อนที่มันจะผละจากไป มันกลับหันมากล่าววาจา อีกหนึ่ง ประโยคกับจ่านถือว่า
“ท่านเรียกข้าพเจ้าว่า อาผิง จดจำเอาไว้เจ้าที่ม
กล่าวจบมันพลิ้วร่าง เหินข้ามเนินเตี้ยไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ จ่านจือยืนทำท่าทางมึนงงอยู่เพียงลำพัง เขา เองไม่เข้าใจบุรุษหนุ่มสำอางลึงลับผู้นั้นเช่นกันว่า ปาก กล่าววาจาว่าจะฆ่าเขาทิ้งเสีย แต่สีหน้าท่าทางอีกทั้งสายตาที่แสดงออกมา กลับตรงกันข้าม
จ่านจือเองรู้สึกว่า บุรุษหนุ่มสำอางลึกลับผู้นี้ออกจะดู แปลก ๆ ไปบ้าง เสมือนมีกระไรซ่อนเร้นอยู่ในดวงตาเจ้า เล่ห์คู่นี้มิปาน ทว่าดวงตาคู่นั้น กลับทำให้จ่านจือรู้สึก ประทับใจกระไรบางอย่าง เขาเองยังอธิบายความรู้สึกนั้น ออกมามิฏกเช่นกัน
ถึงแม้นว่า เงาร่างของบุรุษหนุ่มสำอางลึกลับผู้นั้น จะ ลับหายไปเนิ่นนานแล้วก็ตาม แต่ทว่าดวงตาเจ้าเล่ห์คู่นั้น คล้ายยังจับจ้องมองเขาอยู่กระนั้น
จ่านจือรีบสะบัดศีรษะ สลัดความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัว สมอง ก่อนจะได้ยินเสียงของมู่เหอดังขึ้นว่า
“จ่านจือ! เกิดกระไรขึ้น? ไฉนท่านจึงถึงถูกทำร้าย เป็น ผู้ใด? ที่กล้าลงมือต่อท่าน ท่านได้รับบาดเจ็บที่ใดรุนแรง หรือไม่?”
เมื่อมู่เหอ พร้อมทั้งไปชิงมาถึง ทั้งสองเห็นสภาพโดย รอบ ทราบได้ทันทีว่า บริเวณนี้มีการต่อสู้เกิดขึ้นก่อนหน้า นี้ เมื่อเห็นจ่านจือได้รับบาดเจ็บบริเวณหัวไหล่ หลังจาก สอบถามเรื่องราว จ่านจือบอกเล่าไปมิได้ปิดบัง ไป่ชิง ตรวจดูแล้ว มิมีบาดแผลรุนแรงอันตราย เพียงปรากฏรอย ฟกช้ำนิดหน่อยเท่านั้นเอง ดูจากร่องรอยมิเป็นกระไรมาก ทาหยูกยาครั้งสองครั้งคงหาย ทั้งหมดจึงรีบมุ่งหน้าเดินทางสู่หุบเขาสายรุ้งทันที
ขณะที่เดินทางนั้น ไปชิง กับมู่เหอ เล่าเรื่องราว เหตุการณ์ ซึ่งทั้งสองติดตามคนชั่วช้าทั้งสามคนไป เฮีย มวยแซ่เฟืน ต้องการแก้แค้นให้แก่ป้าหนิว กับจ่านจือ แต่ บังเอิญพบเห็นแม่ชีนิรนามสองนางเข้าเสียก่อน ซึ่งสอง เฮียมวยแซ่เฟื่น เคยได้ประมือกับแม่ชีนิรนามนางหนึ่งที่ ลั่วหยาง
สองเฮียม่วยแซ่เฟิน ช่วยกันเล่าเรื่องราวให้เขาฟัง ด้วย สาเหตุนี้ทั้งสองจึงต้องหลบซ่อนตัว เป็นเหตุให้คนชั่วช้า สามคนหลบหนีไปได้ จ่านจือไม่กล่าวโทษเฮียม่วยแซ่ เฝิ่น เพียงแค่ทั้งสองคิดจะแก้แค้นแทนเขาเพียงเท่านี้ยัง ถือว่าเป็นบุญคุณใหญ่หลวงแล้ว พร้อมกันนั้นไปชิง ยัง บอกกล่าวให้จ่านจือระมัดระวังตัวเอาไว้ให้มาก หากเจอะ เจอแม่ชีนิรนามสองนางนั้นเข้า หากว่าเขาพบเจอพวก นางที่ใด ให้รีบหลบหนีไปให้ไกลอย่าได้ไปตอแยกับนาง เด็ดขาด
หุบเขาสายรุ้ง
หุบเขาสายรุ้ง เป็นภูเขาสองลูกตั้งชนกัน ลักษณะโค้ง ดูไปคล้ายกับสายรุ้งกำลังกินน้ำปานฉะนั้น ตรงกลาง ระหว่างช่องเขา มีทางเดิน แคบ ๆ แถมยังวกวนคดเคี้ยว ไปมาอีกด้วย หากจะให้เปรียบเทียบคล้ายดั่งเขาวงกตที่ หนึ่ง
หากไม่มีแผนที่ในมือ ซึ่งเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเปี๊ยะเทียน ได้ให้ไว้คิดว่าคงหาทางเข้าหุบเขาสายรุ้งมิเจอ แต่คู คล้ายกับว่าสองเฮียม่วยแซ่เฟินทั้งสองล้วนชำนาญเรื่อง แผนที่ รวมถึงเส้นทางเป็นพิเศษ เพียงดูจากลายเส้นที่ขีด วาด ซึ่งเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเปี๊ยะเทียนวาดเอาไว้ให้ ทั้ง สามเดินคดเคี้ยวตามตำแหน่งบนลายเส้นไม่นาน ในที่สุด ทั้งสามผ่านช่องเขาเข้ามาได้ยังด้านในหุบเขาแล้ว จ่า นจือเองนับว่าเป็นคนหัวไวผู้หนึ่ง เขายังดูลายเส้นบนผืน ผ้าไม่ค่อยเข้าใจเท่าใดนัก
บ่ายคล้อยมากแล้ว ทั้งสามเดินทางมาถึงลำธารน้ำใส แห่งหนึ่ง เมื่อข้ามลำธารแล้ว เดินอ้อมมาประมาณสิบลี้ เป็นพื้นราบที่หนึ่ง บ้านหลังหนึ่งปลูกสร้างจากไม้ไผ่แข็ง แรงตั้งตระหง่าน กินเนื้อที่ค่อนข้างกว้างขวาง เมื่อเดิน เข้าไปใกล้ได้กลิ่นฉุนแตะปลายจมูก จึงทราบได้ทันทีว่า มาไม่ผิดเพี้ยน
ทั้งหมดจึงชักชวนกันนั่งพักตรงนอกชาน ซึ่งเป็นแคร่ ไม้ไผ่สําหรับนั่งพักผ่อน ภายในบ้านเงียบเชียบสงบไร้ ผู้คน มู่เหอลุกขึ้นเดินสำรวจดูรอบ ๆ ปรากฏว่าไม่พบเห็น ท่านเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเกี๊ยะเทียน คาดคิดว่าท่านคง ออกไปทำธุระ หรือไม่คงออกไปหาสมุนไพรในป่าเขาเป็น แน่
ทันใดนั้น พื้นดินใต้แคร่ไม้ไผ่ มีเสียงผิดปกติดังกุกกัก ทั้งจ่านจือ และไปชิงรีบถลันลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เสียง ครืดครืนพอดัง พร้อมกับตัวแคร่ขยับเขยื้อนเคลื่อนออกเผยให้เห็นประตูสับบานหนึ่งอยู่ใต้แคร่ เมื่อเปิดออก เจ้า โอสถสายรุ้งเส้าเปี๊ยะเทียน ท่านเดินขึ้นบันไดมา
ที่แท้มีห้องลับใต้ดิน ห้องลับนี้สามารถเข้าออกจาก หุบเขาสายรุ้งได้อีกเส้นทางหนึ่ง โดยมิมีผู้ใด สามารถ สังเกตหรือพบเห็นได้ง่ายดายทั้งสองรีบประสานมือ คารวะ ต่อท่านเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเปี๊ยะเทียน สองเฮีย มวยแซ่เฟื่น เมื่อทำความเคารพแล้ว ทั้งสองรีบแนะนำ ท่านเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเปี๊ยะเทียน ให้แก่จ่านจือได้รู้จัก
จ่านจือรีบประสานมือคารวะ ต่อท่านเจ้าโอสถสายรุ้ง เส้าเปี๊ยะเทียน โดยมิรั้งรอชักช้า เมื่อเขาเห็นบุคลิกภาพ ของท่านแล้ว ทำให้เขามีความหวังขึ้นมาทันที ดูจาก ท่าทางท่านลักษณะใจดี มีเมตตากรุณา สีหน้าปรากฏ รอยยิ้ม ดูโอบอ้อมอารี มิว่าเช่นไร ท่านคงมิเสือกไสไล่ส่ง ตน ซึ่งกำลังขาดที่พึ่งพิง หลังจากจ่านจือคารวะท่านเจ้า โอสถสายรุ้งเส้าเปี๊ยะเทียนแล้ว เขากล่าวแนะนำตัวเองว่า
“ข้าพเจ้าแซ่จ้าว ชื่อจ่านจือ คารวะท่านเจ้าโอสถสายรุ้ง มารดาบุญธรรมข้าพเจ้า ถูกคนชั่วช้าสามคนฆ่าตาย เคราะห์ดีที่ได้ท่านมู่เหอ พร้อมทั้งแม่นางไป่ชิง ทั้งสองยื่น มือช่วยเหลือข้าพเจ้าเอาไว้ มิหนำซ้ำยังอาสาพาข้าพเจ้า เดินทางลงใต้มายังสถานที่แห่งนี้ ข้าพเจ้าเกรงว่า จะมาส ร้างความลำบากใหญ่หลวง ให้กับท่านเจ้าโอสถสายรุ้ง แล้ว”
จานจ๊อบอกเล่าถึงสาเหตุ ซึ่งเฮียม่วยแซ่เฝิ่น พาตนเดิน ทางมายังหุบเขาสายรุ้ง เขาแสดงออกด้วยกิริยาอ่อนน้อม ถ่อมตน พร้อมด้วยน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจ แววตายังซาน ให้น่าสงสารเอ็นดูอีกด้วย จ่านจือ กล่าววาจาเพียงเท่านี้ หลังจากนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสองเฮียมวยแซ่เฟื่น กล่าววาจาต่อจากนี้
ทั้งสามรวมทั้งเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเปี๊ยะเทียน ทั้งนั่งลง สนทนากันบนแคร่ไม้ไผ่แห่งนั้น เฮียม่วยแซ่เฟื่น บอกเล่า เรื่องราวตั้งแต่แยกจากกับเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเปี๊ยะเทียน ที่เนินเสือดาว เล่าว่าหลังจากนั้นเกิดเรื่องราวใด ขึ้น บ้าง พร้อมกับเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับจ่านจือ โดยละเอียด มิปิดบัง ให้แก่ท่านเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเปี๊ยะเทียนได้รับ ทราบ
หลังจากเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดโดยละเอียด ทั้งสองเฮีย ม่วยแซ่เฟื่น ต่างพากันขอร้องต่อท่านเจ้าโอสถสายรุ้งเส้า เปี๊ยะเทียน ขอให้ท่านรับจ่านจือไว้ด้วย เจ้าโอสถสายรุ้ง เส้าเกี๊ยะเทียน พิศดูลักษณะท่าทางของ จ่านจือ ท่าน เห็นว่าเขาเป็นคนซื่อตรงมีคุณธรรม จึงรับปากสองเฮีย ม่วยแซ่เฟื่น ว่าท่านจะช่วยรับเขาเอาไว้ดูแล เฟินมู่เหอ พร้อมทั้งเฟื่นไป่ชิงยินดีกับจ่านจือยิ่ง จากนั้นทั้งสองจะ ขอพักแรมเพียงหนึ่งคืน แล้วจะเดินทางกลับผาในทันที
วันรุ่งขึ้น มู่เหอกับไปชิง ต่างอำลาท่านเจ้าโอสถสายรุ้ง เส้าเกี๊ยะเทียน พร้อมทั้งจ่านจือ แล้วทั้งสองเตรียมตัวออกเดินทาง เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเปี๊ยะเทียน ให้ทั้งสองใช้ เส้นทางลับใต้ดิน เดินทางออกจากหุบเขาสายรุ้ง
ก่อนจากกัน ไปชิงเอ่ยกล่าวกับจ่านจือว่า ให้เขาตั้งใจ เรียนรู้จากเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเปี๊ยะเทียนให้มาก อย่า เกียจคร้านดูดายเป็นเด็ดขาด หากวันชุมนุมชาวยุทธ์ที่วัด เส้าหลินมาถึง อีกราวห้าปีกว่าหลังจากนี้ เจ้าโอสถสาย รุ้งเส้าเปี๊ยะเทียน ท่านนำพาเขาเดินทางไปด้วย เขาและ สองเฮียม่วยแซ่เฟินคงได้เจอะเจอกัน จากนั้นทั้งสองจึง ออกเดินทาง ใช้เส้นทางลับใต้ดิน ออกจากหุบเขาสายรุ้ง ไปทันที
เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเกี๊ยะเทียนเอง ท่านได้ใช้เส้นทาง ลับสายนี้ เร้นกายเข้าหุบเขามาเช่นกัน ที่แท้คนที่แม่ชีส องนางติดตามมา คือเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเปี๊ยะเทียนนั้น เอง หลังจากท่านไปพบใครคนหนึ่ง ที่นอกด่านหันหูกวน เมื่อเสร็จธุระแล้วจึงเดินทางกลับ ระหว่างทางทราบว่า มีคนสะกดรอยติดตามมา เมื่อบรรลุถึงก่อนเข้าหุบเขา สายรุ้ง จึงสลัดหลุดพ้นมาได้ พร้อมกับหลบเข้าหุบเขา สายรุ้ง โดยใช้เส้นทางลับในห้องใต้ดิน ดังนั้นแม่ชีสอง นางจึงหาท่านเท่าใด ยังไม่อาจเจอ
หลังจากสองเฮียมวยแซ่เฟินจากไป ค่ำคืนนั้น จ่านจือรู้ สึกแปลกที่แปลกทาง จนกระทั่งนอนไม่หลับ เขาจึงนอน ฟังเสียงแมลงสัตว์ปีก ส่งเสียงร้องอยู่ก้องป่า แต่เมื่อนอน ฟังได้สักครู่หนึ่ง กลับมีความรู้สึกว่าช่างไพเราะ อีกทั้งยัง เพลิดเพลินยิ่งนัก ในที่สุดเคลิบเคลิ้มไป แต่ก่อนจะเข้าสู่ห้วงภวังค์หลับใหล ใบหน้าหนึ่งกลับปรากฏขึ้นมา ในห้วงความคิดของเขา ใบหน้าหนึ่งกับดวงตาคู่หนึ่ง
วันรุ่งขึ้น จานจ่อรีบตื่นนอนแต่เช้าตรู่ ยามเช้า บรรยากาศช่างสดชื่นยิ่ง เขาหลับตาลง พร้อมกับสูด อากาศบริสุทธิ์เข้าไปจนกระทั่งเต็มปอด อดนึกถึง บรรยากาศยามเช้า ที่หมู่บ้านเย้ยอรุณขึ้นมามิได้ ที่นั่น ในยามเช้า จะปกคลุมไปด้วยหมอกสีขาว ละอองน้ำค้าง โปรยปราย เกาะติดอยู่ตามใบไม้ กับยอดหญ้าเขียวขจี ทุกเช้า จ่านจือจะตื่นขึ้นมา พร้อมกับออกมาสูดอากาศ อันบริสุทธิ์ ด้วยการหลับตาลง และหายใจลึก ๆ ปล่อยให้ อากาศอันสดชื่นบริสุทธิ์ กระจายอยู่ภายในร่างกายให้ นานที่สุด ก่อนจะค่อย ๆ ปล่อยออกมาทางนาสิกช้า ๆ
ยามเช้ายอดหญ้าอ่อนเขียวชอุ่ม ซึ่งพรั่งพรมไปด้วย หยาดหยดน้ำค้างสดใส จ่านจือจะนำเคียวออกไปเกี่ยว หญ้าเหล่านั้น มาให้กับวัวและม้าในคอกของเขา ได้เคี้ยว กินกันอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนมารดาบุญธรรมของเขา ท่าน จะเข้าครัวปรุงอาหารเช้า อันเลิศรส คุ้นลิ้นจ่านจือ เมื่อ ป้าหนิวทำกับข้าวเสร็จ เขาให้อาหารสัตว์เลี้ยงเสร็จสรรพ ด้วยเช่นกัน
หลังจากนั้นแม่ลูกทั้งสอง จะมาร่วมวงรับประทานอาหาร เช้าด้วยกัน แม้จะเป็นอาหารพื้น ๆ ธรรมดาแบบชาวบ้าน แต่กระนั้นจ่านจือ กลับรับประทานได้อร่อยยิ่ง ทุกมื้อจะ รับประทานข้าวสวยไปไม่ต่ำกว่าสามชามเสมอ ป้าหนิว เองมีความสุขยิ่ง ตั้งแต่ท่านได้จ่านจือมาเป็นลูกบุญธรรม นึกมีถึงมาวันนี้ ท่านมาจากเขาไปไม่กลับแล้ว หวนนึกแล้วจ่านจือรู้สึกหดหู่ใจไม่คลาย
ดังนั้นจึงคิดว่า เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเปี๊ยะเทียน ท่านรับ เขาเป็นศิษย์แล้ว เขาควรกตัญญูต่อท่านให้มาก ด้วยการ ปรนนิบัติท่านให้ดี เขาเคยเข้าครัวช่วยป๋าหนิว หยิบจับ สิ่งของเวลาป้าหนิวปรุงอาหาร จึงคิดว่าเช้านี้ จะเข้าครัว หุงข้าว พร้อมกับทำกับข้าวง่าย ๆ คล้ายกับ แม่บุญธรรม เคยทำให้เขารับประทาน เพื่อที่ท่านเจ้าโอสถสายรุ้งเส้า เปี๊ยะเทียน จะได้รับประทานกับเขาด้วย
เมื่อรับประทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว หลังจากเก็บ ถ้วยชามไปล้างทําความสะอาดแล้ว เจ้าโอสถสายรุ้งเส้า เปี๊ยะเทียน นั่งอยู่บนม้านั่งภายในห้องโถง ท่านเรียกให้ จ่านจือเข้าไปหา พร้อมกับให้เขาคุกเข่าลงตรงหน้าท่าน จากนั้นท่านกล่าวกับเขาว่า
“ตั้งแต่เราเร้นกายจากยุทธภพมากว่าสิบห้าปี มิเคยรับ ศิษย์คนใด?เลยแม้แต่ผู้เดียว เราเองแก่ชรามากแล้ว คิดมิ ถึงก่อนตาย จะได้รับศิษย์เช่นเจ้าไว้คนหนึ่ง ดังนั้นเราจึง ตั้งใจจะสอนวิชาทั้งหมดของเรา ให้กับเจ้าทั้งหมด ขอให้ เจ้าตั้งใจจดจํา อีกทั้งขยันหมั่นฝึกซ้อม เราเองเบาใจที่ได้ ศิษย์เช่นเจ้า มาสืบทอดวิชาทั้งหมดของเรา”
จ่านจือโขกศีรษะลงจรดพื้นแปดครั้งครา จากนั้น ประสานมือขึ้นต่อหน้าเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเปี๊ยะเทียน พร้อมกับส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“ข้าพเจ้าจ่านจือ ขอสาบานว่า จะตั้งใจศึกษาจดจำ พร้อมทั้งจะนำความรู้ไว้คอยช่วยเหลือผู้เดือดร้อน ข้าพเจ้าจะยึดมั่นอยู่ในคุณธรรมซื่อสัตย์ต่อตนเอง และผู้ อื่น หากผิดคําสาบาน ขอให้ข้าพเจ้าตายไร้ที่กลบฝัง”
เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเปี๊ยะเทียน พยักหน้ารับทราบอย่าง พึงพอใจ พร้อมกับบอกกล่าวกับเขาว่า ในยุทธจักรมาก ล้วนด้วยผู้คน จิตใจคนช่างลึกล้ำยากแท้หยั่งถึง รู้หน้า มิอาจรู้ใจ ผู้คนมีทั้งคนดีคนร้าย บ้างหน้าไหว้หลังหลอก ปากหวานก้นเปรี้ยว สิ่งที่อันตราย อีกทั้งยังน่าสะพรึงกลัว ที่สุด นั้นคือจิตใจคน ดังนั้นบางสิ่งบางอย่าง เขาต้องเรียน รู้ด้วยตัวเอง ท่านมิอาจสั่งสอนได้ทั้งหมดสิ้น
ตั้งแต่นั้นมา จ่านจือตั้งใจ าเรียนตามคําสอน ของเจ้า โอสถสายรุ้งเส้าเปี๊ยะเทียน เริ่มแรกเจ้าโอสถสายรุ้งเส้า เปี๊ยะเทียน ให้เขาศึกษาตัวยาสมุนไพรต่าง ๆ จ่านจือ เฉลียวฉลาด มีความจำเป็นเลิศ ท่านเจ้าโอสถสายรุ้ง เส้าเปี๊ยะเทียน ให้เขาหยิบฉวยตัวยาใด ไม่เคยผิดพลาด แม้แต่ครั้งเดียว เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเปี๊ยะเทียนเอง อดชื่น ชมจ่านจืออยู่ไม่น้อย ท่านทุ่มเทสั่งสอนวิชาให้กับเขาโดย มิได้ปิดบังซ่อนเร้น
วันนี้ จ่านจือเริ่มต้นเรียนรู้จุดชีพจรต่าง ๆ บนร่างกาย ทุกจุดเส้นล้วนจดจำได้ไม่คลาดเคลื่อน ท่านเจ้าโอสถ สายรุ้งเส้าเกี๊ยะเทียน กล่าวถามจุดใด เขากล่าวตอบได้ อย่างแม่นยำ โดยมิต้องบอกเป็นคำรบสอง มินานนักเขาเริ่มเรียนรู้ลมปราณขั้นพื้นฐานตามลำดับ
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ