จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร

ตอนที่ 1 เขาหมื่นเซียน



ตอนที่ 1 เขาหมื่นเซียน

ตอนที่ 1 เขาหมิ่นเซียน

สํานักตำหนักหมื่นเทพ เขาหมื่นเซียน

ยอดเขาสูงเสียดฟ้าตั้งตระหง่าน ผู้คนเรียกขานนาม “เขาหมื่นเซียน” ดึกสงัดบรรยากาศหาได้เงียบสงบ สายลมพัดกระโชกดังครืนครั่นสนั่นทั่ว สายวิชชุแลบ แปลบปลาบน่ากลัว อสนีบาตฟาดเปรี้ยงเสียงดั่งฟ้าถล่ม แผ่นดินทลาย ห่าฝนกระหน่ำซ้ำซัดสาดเทลงมาอย่างบ้า คลั่ง

สำนักตำหนักหมื่นเทพ ในค่ำคืนนี้โกลาหลอลหม่าน พ่อ บ้านคนรับใช้ต่างเร่งก่อไฟเติมฟืนต้มน้ำจนเดือดพล่าน ท่ามกลางสายฝนกระหน่ำเทลงมาไม่หยุดยั้ง ร่างเลือน รางห้าสายวิ่งฝ่าสายฝนอย่างเร่งร้อน พอเท้าเหยียบย่าง สัมผัสพื้นซึ่งมีหลังคาปกคลุม ทั้งห้าคนหยุดยืนแลเห็น เป็นสองบุรุษกับสตรีอีกสามนาง

บุรุษหนึ่งแต่งกายคล้ายบัณฑิต บุรุษหนึ่งแต่งกายมิดชิด รัดกุม เพียงมองผ่านคาดคะเนไม่ผิดพลาด ทั้งสองมีวิชา ฝีมือติดตัวอายุราวสามสิบเศษ สตรีสามนางวัยกลางคน แต่งกายไม่คล้ายชาวยุทธ์เท่าใดนัก คนรับใช้เห็นเช่นนั้นรีบวิ่งออกมาพร้อมกับชุดใหม่ให้ทั้งหมด ผลัดเปลี่ยน

“ท่านหมอทั้งสามผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วหรือ ไม่?”

บุรุษในชุดใหม่เพิ่งผลัดเปลี่ยน แต่ยังคงไว้ซึ่งบุคลิกภาพ ของบัณฑิตกล่าวถาม

“เราทั้งสามพร้อมแล้ว ไม่ทราบว่าท่านจะให้เราทั้งสาม ทำคลอดให้กับผู้ใด?”

หนึ่งในสตรีสามนางเอ่ยถาม

“ฮูหยินทั้งสามบังเอิญเจ็บท้องคลอดพร้อมกันมิได้นัด หมาย เราได้จัดแจงห้องหับแยกเป็นสามส่วนมิปะปน ท่าน หมอทั้งสามติดตามคนของเราไป อุปกรณ์น้ำต้มล้วน เตรียมพร้อมมิตกหล่นขาดเหลือ

บุรุษอีกผู้หนึ่งกล่าวขึ้นกับสตรีทั้งสาม

ที่แท้สตรีกลางคนทั้งสามเป็นหมอตำแย บุรุษทั้งสอง ลงเขาไปรับตัวมาตั้งแต่หัวค่ำ หลังจากทราบแน่ว่าสตรี ภายในห้องสามนาง ต่างร้องครวญครางโอดโอยท้อง แก่ อีกทั้งยังมีน้ำคร่ำไหลหลั่งมิยั้งหยุดคำนวณแน่ไม่พ้น ค่ำคืนนี้ สตรีทั้งสามต้องให้กำเนิดทารกน้อยให้เชยชม
หมอตำแยทั้งสามชำนาญการทำคลอด ไม่ส่งเสียงลอด ถามให้มากความ แยกย้ายก้าวเท้าตามติดผู้นำพา เบียด ร่างผ่านบานประตูห้องหับเข้าไป ก่อนที่หญิงรับใช้จะปิด ประตูลง

ฝนฟ้าไม่เป็นใจดั่งกลั่นแกล้งผู้คน ผ่านมาหลายวัน อากาศแห้งแล้งไร้เมฆหมอก ค่ำคืนนี้ไม่มีเค้าลางว่าจะมี พายุฝนเกิดขึ้น จู่ ๆ พลันพายุพัดโหมรุนแรงกระหน่ำทั้ง สี่ทิศแปดทาง หนำซ้ำฟ้ายังร้องก้องคำรามดั่งโกรธแค้น สายวิชซุสีขาวปนเหลืองแลบแปลบปลาบฉาบทั่วท้อง นภาราตรีอันมืดมิด ก่อนที่สายฝนจะสาดเทลงมาโดยมิ ลืมหูลืมตาอย่างบ้าคลั่ง

ภายในห้องทําคลอดทั้งสาม เสียงร้องโอดโอยของสตรี ดังเล็ดลอดออกมามิขาดหู ปานว่าจะขาดใจลงบัดเดี๋ยว นั้น เสียงหมอตำแยส่งเสียงกำชับเอาใจช่วย ดังสลับสับ เปลี่ยนกับเสียงร้อง จนยากจําแนกเสียงคนกับเสียงฟ้า ฝน

“ออกแรงเบ่งอีกที นั่นแหละใกล้แล้ว ข้าพเจ้าเห็นศีรษะ เด็กแล้ว สูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ แล้วเบ่ง”

เสียงหมอตำแยส่งเสียง ภายนอกห้องทำคลอดบุรุษ หลายคนต่างเดินไปมาไม่หยุดนิ่ง บ้างชะเง้อเงี่ยหูสดับ รับฟัง ภายในห้องพลันเงียบเสียงลงชั่วขณะ แต่ภายนอก ห้องเสียงหัวใจของหลายคนเต้นตูมตามดั่งกลองนับร้อย ถูกตีกระหน่ำพร้อม ๆ กัน ผู้คนกระสับกระส่ายคล้ายยืนไม่ติดพื้น เดินสวนสลับกันไปมาปาน พยัคฆ์ติดกับดักนายพรานปานฉะนั้น

ทันใดนั้นสายอสุนีบาตฟาดทลายเปรี้ยงลงมา จนสว่าง จ้าไปทั่วท้องฟ้าอันมืดมิดยามรัตติกาล ภายในห้องที่เงียบ สงบพลันดังกึกก้องด้วยเสียงร้องของทารก

“อุแว้ อุแว้ อุแว้”

เสียงร้องจ้าดังแข่งพร้อมกันทั้งสามห้อง ผู้ที่ยืนรออยู่ ภายนอกตื่นเต้นยินดีจนแทบกระทำสิ่งใดไม่ถูก ผ่านไป เพียงชั่วลัดนิ้วบนฝ่ามือ เสียงภายในห้องทั้งสามพลัน ค่อย ๆ เงียบลงจนสงบ แต่แล้วจู่ ๆ ห้องที่ตั้งอยู่ตรงกลาง เกิดเสียงร้องลั่นสนั่นจ้าขึ้นอีกครั้งครา เสียงทารกตะเบ็ง เสียงแข่งกับเสียงฟ้าและพายุฝน จนฟังไม่ได้ศัพท์จับ ทิศทางจําแนกแยกแยะไม่ออก

ชั่วครู่ให้หลังทุกสรรพสิ่งเงียบงันลงอีกครั้ง ภายในห้อง จุดเทียนไขจนสว่างไสว ภายนอกพายุพัดผ่านพ้นเลยไป สายฝนไม่มีร่วงหล่นจากฟ้าแม้แต่เม็ดเดียว ฟ้าหลังฝน ย่อมสดใส อรุโณทัยไขแสงในตอนเช้าของวันนี้ สำนัก ตำหนักหมื่นเทพจะรีบแจ้งข่าวดีเกี่ยวกับทารกที่เพิ่ง คลอดไปทั่วยุทธภพ ทารกที่เกิดมากับสายฟ้าและพายุ ลมฝนกระหน่ำ ปรากฏการณ์เช่นนี้คงมิใช่ลางร้ายบอก เหตุเภทภัย
บุรุษที่ยืนคอยอยู่เบื้องนอกใจจดใจจ่อว่าเมื่อใด หมอ ตำแยจะอุ้มทารกน้อยออกมาให้เชยชม บ้างอยากทราบ ว่าทารกที่กำเนิดเกิดมา เป็นทารกเพศชายหรือเพศหญิง กันแน่

ทันใดนั้นภายในห้องบังเกิดเสียงดังประหลาดขึ้น ฟัง คล้ายมีคนหลายช่องหน้าต่างเข้ามาจากด้านหลัง มีรอช้า บุรุษด้านนอกหลายคน พุ่งร่างพังประตูแยกย้ายเข้าไป ภายในห้องทั้งสาม เป็นเวลาเดียวกันกับเงาร่างชุดดำสาม คน ทลายช่องหน้าต่างพุ่งร่างออกไปพอดี ท่าร่างช่าง รวดเร็วน่ากลัวยิ่ง

“ลูกข้าพเจ้า! มีคนร้ายขโมยทารกไปแล้ว”

เสียงสตรีทั้งสามที่เพิ่งให้กำเนิดทารกร้องขึ้น พร้อมกับ ยกมือชี้ไปยังช่องหน้าต่างทางด้านหลังห้องที่คนร้ายใช้ เป็นเส้นทางหลบหนี

บุรุษในที่นั้นพากันพุ่งร่างติดตามไปทันที เมื่อติดตาม มายังเบื้องนอก เงาร่างของคนชุดดำผู้หนึ่งซึ่งเข้ามายัง ห้องที่ตั้งอยู่ตรงกลาง มีท่าร่างรวดเร็วดุจวิญญาณผีภูต พราย พริบตาเดียวโอบอุ้มทารกน้อยกลืนหายไปกับ ความมืดมิดจนไม่เห็นเงา

ชายชุดดำอีกสองคนมือข้างหนึ่งโอบอุ้มทารก มืออีกข้าง ที่ว่างเปล่ายกขึ้นแล้วแผ่พุ่งพลังเข้าใส่ผู้ติดตามคราวเดียวสิบกว่าฝ่ามือ

“ยี่ซือ(ศิษย์พี่รอง) ข้าพเจ้าจะไปตามซือแป(อาจารย์) และศิษย์พี่ทั้งสองมาช่วย พวกท่านล้อมกักพวกมันเอาไว้ อย่าให้หนีได้ แล้วข้าพเจ้าจะรีบกลับมาช่วยอีกแรง”

ดรุณีวัยยี่สิบห้าปีส่งเสียงขึ้น พร้อมกับพุ่งร่างออกไปดั่ง พายุพัดหอบ

เหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวาย ผู้ที่ดรุณีเมื่อครู่เรียกหาเป็น ศิษย์พี่รอง กับบุรุษแต่งกายคล้ายบัณฑิต และมือดีอีก หลายคน ต่างพากันแยกย้ายกักล้อมร่างชายชุดด่าสอง คนเอาไว้ มีเพียงชายชุดดำอีกผู้หนึ่งซึ่งหนีไปได้พร้อมกับ ทารกที่เพิ่งให้กำเนิดเกิดมา

จากนั้นการต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือดเผ็ดร้อน ชุดดำ ทั้งสองแม้มือข้างหนึ่งโอบอุ้มห่อผ้า อันมีทารกน้อยเพิ่ง คลอดห่อหุ้มอยู่ภายใน กระนั้นสภาวะท่าร่างกลับไม่ สะดุดติดขัด ฝ่ามือข้างที่ว่างเปล่าใช้ออกติดต่อกันสิบห้า ฝ่ามือ เท้าที่ก้าวย่างยิ่งไม่สับสนเสียหลักผลักหนึ่งฝ่ามือ คนที่กักล้อมกระเด็นกระดอนไปหนึ่งคน ผลักสองฝ่ามือ กระเด็นไปสองคน ชุดดำอีกคนกวาดเท้าในคราวเดียว เกี่ยวผู้คนล้มหงายไปถึงห้าหกคน

แต่ทว่าบุรุษในชุดบัณฑิต กับบุรุษที่ดรุณีนางนั้นเรียกหา เป็นศิษย์พี่รอง มีฝีมือรวดเร็วร้ายกาจ ไม่ตกเป็นรองสองคนชุดดำเท่าใดนัก อีกทั้งยังมีสองมือที่ว่างเปล่า มิได้ โอบอุ้มสิ่งใดไว้ในอ้อมแขน ดังนั้นยิ่งพลิกแพลงสําแดงท่า ร่างได้มากกว่า

คนชุดดำสองคนสู้พลางถอยพลาง มีอยู่ครั้งหนึ่งเกือบ ถูกฝ่ามือของสองบุรุษทำร้าย คนชุดด่าทั้งสองยาม ลนลานสับสน ห่วงตนมากกว่าห่วงทารกในอ้อมแขน ต่าง โยนทารกทั้งสองลอยคว้างขึ้นกลางอากาศ แล้วประกบ ฝ่ามือทั้งสองเข้าปะทะกับสองบุรุษ เมื่อปะทะฝ่ามือแล้ว ร่างต่างแยกจาก ทารกน้อยทั้งสองหมดสภาวะร่างร่วง หล่นตกพื้นชวนหวาดเสียว ในขณะที่ทุกคนยังคงต่อสู้ ติดพัน

ทันใดนั้นสตรีนางหนึ่งพุ่งร่างเข้ามา แล้วคว้าหมับรับ ทารกหนึ่งเอาไว้ได้ ส่วนทารกอีกคนหนึ่ง ชายชุดดำหลัง จากต่อยหมัดใส่บุรุษชุดบัณฑิตแล้ว ลอยตัวขึ้นคว้าหมับ รับห่อผ้าของทารกอีกคนไว้ได้หวุดหวิดหวาดเสียว แล้ว พุ่งร่างหลบหนีอย่างรวดเร็ว

ฉับพลันทันใดนั้น สตรีอีกนางหนึ่งไม่ทราบว่ามาจาก ทิศทางใด พุ่งร่างติดตามชายชุดดำผู้ซึ่งอุ้มทารกติดมือ ไป คนอื่น ๆ ไม่มีเวลาใส่ใจหันไปมอง รีบลงมือจัดการชุด ดำที่เหลืออีกผู้หนึ่ง ซึ่งในขณะนี้ในมือปราศจากทารก น้อย คนชุดดำแม้ฝีมือกล้าแข็งแต่คู่มือมีมากหลาย อีกทั้ง หากเจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพปรากฏตัว อย่าหมายว่าจะ รักษาชีวิตเอาไว้ได้ รีบถีบเท้าพุ่งร่างถอยหลัง อาศัยความ มืดกระโดดลอยตัวหนีไป
จังหวะนั้นร่างของชายชราผมขาว สวมชุดยาวทุ่งมา ดั่งสายลมหอบหนึ่ง ด้านหลังติดตามด้วยดรุณีหน้าตา หมดจด ซึ่งเป็นผู้ไปตามชายชราดังกล่าว เมื่อมาถึงบุรุษ สองคนกำลังพุ่งร่างติดตามไปมุ่งตรงยังริมผาฟากหนึ่ง เป็นทิศทางเดียวกับที่คนชุดดำโอบอุ้มทารกหนีไป และมี สตรีอีกหนึ่งนางพุ่งร่างติดตามไปนั้นเอง

ทั้งหมดวิ่งติดตามไปโดยมิได้นัดหมาย ริมผาชายชุดดำ โอบอุ้มทารกกำลังต่อสู้กับสตรีนางนั้น เสียงสตรีนางนั้น ร้องตวาดเสียงดังก้องกังวานว่า

“เจ้าคนชั่วช้า ท่านเป็นผู้ใดกันแน่? รีบส่งลูกของข้าพเจ้า มาเร็วเข้า

ปากส่งเสียงตวาดฝ่ามือฟาดพุ่งออกแย่งชิง เท้าเตะ กราดเข้าใส่ข้อเท้าคนผู้นั้น คนชุดดำคล้ายไม่แยแส สนใจ เบี่ยงตัวหลบหลีกซ้ายขวาแล้วซัดฝ่ามือเข้าใส่ร่าง สตรีนางนั้นเต็มแรง

“น้องหญิงอันตรายแล้ว!”

เสียงร้องเตือนของบุรุษชุดบัณฑิต ร้องตะโกนออกบอก สตรีนางนั้นให้ระวังตัว

เสียงทึบเมื่อฝ่ามือกระทบร่าง ดั่งว่าวไร้สายปลิดปลิว ตามแรงลม ร่างสตรีนางนั้นกระเด็นร่วงหล่นตกหน้าผาไป ทุกคนส่งเสียงร้องขึ้นด้วยความตระหนกตกใจ แต่หา ได้ช่วยเหลือเอาไว้ได้ทัน คนชุดดำมิรอช้าพาร่างจากไป กับความมืดมิด โดยไม่ทิ้งร่องรอยหลักฐานแต่อย่างใด

บุรุษในชุดบัณฑิตสีขาว กระโจนสู่ริมผาสองมือไขว่คว้า ควานหาร่าง แต่ทว่าริมผาว่างเปล่าไร้ผู้คน ผาซึ่งเต็มไป ด้วยโขดหินลื่นเฉอะแฉะ สืบเนื่องจากสายฝนที่เพิ่งตก ผ่านพ้นไปได้ไม่นาน อีกทั้งด้านล่างมืดมิดมองไม่เห็นสิ่ง ใด บุรุษชุดขาวตะโกนก้องร้องเรียกเพรียกหา ดั่งคนบ้า คลุ้มคลั่ง ทุกคนรีบเข้ามาช่วยกันค้นหา แต่ไร้ผลมิเห็นคน ไม่พบร่างของสตรีนางนั้นแล้ว

ทันใดนั้นบุรุษอีกผู้หนึ่งวิ่งมาด้วยท่าร่างอันรวดเร็ว เมื่อ หยุดเท้าทั้งสองลง ส่งเสียงแจ้งแก่ทุกคนว่า

“แย่แล้ว! ทุกคนรีบติดตามมาด้านนี้เร็วเข้า

ผู้กล่าววาจาเป็นศิษย์คนโตของสำนักตำหนักหมื่นเทพ ผู้คนในที่นั้นมิรั้งรอชักช้ารีบพุ่งร่างติดตามไปทันที ยกเว้น เพียงบุรุษชุดบัณฑิตยังคงนั่งแข็งทื่อซึมเซา เมื่อทุกคนมา ถึงซึ่งเป็นห้องที่ตั้งอยู่กึ่งกลาง สำหรับใช้สำหรับทำคลอด เมื่อไม่นานมานี้

ภาพที่เห็นเบื้องหน้าสร้างความตระหนกตกใจแก่เจ้าสำ นักลวี้ยู่เฉียน ท่านรีบโผพุ่งเข้าไปประคองร่างบุรุษซึ่งนอนหายใจรวยรินจวนสิ้นใจ ข้าง ๆ ยังนอนอยู่ด้วยสตรี อีกนางหนึ่งสภาพไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก เจ้าสำนัก ตำหนักหมื่นเทพส่งเสียงวุ่นวายถามดังว่า

“เป็นฝีมือผู้ใด? เหวินอี้บอกกล่าวต่อบิดามาอย่าได้ ชักช้า ภรรยาเจ้าเล่า? เป็น…เป็นฝีมือของผู้ใด?”

บนพื้นนอนอยู่ด้วยร่างของหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรี บุรุษนั้น เป็นบุตรชายเจ้าสำนักลวี้ยู่เฉียน นามลวี้เหวินอี้ ส่วนสตรี เป็นสะใภ้ท่านนามเพ่ยอิง ซึ่งเพิ่งให้กำเนิดทารกนั้นเอง ทั้งสองหายใจรวยรินใกล้สิ้นลม ศิษย์สตรีที่วิ่งติดตามมา ตรงเข้าประคองสตรีนางนั้น นางเป็นศิษย์คนที่สามแห่ง สํานักนําหนักหมื่นเทพ

“บิดา ข้าพเจ้าไม่เห็นใบหน้า มันแต่งชุดด่าปกปิดมิดชิด ท่าร่างรวดเร็วลงมือเพียงสองฝ่ามือ ข้าพเจ้าและเพียอิง คล้ายถูกภูผากดทับบดร่าง บิดาท่าน….ท่านต้องช่วยเหลือ ลูกข้าพเจ้ากลับมา

เหวินอี้บุตรชายเจ้าสำนักลวี้ยู่เฉียนส่งเสียงแผ่วเบา เลือนราง ยิ่งกล่าววาจาคล้ายยิ่งห่างไกล สองตาเหม่อ มองเหลือบแลภรรยารัก ศิษย์สตรีคนที่สามไม่มัวรอช้า ประคองร่างเพ่ยอิงเข้ามาใกล้ ๆ ให้สามีภรรยาสัมผัสมือ เป็นครั้งสุดท้าย นางเองอดหลั่งน้ำตาด้วยความเวทนา สงสารออกมามิได้ ไม่ต่างจากศิษย์อีกสี่คนซึ่งยืนซึมเซา เศร้าโศกกระทำสิ่งใดไม่ถูก
“บิดา…ข้าพเจ้ามีสิ่งหนึ่ง….”

เหวินอี้รวบรวมเรี่ยวแรงกล่าวกระซิบริมโสตบิดาเป็น ครั้งสุดท้าย ก่อนที่ร่างจะสั่นกระตุกคราหนึ่ง แล้วสิ้นลม หายใจเคียงข้างเพ่ยอิงภรรยาสุดที่รักไป เจ้าสำนักลวยู่ เฉียนตะโกนก้องร้องลั่นสนั่นทั่วทั้งหุบเขา น้ำตาเจ้าสำนัก ไหลรินเป็นเส้นสาย สองมือกอดร่างไร้วิญญาณบุตรชาย แนบแน่น

อรุโณทัยค่อยฉาบแสงทาบอาบพื้นสำนักตำหนักหมื่น เทพช้า ๆ เจ้าสำนักลวี้ยู่เฉียนในยามนี้ยังคงนั่งกอดศพ บุตรชายไว้ไม่ไหวติง ค่ำคืนอันแสนหฤโหดของธรรมชาติ และเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ข่าวดีที่จะบอกกล่าวออกไปสู่ ชาวยุทธ์เกี่ยวกับการรับขวัญทารกน้อย กลับกลายเป็น ข่าวร้ายทำลายขวัญชาวยุทธ์ไป

บุตรชายกับสะใภ้ของสำนักอันดับหนึ่งถูกฝ่ามือสังหาร โหดเหี้ยมอำมหิต สำนักตำหนักหมื่นเทพในค่ำคืนเดียว สูญเสียสามชีวิต อีกทั้งทารกน้อยถูกช่วงชิงสูญหายไปถึง สองคน ที่ช่วยเหลือเอาไว้ได้มีเพียงทารกน้อยผู้หนึ่ง นั้น คือทาริกาอ้วนท้วนสมบูรณ์ซึ่งให้กำเนิดจากศิษย์คนที่ห้า ของสำนัก นางเป็นผู้ที่รวบรวมเรี่ยวแรงคว้าแย่งร่างลูก น้อยกลับมาได้จากคนชุดดำ

กล่าวย้อนไปก่อนหน้านั้น เรื่องราวเมื่อหลายปีก่อน สำนักตำหนักหมื่นเทพเกิดเรื่องราวมากมาย สาเหตุสืบ เนื่องมาจากคัมภีร์ยุทธ์สุริยันจันทรา อันเป็นที่หมายตาของบรรดาชาวยุทธ์ทั้งแผ่นดิน ภายในคัมภีร์บันทึกเคล็ด วิชา เเลิศ ว่ากันว่าหากผู้ใด ได้ฝึกปรือเพียงท่าสองท่า สามารถท่องยุทธภพได้โดยไร้ผู้ต่อต้าน ดังนั้นมีหลาย ครั้งที่สำนักแห่งนี้ ถูกชาวยุทธ์บุกขึ้นมาหมายขโมยคัมภีร์ ยุทธ์สุริยันจันทรา

มีอยู่ครั้งหนึ่งซึ่งเจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพลวี้ยู่เฉียน ตัดสินใจอี้กายหายตัวจากยุทธภพจนไร้ข่าวคราว ใน ตอนนั้นทำให้ยุทธภพสงบอยู่ช่วงหนึ่ง จวบจนกระทั่งอยู่ เฉียนหวนคืนกลับสู่ยุทธภพอีกครั้ง พร้อมกับนำพาศิษย์ มาด้วยจำนวนห้าคน

ครั้งนั้นลวี้ยู่เฉียนเลือกเขาหมื่นเซียนเป็นสถานที่ก่อ ตั้งสำนัก โดยได้รับการสนับสนุนและเห็นด้วยจากเจ้า อาวาสแห่งวัดเส้าหลิน ซึ่งท่านเป็นสหายรักกับลจี้ยู่เฉียน มีนามว่าเกี๊ยบฉีกไต้ซือฉายาหลวงจีนมรรคฟ้าคุณธรรม

หลังจากเหตุการณ์ในค่ำคืนนั้น ค่ำคืนซึ่งเกิดเหตุการณ์ สังหารบุตรชายท่าน กับสะใภ้พร้อมกับทารกน้อยที่เพิ่ง ให้กำเนิดเกิดมา เหตุการผ่านไปไม่นานนัก สำนักตำหนัก หมื่นเทพ เกิดความวุ่นวายหลายเรื่องราว ศิษย์ในสำนัก ต่างแบ่งแยกไม่ลงรอย ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องราวใดขึ้น ศิษย์คนที่สามถูกอเปหิออกจากสำนัก ศิษย์คนที่สองและ ศิษย์คนที่ห้าแอบร่วมมือกับฝ่ายอธรรม
เมื่อมาเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเช่นนี้ หลังจากจัดการ เรื่องราว ต่าง ๆ ในสำนักแล้ว เจ้าสำนักตำหนักหมื่นเท พลยู่เฉียนตัดสินใจที่จะอำลายุทธภพ เพื่อจบปัญหา ความวุ่นวายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น

ดังนั้นเจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพลวี้ยู่เฉียน ได้ส่งเทียบ เชื้อเชิญถึงบรรดาชาวยุทธ์ทั้งหลาย ให้มาพร้อมกันในวัน ขึ้นสิบห้าคาเดือนแปด ซึ่งตรงกับเทศกาลสารทตงชิว ใน เทียบเชิญเจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพใช้ชื่อว่า “งานอำลา บู๊ลิ้ม ทำลายคัมภีร์ยุทธ์” พอข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป วัน นี้จึงมีบรรดาชาวยุทธ์จากทั่วสารทิศต่างหลั่งไหลเดินทาง ขึ้นเขาหมื่นเซียน อันเป็นที่ตั้งของสํานักตำหนักหมื่นเทพ

อามิตพุทธ ในเมื่อประสกยู่เฉียนคิดจะกระทำเช่นนี้ อาตมาก็จะส่งเสริม

เกี๊ยบฉีกไต้ซือเจ้าอาวาสวัดเส้าหลิน ยกมือข้างขวานิ้ว ทั้งห้าแนบชิดติดกัน พร้อมกับคล้องพวงประค่าสีดำสนิท เส้นหนึ่งอยู่ระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ ปลายนิ้วยกจรดชิดติด ปลายคาง เอ๋ยคำจำเริญไม่ขาดปาก

ด้านตรงกันข้ามยืนไว้ด้วยชายชราร่างสูงโปร่ง สวม อาภรณ์สีดำตัดขาวชุดยาวสะบัดพลิ้วไหวต้านแรงลม แต่ ทว่ายืนสงบนิ่งมิเคลื่อนไหว ทั้งสองมีอายุล่วงเลยเข้าวัย เก้าสิบห้าปีแล้ว หากทว่าเกี๊ยบฉุกไต้ซือดูค่อนข้างจะชรา กว่าเล็กน้อยทั้งที่อายุไม่ต่างกัน แต่ดวงตาของทั้งสองกลับเจิดจ้าดุจอินทรีจับจ้องเหยื่อ

เหนือดวงตาของทั้งคู่ประดับด้วยคิ้วยาวสีขาวนวล ยาม ต้องลมกลับพลิ้วสะบัดท้าทายสายลมอยู่ไปมา หนวด เคราสีขาวเหนือริมฝีปากยาวย้อยลงมาถึงหน้าอก แต่ กระนั้นยังมิอาจปกปิดรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าเอาไว้ได้แม้ น้อยนิด จะต่างกันตรงที่บนศีรษะของเกี๊ยบฉีกไต้ซือไม่มี เส้นผมแม้แต่เส้นเดียว ส่วนประสกที่ถูกเรียกหาว่าประสก ยู่เฉียน ล้วนปกคลุมด้วยเส้นผมสีขาวประดุจเส้นไหมเงิน กลุ่มหนึ่ง ทั้งสองเป็นปรมาจารย์แห่งยุค เกี๊ยบฉิกไต้ซือ แห่งวัดเส้าหลิน และลวี้ยู่เฉียนเจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพ

“อาตมาคิดว่าผลบุญกุศลครั้งนี้ช่างใหญ่หลวงนัก ประสกยู่เฉียนคิดจะยุติเรื่องราวทั้งหลายที่เกิดขึ้นในยุทธ ภพ อันเกิดมาจากคัมภีร์ยุทธ์สุริยันจันทรา ชาวยุทธ์ต่าง แก่งแย่งช่วงชิงคัมภีร์เล่มนี้มากว่าสี่สิบปีแล้ว มิหนําซ้ำ ศิษย์ทั้งห้าของประสกต่างไม่เห็นแก่สำนักตน แบ่งแยก เป็นหลายฝ่ายทําร้ายกันเอง ด้านพรรคมารกลับกล้าแข็ง ยุทธภพลุกเป็นไฟ ฝ่ายธัมมะกลับกลายเป็นอธรรมคิด เข่นฆ่ากันเองเพียงเพื่อคัมภีร์ยุทธ์ คิดแล้วช่างน่าเศร้าใจ ยิ่งนัก”

“ถูกต้องแล้วท่านไต้ซือ ดังนั้นข้าพเจ้าได้ไตร่ตรองดีแล้ว จึงจะทำลายสำนักตำหนักหมื่นเทพเสีย พร้อมกับทำลาย คัมภีร์เล่มนี้ไปพร้อมกับร่างของข้าพเจ้า
ด้านหลังเป็นหน้าผาสูงชันมองไม่เห็นก้นหุบเหว เห็น เพียงหมอกสีขาวปกคลุมล่องลอยอยู่ไปมา ที่ผ่านมายัง ไม่เคยมีผู้ใดสามารถลงไปถึงก้นหุบเหวแม้แต่ผู้เดียว หาก ผลัดตกลงไปรับรองได้ว่าร่างต้องแหลกเหลวละเอียดเป็น ผุยผง ต่อให้มีเทพยดาฟ้าดินคุ้มครอง ยังต้องขาดอากาศ หายใจอยู่ดี

ลานกว้างยืนไว้ด้วยชาวยุทธ์ที่มาจากทั่วทุกสารทิศ ต่าง ทราบข่าวว่าวันนี้เจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพลวี้ยู่เฉียน จะ ฝังร่างตนเองพร้อมคัมภีร์ยุทธ์สุดยอดวิชาลงใต้ผาเทพ นิรันดร์แห่งนี้ จำเดิมนั้นเจ้าสำนักลวี้ยู่เฉียนจะทำลาย สำนักและสิ่งปลูกสร้างไปด้วย แต่เกี๊ยบฉีกไต้ซือได้ ขอร้องเอาไว้ เพื่อเก็บไว้ให้คนรุ่นหลังได้ระลึกถึงเรื่องราว จะได้ไม่เกิดโศกนาฏกรรมเช่นนี้อีก

ดวงตะวันลอยตระหง่านส่องแสงเปล่งรัศมีอันร้อนแรง เจิดจ้า พร้อมจะแผดเผาทุกสรรพสิ่งให้มอดไหม้ไปตรง หน้า แต่ทว่าธรรมชาติยังสร้างความสมดุล ยังมีจันทราที่ ส่องแสงนวลผ่องอำพันข่มแสงสุริยันอันร้อนแรง สองสิ่ง ต่างสะกดและส่งเสริมกันอย่างลงตัว

เจ้าสำนักลวยู่เฉียน แหงนหน้าขึ้นมองดวงตะวันที่ล่อง ลอยอยู่เหนือศีรษะ พร้อมกับล้วงคัมภีร์ออกมาจากอกเสื้อ ก้าวเท้าช้า ๆ เข้าหาหน้าผาอันสูงชัน แล้วฉีกคัมภีร์ในมือ ออกเป็นสองส่วน ส่งเสียงหัวร่ออย่างสบอารมณ์ ก่อนจะ กระโดดทิ้งร่างลงสู่หุบเหวเบื้องล่างจบสิ้นทุกเรื่องราว
ร่างสองสายทะยานลิ่วดุจวิญญาณผีภูตพรายมาจาก ต่างทิศ พุ่งเข้าหาร่างของเจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพลวี้ยู่ เฉียน ที่กําลังร่วงหล่นสู่ก้นหุบเหว

กระทั่งเหมันต์ สุริยันจันทราเฉกเช่นเดิม จงหยวน(ภาค กลาง)

วันเวลาผ่านไป สิบห้าปีผ่านพ้น ยุทธภพสงบปราศจาก ความวุ่นวาย มารอธรรมลี้กายหายหน้าไม่ปรากฏ สร้าง ความผาสุกสันติให้กับยุทธภพอันวุ่นวายสับสนมาช้านาน เปรียบดั่งสายน้ำไหลไม่อาจย้อนคืน เกรงแต่เพียงว่า จะ มีระลอกคลื่นก่อตัวขึ้นมาสร้างความวุ่นวายอีกครั้งเท่านั้น เอง

ดินแดนจงหยวนนครหลวงลั่วหยาง ปีนี้อากาศหนาว เหน็บกว่า ทุก ๆ ปีที่ผ่านมา สายลมแห่งฤดูเหมันต์ พัด โชยเอื้อยอิ่งพากิ่งหลิวโอนเอนลู่สายลมอยู่ไปมา บางกิ่ง ทิ้งปลายยอดทอดใบย้อยระเรี่ยพื้นที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ขาวโพลนดุจปุยนุ่นบางเบา บางกิ่งก้านโอบอุ้มอิ่มเอมไป ด้วยเกล็ดน้ำแข็งสดใสวาววับสะอาดตา

ห่างออกไปเหมยฮัวสีเหลืองสดกำลังผลิดอกแบ่งบาน สะพรั่งต้อนรับสายลมอันหนาวเหน็บ เสียงสายลมพัดดัง หวีดหวิวเป็นระยะไม่ขาดหาย ฟังคล้ายห้วงทำนองของ เครื่องดนตรีหลายสิบชิ้น ซึ่งกำลังบรรเลงเพลงขับกล่อม ชวนเคลิบเคลิ้มลุ่มหลง โดยมีนักร่ายรำโยกไหวกิ่งก้านใบ ไปตามท่วงทำนอง กลิ่นอายของดอกเหมยฮัวผสมผสานกับสายลมอันเย็นเยียบ ให้ความรู้สึกที่แปลก ประหลาดชนิดหนึ่ง

ดวงตะวันค่อย ๆ ลาลับขอบฟ้าสีทองอ่อนจางทางทิศ ปัจฉิม(ตะวันตก) แสงสุดท้ายแห่งทิวาค่อย ๆ ลาจากแล้ว คืบคลานห่างออกไปกระทั่งหายวับไปกับเส้นขอบฟ้า ไม่ นานนักทิวเขาที่อยู่ถัดไป เหนือยอดไม้ทะมึนทางบูรพา ทิศ(ตะวันออก) จันทราครึ่งเสี้ยวค่อย ๆ เผยแสงสลัวร่าไร แห่งราตรีกาลคืนแรม บนนภาสกาวสุกใส ประดับดวงไฟ ระยิบระยับวับแวมแห่งดวงดารากลาดเกลื่อนอยู่ถ้วนทั่ว

ภายใต้แสงจันทร์คืนแรมมองออกไป แลเห็นเหล่าวิหค สกุณาหากินกลางคืนบินโฉบถลาหาเหยื่ออยู่ไปมา บ้าง ส่งเสียงร้องก้องระงมดังเซ็งแซ่ ไกลออกไปเสียงสุนัขป่า ส่งเสียงเห่าหอนเรียกหากัน ฟังแล้วชวนวังเวงขึ้นมาจับใจ

สายลมเย็นยะเยียบพัดมาหอบหนึ่ง รู้สึกหนาวเหน็บ จนแทบเสียดเข้าไปในเลือดเนื้อกระดูก ชาวบ้านต่างปิด ประตูหน้าต่างดับไฟตะเกียงเข้านอนหลับใหลกันหมด แล้ว บางครั้งมีเสียงหายใจคราดครืดของสัตว์เลี้ยงใน คอกของชาวบ้านดังมาทำลายบรรยากาศความเงียบสงัด ยามคําคืน

หมู่บ้านเย้ยอรุณ
ริมต้นไม้ใหญ่ภายใต้แสงจันทร์รำไรกลับมีอาคันตุกะ สวมอาภรณ์สีดำรัดกุมคลุมหน้าผู้หนึ่ง สะพายกระบี่ยืน สงบนิ่งมิเคลื่อนไหว หาได้ใส่ใจบรรยากาศรอบข้างและ สรรพสิ่งรอบกาย หรือเกรงกลัวต่อความหนาวเหน็บไม่ ลักษณะท่าทางเหมือนกำลังรอคอยผู้คน ดูองคาพยพ แข็งแรงกำยำร่างสูงราวเจ็ดเซี๊ยะไม่สามารถคาดเดาอายุ อานามได้ แสงจันทร์สลัวสาดแสงส่องกระทบด้ามกระบี่สี เงินยวงวาววับเป็นประกาย แต่ที่สามารถคาดเดาได้อาจ มิใช่คนดีกระไรนัก ไม่เช่นนั้นคงไม่มายืนทำลับ ๆ ล่อ ๆ ยามค่ำคืน

หมู่บ้านแห่งนี้มีชื่อว่าเย้ยอรุณ ตั้งอยู่บนที่ราบกลาง หุบเขาสลับซับซ้อนห่างไกลผู้คน ด้วยแถบนี้มีภูเขาเรียง รายติดกันอยู่หลายลูก ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเทือก เขาซงซาน ประกอบไปด้วยยอดเขาน้อยใหญ่จำนวนเจ็ด สิบสองยอด

กลุ่มเขาเส้าซื่อมีอยู่ด้วยกันทั้งหมดสามสิบหกยอด อีก สามสิบหกยอดคือกลุ่มเขาไท่ซื่อ ซึ่งเป็นหนึ่งในจำนวนห้า ยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อ ตั้งอยู่ในอำเภอเทิงเฟิง เมืองเจิ้งโจวมณฑลเหอหนาน อยู่กึ่งกลางระหว่างเมือง เจิ้งโจวและเมืองลั่วหยาง

บนยอดเขาสูงลูกหนึ่งในจำนวนหลายลูก เป็นที่ตั้ง ของวัดเสี้ยวลิ้มยี่(วัดป่าบนเขาเส้าซื่อ) หรือเรียกว่าวัดเส้า หลินนั้นเอง และยังมีอีกหลายสำนักยังมิได้กล่าวถึง ล้วน มีความเป็นมาอันใหญ่หลวง
เมื่อหลายวันก่อนมีคนถูกฆ่าตายในหมู่บ้านเย้ยอรุณ แห่งนี้ติดต่อกันหลายคน จนทำให้ชาวบ้านร้านถิ่นไม่กล้า ออกไปไหนมาไหนในเวลาค่ำคืน พอมืดค่ำต่างรีบร้อน เร่งนำสัตว์เลี้ยงเก็บเข้าคอก รับประทานข้าวเย็นแล้วปิด ประตูหน้าต่างเข้านอนกันแต่หัวค่ำ สองวันมานี้ยังมีคน แปลกหน้าแต่งกายต่างกันสามกลุ่มเข้ามาในหมู่บ้านอีก ด้วย

กลุ่มแรกประกอบไปด้วยบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ แต่งกาย ด้วยชุดรัดกุมสะพายห่อผ้าพกพาอาวุธ มีอยู่ด้วยกัน ทั้งสิ้นสี่คน เข้ามาอาศัยในบ้านร้างหลังหนึ่งทางทิศ อุดร(เหนือ) ของหมู่บ้าน กลุ่มถัดมาเป็นสองบุรุษกับอีก หนึ่งสตรีพกพาอาวุธเฉกเช่นเดียวกัน กลุ่มนี้พักอยู่ที่ศาล เจ้าทางทิศทักษิณ(ใต้) ของหมู่บ้าน กลุ่มที่เข้ามาหลังสุด มีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้นสามคน เป็นบุรุษหนึ่งและสตรีอีกสอง นาง พักอยู่เชิงเขาทางทิศตะวันออกของหมู่บ้าน

ทั้งสามกลุ่มหลังจากเข้ามาในหมู่บ้าน ต่างเก็บตัวซ่อน กายไม่เป็นที่เปิดเผยต่อผู้คน คล้ายกำลังติดตามผู้คน หรือสืบสาวเรื่องราวใดอยู่กระนั้น ทั้งหมดกอปรด้วยสาม สำนักใหญ่ฝ่ายธัมมะ อันได้แก่พรรคไผ่หลิวซึ่งเป็นสำนัก ใหญ่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเมืองลั่วหยาง สำนักหุบเขา ผาพยัคฆ์ขาวตั้งอยู่บนยอดเขาลูกหนึ่งทางทิศตะวันตก และสำนักเมฆฟ้าพิรุณตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก

หมู่บ้านเย้ยอรุณเงียบสงบไร้เรื่องราวมาหลายชั่วอายุ คน ชาวบ้านต่างอาศัยอยู่ด้วยความสงบเนื่องด้วยอยู่ห่างไกลผู้คน อาจเรียกว่าไม่เคยข้องแวะกับเรื่องราวของ ยุทธภพเลยนับว่าได้

หมู่ตึกกระเรียนฟ้า

เมื่อครึ่งเดือนก่อนมีบุรุษหนุ่มเยาว์วัยลึกลับปรากฏตัวขึ้น และมีชาวยุทธ์ถูกฆ่าตายภายในหมู่ตึกกระเรียนฟ้าซึ่งตั้ง อยู่ทางทิศใต้ใกล้กับนครหลวงลั่วหยาง หมู่ตึกกระเรียน ฟ้าเป็นที่พำนักของขันทีหลิวซุ่นกงกงมหาเสนาบดีแห่ง ราชสำนัก ในหมู่ตึกกระเรียนฟ้าล้วนชุมนุมไปด้วยมือดี มากมายจากทั่วสารทิศ ทั้งจากที่เชื้อเชิญมาจากมณฑล ต่าง ๆ จากนอกด่านและจากกู่ฟาน(ทิเบต)

หลิวซุ่นกงกงฝึกวิชาเก้ากระเรียนเบิกฟ้า ร่ำลือกันว่า ร้ายกาจดุดัน ยามลงมือคล้ายดั่งฝูงนกกระเรียนกางปีก ฉีกเล็บละลานครอบคลุมเต็มท้องฟ้า ยากหลุดรอดจาก การลงมือจู่โจม แม้ว่าฝึกยังไม่บรรลุถึงขั้นที่เก้า แต่ที่ผ่าน มายังไม่มีผู้ใดทราบแน่ ถึงพลังฝีมืออันแท้จริง นั้นเป็น เพียงคำร่ำลือ

ครั้งนั้นหมู่ตึกกระเรียนฟ้าได้ส่งเทียบเชื้อเชิญเจ้าสำนัก ต่าง ๆ และบรรดาชาวยุทธ์ มาร่วมงานอวยพรท่านหลิวกง กงที่มีอายุครบรอบหกสิบปี ในวันนั้นมีชาวยุทธ์มากมาย เข้าร่วมอวยพรให้กับเจ้าหมู่ตึกกระเรียนฟ้า
ที่พอจำได้มีหลวงจีนต้าทงไต้ซือแห่งวัดเส้าหลิน ท่านนำ ศิษย์ในสำนักมาร่วมอวยพร มู่ชิวป่าเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ ขาวเดินทางมาพร้อมกับมือดีร่วมสิบคน เฉิงปู่กงหัวหน้า พรรคไผ่หลิวนําศิษย์และคนในพรรคมาร่วมอวยพรเป็น จำนวนมาก ยังมีเหิงปี้ไป่เจ้าสำนักเมฆฟ้าพิรุณนำพาศิษย์ มาอวยพรคับคั่ง นอกจากนั้นมีชาวยุทธ์อีกหลายสํานัก ต่างหลั่งไหลมาอวยพรท่านหลิวกงกงให้มีอายุมั่นขวัญยืน กันอย่างเนืองแน่น

แต่แล้วปรากฏบุรุษหนุ่มวัยเยาว์ไม่ได้เทียบเชิญปรากฏ กายขึ้น โดยมิมีผู้ใดกระจ่างแจ้งว่าเป็นคนของสำนักใด และในคืนนั้นเองในหมู่ตึกกระเรียนฟ้ามีคนถูกฆ่าตาย อย่างโหดเหี้ยมรวมทั้งสิ้นถึงเจ็ดคนด้วยกัน เป็นคนของ สี่สำนักใหญ่สี่คน และคนของหมู่ตึกกระเรียนฟ้าสามคน แต่ละคนที่ถูกฆ่าตายล้วนเป็นมือดี ในสามสิบกระบวนท่า ยากทำร้ายได้ แต่ถูกสังหารตายอนาถภายใต้ฝ่ามือเดียว

สภาพศพไร้ร่องรอยบาดแผล แต่อวัยวะภายในแหลก เหลว คาดว่าผู้ลงมือต้องมีพลังฝีมือสูงเยี่ยมเป็นที่น่า ตระหนก หลิวกงกงและมือดีในหมู่ตึกกระเรียนฟ้า รวมทั้ง เจ้าสำนักต่าง ๆ พร้อมทั้งบรรดาชาวยุทธ์ที่มาร่วมงานต่าง ออกค้นหาคนร้ายแต่ไร้ร่องรอยหลักฐาน

ประจวบเหมาะกับช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์ บุคคลที่หาย ไปคือบุรุษหนุ่มวัยเยาว์ลึกลับ ทุกฝ่ายจึงลงความเห็นว่า บุรุษหนุ่มวัยเยาว์ผู้นั้น มันต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆ่าคนของหมู่ตึกกระเรียนฟ้า กับสี่สำนักใหญ่อย่าง แน่นอน

การฆ่าคนถือว่าเป็นความผิดอุกฤษฏ์ยากให้อภัย กฎ ของชาวยุทธ์มีไว้ว่าท่านฆ่าหนึ่งชีวิตต้องชดใช้หนึ่งชีวิต ดังนั้นหลิวซุนกงกงและเจ้าสำนักต่าง ๆ จึงร่วมมือกัน ติดตามเสาะหาตัวคนร้าย โดยเฉพาะบุรุษหนุ่มวัยเยาว์ผู้ นั้นคือผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งในเวลานี้

หมู่บ้านเย้ยอรุณ

หลังจากนั้นมีคนพบร่องรอยของบุรุษหนุ่มผู้นั้นแถบ หมู่บ้านเย้ยอรุณแล้วหายไป จนกระทั่งเมื่อไม่กี่วันมา นี้เกิดมีคนตายในหมู่บ้านแห่งนี้ แต่ไม่ชัดเจนว่าเป็นคน ของสํานักใด ลักษณะเฉกเช่นเดียวกันคือไม่มีร่องรอย บาดแผลแต่อวัยวะภายในแหลกละเอียด ดังนั้นหลิวกงกง จึงให้คนส่งข่าวถึงสำนักน้อยใหญ่ เพื่อร่วมมือกันจับตัว คนร้าย คืนนี้สามสำนักใหญ่จึงแยกย้ายกันอยู่ตามสถาน ที่ต่าง ๆ ในหมู่บ้านเย้ยอรุณแห่งนี้ แต่หลายคืนมาแล้วยัง ไม่ปรากฏบุคคลที่น่าสงสัย

บรรยากาศยิ่งมายิ่งวังเวง เสียงสุนัขป่ายังคงเห่าหอนมิ ขาดหาย นกแสกตัวหนึ่งส่งเสียงร้องแสบแก้วหูแล้วบิน โฉบเฉี่ยวผ่านไป ยามสามแล้ว(ประมาณเที่ยงคืน) ทันใด นั้นเงาร่างสายหนึ่งพุ่งทะยานดุจเกาทัณฑ์หลุดจากแหล่ง มุ่งมายังตำแหน่งที่ชายชุดดำยืนอยู่เมื่อตอนหัวค่ำ ดูจาก ลักษณะท่าร่างที่สาดมาคิดว่าวิชาตัวเบามิใช่ชั่ว เมื่อบรรลุถึงห่างไม่ถึงสี่วาสะกิดปลายเท้าครา หนึ่งพลั้วร่างลงตรงหน้าชายชุดด่าด้วยท่วงท่าสง่า สวยงาม

“ไม่เจอะเจอกันครึ่งปี คิดไม่ถึงวิชาตัวเบาและกำลัง ภายในของเจ้าจะรุดหน้าไปมากมายถึงเพียงนี้ คาดว่าผู้ที่ ถ่ายทอดวิชาให้กับเจ้าคงสำเร็จไปอีกขั้นเช่นกันสินะ?”

ชายชุดดำคลุมหน้าแต่งกายรัดกุม กล่าวขึ้นด้วยน้ำ เสียงทุ้มหนักกังวาน แฝงพลังลึกลับประเภทหนึ่ง ประกาย สายตาที่ลอดผ่านช่องผ้าคลุมหน้าออกมาเจิดจ้าบ่งบอก ว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ เมื่อพิศดูใกล้ ๆ กลางหลังสะพายกระบี่ ยาวประมาณสองเซี๊ยะสิบนิ้ว ด้ามกระบี่สีเงินวาววับส่อง ประกายในยามค่ำคืน

“ขอบคุณอาวุโส กล่าวชมข้าพเจ้ามากไปแล้ว ผู้ที่อาวุโส กล่าวถึงท่านสบายดี มิผิดท่านสำเร็จอีกขั้นหนึ่ง พร้อมกับ เคี่ยวกรําข้าพเจ้าให้ฝึกปรืออย่างหนักหน่วง ช่วงนี้ท่าน มีงานสำคัญรัดตัว เลยให้ข้าพเจ้ามาพบกับอาวุโสแทน ท่านฝากคำพูดมาแต่เพียงว่าทุกอย่างยังคงเป็นไปตาม แผนการ อาวุโสท่านสบายดีหรือไม่?”

บุคคลผู้ที่มาอยู่ในชุดรัดกุมสีดำปกปิดใบหน้าอำพราง เช่นเดียวกัน กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงสดใส ฟังคล้ายเป็น เสียงของอิสตรี แต่บุคลิกภาพคล่องแคล่วห้าวหาญเยี่ยง บุรุษ
“เจ้าลงเขามาพบเรามีสิ่งใดผิดสังเกต หรือมีผู้ใดติดตาม มาบ้างหรือไม่? คืนนี้เราเห็นคนแปลกหน้าหลายคนอยู่ ในหมู่บ้านแห่งนี้ เจ้าต้องระมัดระวังตัวให้มากอย่าได้ผิด พลาดแม้แต่น้อย”

ชายชุดด่าถามกลับพร้อมกับกำชับ หลังจากชุดด่าคน หลังตอบคำถามเรียบร้อยแล้ว ดูท่าทางชายชุดดำที่ยืน อยู่ก่อนเกรงจะมีใครติดตามมา ชุดดำอีกคนรีบตอบกลับ ไปว่า

“ข้าพเจ้าสำรวจดูแล้วก่อนมาพบอาวุโส นอกจากทางทิศ เหนือของหมู่บ้านมีคนของพรรคไผ่หลิวรวมสี่คน อีกสี่คน ของสำนักเมฆฟ้าพิรุณทางทิศใต้ และทางทิศตะวันออก ของหมู่บ้านมีคนของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวรวมสามคนแล้ว ยังไม่เห็นมีสิ่งใดผิดสังเกต อาวุโสท่านพบเห็นสิ่งใดนอก เหนือจากนี้หรือไม่?”

ขณะที่ทั้งสองจะกล่าววาจาใดต่อ ไกลออกไปฝั่งตรง กันข้ามพลันมีเสียงชายเสื้อปะทะลมดังใกล้เข้ามา ชุดดำ ทั้งสองรีบถลันวูบเข้าหลังต้นไม้ ชั่วพริบตาเดียวเงาร่าง เบาบางสองสายทะยานพุ่งผ่านตำแหน่งที่ทั้งสองซ่อน กายอยู่ด้วยความเร็วปานสายฟ้า สังเกตจากเงาหลังคน หน้าเป็นบุรุษร่างสูงใหญ่ แต่งกายด้วยเสื้อผ้าคล้ายชน เผ่าอายุราวสามสิบปีเศษ อีกคนเป็นสตรีแต่งกายเฉกเช่น เดียวกัน รูปร่างอ้อนแอ้นอายุราวสิบสี่สิบห้าปี ผิวขาวดุจ หยวกแม้เป็นเวลาค่ำคืนยังดูออกว่าเป็นหญิงงามล่มเมือง นางหนึ่ง
ทั้งสองมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก ท่าทางมีพิรุธขวน สงสัย ดูจากวิชาตัวเบานับว่าร้ายกาจไม่ธรรมดา แม้นว่า อายุยังอยู่ในวัยหนุ่มสาวก็ตาม

“รับตาม!”

ชายชุดดำสะพายกระบี่กล่าวพลางพุ่งร่างล่วงหน้าไป วาเศษ ดูจากวิชาตัวเบายอดเยี่ยมสูงส่งกว่าสองคนก่อน หน้านั้น คิดว่าในใต้หล้าคงหาผู้เปรียบได้ยากนัก

“อาวุโสท่านล่วงหน้าไปก่อนสักหลายก้าว”

ชุดดำอีกคนกล่าวจบสะกิดเท้าคราหนึ่ง พุ่งกายไล่ไม่ ห่างจากชายชุดดำที่สะพายกระบี่นำหน้าไปไม่มากนัก ดู จากอายุยังเยาว์แต่วิชาตัวเบาช่างร้ายกาจยอดเยี่ยม คน ทั้งหมดเป็นใครกัน

ชุดดำสองคนติดตามชายหญิงคู่นั้นมาประมาณสาม ลี้ ถึงป่าทึบแถบหนึ่งเห็นทั้งสองชะลอฝีเท้าพร้อมทิ้งร่าง ลงไปยังดงป่าทึบนั้น ชุดดำสองคนที่ติดตามมารีบชะงัก ฝีเท้ากระโดดคราหนึ่งแนบร่างแนบชิดกับต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้น อยู่หนาแน่น

ห่างไปไม่ถึงสิบวาชายหญิงคู่นั้นกำลังสนทนากันอย่าง แผ่วเบา ทั้งสองยืนอยู่ระหว่างต้นไม้ใหญ่สองต้น ภายใต้ ต้นไม้ใหญ่ผนวกกับเป็นคืนแรมจึงมองเห็นทั้งคู่ไม่กนัดชัดเจนนัก สองชุด พยายามเงี่ยหูสดับรับฟัง ถ้อยคำที่ทั้งคู่สนทนากัน

“กอกอ(พี่ชาย) ครานี้ข้าพเจ้าลงจากผาเป็นครั้งแรก นึก ไม่ถึงว่าออกท่องยุทธภพครั้งแรกช่างน่าตื่นเต้นยิ่งนัก ใน เมืองหลวงกลับมีสถานที่น่าเที่ยวแถมผู้คนมากมาย

ดรุณีนางนั้นเอ่ยขึ้นพร้อมกับแสดงอาการตื่นเต้นยินดี อย่างออกนอกหน้า นางอยู่ในชุดเช่นชาวเผ่าสีแดง สด บนศีรษะโพกด้วยผ้าสีดำสลับด้วยสีม่วงเข้มอันมี เครื่องประดับที่ทำจากโลหะจำพวกแร่เงินและดีบุก เวลา เคลื่อนไหวมีเสียง กริก กริก เป็นจังหวะ

“ม่วยม่วย(น้องสาว) เจ้าได้รับคำสั่งให้ติดตามพี่ชายลง จากผาครั้งแรก เจ้าเกือบก่อเรื่องราวแล้วทราบหรือไม่? เกรงว่างานที่ได้รับมอบหมายยังไม่ทันสำเร็จ กลับจะมี ปัญหาใหญ่หลวงตามมา

ผู้ที่เรียกตนเองว่าพี่ชายกล่าวตำหนิดรุณีนางนั้น แต่น้ำ เสียงยังแฝงไปด้วยความเอ็นดู บุรุษผู้นั้นอยู่ในชุดชาวเผ่า สีดำแกมม่วง บนศีรษะโพกผ้าสีเดียวกัน แต่ในความสลัว จึงไม่เห็นหน้าตาของทั้งสองว่าเป็นเช่นไร

ทั้งคู่เป็นเฮียม่วย(พี่ชายน้องสาว) กัน ตั้งแต่เล็กทั้งสอง อาศัยอยู่บนผาเร้นลับตัดขาดโลกภายนอก ผู้ที่ทั้งสองเรียกหาเป็นเจ้าผาคือผู้นำพาทั้งคู่มายังผาแห่งนี้ และ เลี้ยงดูพร้อมกับถ่ายทอดวิชาให้ ปีนี้บุรุษผู้พี่อายุย่างเข้า ยี่สิบเจ็ดปี ส่วนดรุณีผู้น้องนั้นอายุย่างเข้าสิบห้าปี

ตั้งแต่จำความได้นางอาศัยอยู่บนผาแห่งนี้แล้ว พี่ชาย ของนางเพียงบอกกับนางว่าที่บ้านของเราถูกโจรบุกปล้น บิดามารดาล้วนถูกโจรฆ่าตายหมด แม้แต่ตัวพี่ชายและ นางเองโจรโฉดยังไม่คิดละเว้น โชคดีที่ท่านเจ้าผาผ่าน ไปประสบพบเข้า เห็นแก่มนุษยธรรมยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ท่านได้ลงมือฆ่าพวกโจรเหล่านั้นจนหมดสิ้น หลังจากนั้น ได้นำทั้งคู่มายังผาเร้นลับแห่งนี้

ตอนนั้นพี่ชายของนางมีอายุเพียงสิบสองขวบปี นางเอง ยังคงเป็นทารกแบเบาะจำความไม่ได้ พี่ชายและท่านเจ้า ผาบอกเรื่องราวเกี่ยวกับนางเช่นนั้น นางย่อมถือว่าเป็น เช่นนั้นหานําพากับชาติกำเนิดของตัวเองไม่

“ครั้งนี้เจ้าก่อเหตุเภทภัยใหญ่หลวงแล้วรู้หรือไม่? มีคน พบเราสองคนเฮียมวยแถมเจ้ายังลงไม้ลงมือต่อแม่ชี นิรนามนางนั้นอีก หากทว่าพี่ชายติดตามเจ้าไปไม่ทัน จะ มีหน้ากลับไปพบท่านเจ้าผาได้เช่นไร? ท่านสั่งห้ามไม่ให้ เราทั้งสองแสดงวิชาฝ่ามือประจำสำนัก เกรงว่าจะเป็น ที่สงสัยของผู้คน แต่เจ้ากลับซุกซนใช้วิชาวายุกรีดนภา ออกไป”

บุรุษผู้เป็นพี่ชายกล่าววาจากับดรุณีนางนั้นยืดยาวอย่าง ตำหนิ เนื่องจากก่อนลงจากเขาท่านเจ้าผาของทั้งสองได้สั่งกำชับเอาไว้ว่า ถ้าไม่จำเป็นห้ามใช้วิชาประจำ สํานักออกไปเด็ดขาด เพื่อมิให้เป็นที่สังเกตของบรรดา ชาวยุทธ์

“นึกไม่ถึงว่าแม่ชีนางนั้นช่างมีฝีมือร้ายกาจนัก นางลงมือ เพียงไม่กี่กระบวนท่า ทำเอาข้าพเจ้าย่ำแย่ นางแทบเอา ชีวิตน้อย ๆ ของข้าพเจ้าไป ยังนับว่าโชคดีที่พี่ชายตาม ไปทันและขัดขวางนางไว้ได้พอดี แต่ข้าพเจ้าเห็นนาง ทำร้ายคนไม่มีทางสู้ นางเป็นผู้ทรงศีลไม่อยู่ในศีลใน ธรรม ข้าพเจ้าเข้าช่วยเหลือด้วยกุศลเจตนาอันดี พี่ชาย จะโทษข้าพเจ้านับว่าไม่ถูกนัก”

ดรุณีนางนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่ยอมอ่อนข้อ บุรุษผู้ เป็นพี่ชายจึงกล่าววาจาต่อทันทีว่า

“ผาของเราอยู่ในที่เร้นลับบนหุบเขาสูง นานมากแล้วที่ คนของผาจะได้รับอนุญาตจากท่านเจ้าผาให้ลงจากเขา ท่านเจ้าผาเองหลังจากค้นพบกับผาแห่งนี้ และนำเราเฮีย ม่วยมาเลี้ยงดูท่านไม่เคยลงจากผาแม้คราเดียว ทั้งสั่ง ห้ามเด็ดขาดมิให้ผู้ใดลงจากผาก่อนได้รับอนุญาต ที่ผ่าน มาไม่มีผู้ใดกล้าย่างเท้าก้าวออกจากผาแม้แต่ผู้เดียว แม้น ใครขัดคําสั่ง แต่ต้องตายสถานเดียว สิบห้าปีมานี้ท่าน เร้นกายไม่ลงจากผา ได้แต่เก็บตัวฝึกปรือสุดยอดวิชา หากทว่าท่านลงจากผาอีกครั้ง ในยุทธภพนี้คงเสาะหา คู่มือทัดเทียมท่านได้ยากนัก”

บุรุษผู้นั้นหยุดใช้ความคิดเล็กน้อย แล้วกล่าวสืบต่อว่า
“แม่ขันวงนั้นเป็นผู้ใดกัน? พลังฝีมือยอดเยี่ยมสูงส่ง ที่ ชายเองตอนประกระบวนทำกับนางยังเป็นรองอยู่หลาย ช่วงตัวทีเดียว โชคดีที่เจ้าใช้เข็มโปรยบุปผารวงข่มขวัญ นาง หากนางล่วงรู้ว่าอาวุธลับที่เจ้าใช้เจ้าฝึกยังไม่ถึงสาม ในสิบสวน นางคงกลุ่มเราเฮียม่ายเสียละเอียดไม่เหลือ ระดูกแทนที่จะล่าถอยไป ครั้งนี้พี่ชายกลับขึ้นมาจะต้อง รายงานเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ท่านเจ้าผาได้รับทราบอย่าง ละเอียด แต่เอาเถิดทุกเรื่องราวพี่ชายจะออกหน้าแทนเจ้า เอง”

ได้ยินพี่ชายของนางกล่าววาจาเช่นนั้น นางจึงอ่อนเสียง ลงหันมาคว้าแขนพี่ชายพร้อมกล่าวว่า

“เฟินไป่ชิงยอมรับผิดต่อไปจะไม่ก่อเรื่องราวอีก ครั้งนี้ ถือว่าเป็นบทเรียนจากนี้ข้าพเจ้าจะระมัดระวังตัวไว้ให้ มาก พี่ชายอย่าได้ตำหนิข้าพเจ้าแล้ว ว่าแต่เราจะเดินทาง กลับผากันค่ำคืนนี้เลยหรือไม่?

ที่แท้ดรุณีนางนั้นมีชื่อว่าเฟืนไปชิง บุรุษผู้เป็นพี่ชายของ นางชื่อเฟื่นมู่เหอ

“พี่ชายรับคำสั่งท่านเจ้าผาให้เสาะหาคนผู้หนึ่ง? ซึ่งเป็น คนคุ้นเคยกับท่านครั้งที่ท่านผาดโผนอยู่ในยุทธภพ แต่ ยังไม่พบตัวกลับมาเกิดเรื่องราวเสียก่อน แต่เจ้าไม่ต้อง เป็นห่วงพี่ชายได้ทําเครื่องหมายนัดแนะเอาไว้แล้ว ค่ำคืน นี้เจ้ากับพี่ชายเสาะหาที่พักในหมู่บ้านแห่งนี้พักผ่อนหลับ นอนเอาแรงไว้ พรุ่งนี้เช้าค่อยออกไปทำธุระให้เสร็จสิ้น แล้วค่อยเดินทางกลับผา”

สองอาคันตุกะชุดดำซุ่มแอบฟังคำสนทนาของทั้งสอง อยู่เนิ่นนาน พลันริมโสตแว่วได้ยินเสียงคนกลุ่มหนึ่งมุ่ง ตรงมายังตำแหน่งที่ทั้งสองยืนอยู่ ชุดดำทั้งสองหันมา สบตากันวูบหนึ่ง ก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะกระทำประการ ใดต่อไป เมื่อหันกลับไปยังตำแหน่งซึ่งสองเฮียมวยแซ่ เฝิ่นยืนอยู่ กลับไม่เห็นคนทั้งสองแม้แต่เงา ไม่รู้ว่าทั้งสอง ใช้วิชาท่าร่างใด ในชั่วพริบตากลับหายตัวไปอย่างลึกลับ คนชุด ซึ่งสะพายกระบี่ รีบกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา กับชุดดำอีกคนว่า

“มีคนมุ่งตรงมาทางนี้ไม่น้อยกว่าสิบคน สองคนนั้น หายตัวไปแล้ว เจ้าอย่ามัวชักช้ารีบกลับขึ้นเขาไป แล้ว รายงานเรื่องราวให้ท่านเจ้าสำนักของเจ้าได้รับทราบ ฝากคำพูดของเราไปว่าทุกเรื่องราวยังคงดำเนินไปตาม แผน หากมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงเราจะส่งข่าวกลับไป ส่วน คนแซ่เฟื่นทั้งสองเราจะติดตามร่องรอยเอง เจ้ากับเรา แยกทางกันตรงนี้ ระมัดระวังตัวด้วย”

กล่าวจบชุดดำทั้งสองต่างทะยานดุจศรหลุดจากแหล่ง จากไป ชายชุดดำที่สะพายกระบี่เมื่อตอนหัวค่ำมุ่งตรง สู่นครหลวงลั่วหยาง ส่วนชุดดำอีกคนไม่แน่นักว่าไป ทิศทางใด ดูจากเงาหลังคล้ายคลึงคนผู้หนึ่งซึ่งปรากฏ กายในงานเลี้ยงอวยพรหลิวกงกงในหมู่ตึกกระเรียนฟ้า

คนทั้งสองจากไปฝุ่นยังไม่ทันจางหาย คนกลุ่มใหญ่ทยอยมาถึงตำแหน่งที่คนทั้งสองเพิ่งผละไป ทั้งหมดมา ด้วยกันสิบคนแยกเป็นสามกลุ่ม กลุ่มแรกเป็นบุรุษต่างวัย มีด้วยกัน คน คนนหน้าวัยหกสิบเศษมีนามว่าเฉิงปู่กง เป็นหัวหน้าพรรคไผ่หลิว อีกสามคนเป็นบุรุษอายุไล่เลี่ย กันซึ่งเป็นศิษย์

กลุ่มถัดมามีด้วยกันสามคนคือสำนักเมฆฟ้าพิรุณ คนนำ หน้าคือเจ้าสำนักนามเห่งปี้ไปวัยเจ็ดสิบเศษ ติดตามมา ด้วยศิษย์เอกสองคน แบ่งเป็นหนึ่งบุรุษกับหนึ่งสตรีอายุ ยังอ่อนวัยหนุ่มสาว

กลุ่มสุดท้ายมีด้วยกันทั้งสิ้นสามคนคือหุบเขาผาพยัคฆ์ ขาว คนนำหน้าเป็นเจ้าหุบเขานามมู่ชิวป่าอายุราวเจ็ดสิบ ปี ศิษย์สตรีสองนางทั้งสองมีอายุไล่เลี่ยกัน รูปร่างอ่อน แอ้นบอบบางอยู่ในชุดนักบู๊สีขาวดั่งหิมะ เค้าโครงรูปหน้า งดงามผิวขาวผุดผ่อง เมื่อทั้งหมดมาถึงต่างแยกย้ายกัน สำรวจทั่วบริเวณ แต่ไร้วี่แววของผู้คน

“ท่านเหิง พบเห็นสิ่งใดผิดปกติบ้างหรือไม่?”

เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวเอ่ยถามขึ้น หลังจากทั้งหมดมา รวมกันใต้ต้นไม้ใหญ่

“คิดว่าคนเหล่านั้นคงจากไปได้ไม่นาน ก่อนหน้าพวกเรา มาไม่มากนัก ดูจากร่องรอยมีตรงนี้สองคน และห่างไป ตรงโน้นอีกสองคน ดูท่าว่าจะเป็นคนละกลุ่มกัน”
เหิงปี้ไปเจ้าสำนักเมฆฟ้าพิรุณชี้แจงตามเหตุผล หลัง จากเดินสำรวจจนทั่วบริเวณแล้ว เฉิงปู่กงหัวหน้าพรรคไผ่ หลิวกล่าวขึ้นด้วยความผิดหวังบ้างว่า

“ข้าพเจ้าเองล้วนมีความคิดเห็นตรงกับท่านเหิง แต่คิด ไม่ออกว่าเป็นคนของฝ่ายใด? ดูแล้วการมาครั้งนี้ของเรา ท่านคงคว้าน้ำเหลวอีกเช่นเคย

เฉิงปู่กงยกมือหยาบหนาขึ้นลูบเครายาวห้าแฉกพลางใช้ ความคิด ทั้งหมดติดตามร่องรอยคนร้ายมาหลายวัน แต่ ยังไม่ได้เบาะแสอันใด ดังนั้นจึงปรึกษากันว่าจะทำเช่นไร ต่อไป ทั้งหมดสนทนากันได้ครู่ใหญ่จึงมีความเห็นสรุป ตรงกันว่า ให้ทั้งหมดแยกย้ายกันกลับสำนักของแต่ละคน ก่อนแล้วค่อยรวมตัวกันอีกที พร้อมกันนั้นได้จัดเตรียมคน มาคอยสอดส่องหาข่าวในแถบนี้ด้วย

เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงมอบหมายให้อวี้หว่อ ซึ่งเป็นศิษย์คน รองของพรรคไผ่หลิวรับหน้าที่ไปรายงานต่อท่านหลิว กงกงยังหมู่ตึกกระเรียนฟ้า และหนานตี้ศิษย์คนโตของ สำนักเมฆฟ้าพิรุณ รับหน้าที่เดินทางไปรายงานต่อเจ้า อาวาสวัดเส้าหลิน จากนั้นทั้งหมดจึงออกเดินทางออก จากที่นั่น

เมื่อทั้งหมดทยอยเดินทางออกจากบริเวณนั้นไปได้ไม่ นาน ถัดไปไม่ไกลนักบนกิ่งไม้ใหญ่ที่มีใบหนาทึบปกคลุม เฟินมู่เหอและเฝิ่นไปชิงทั้งสองทิ้งตัวลงจากต้นไม้ใหญ่ ความจริงทั้งสองมิได้จากไปไหนไกล เพียงแต่อาศัยจังหวะที่คนชุดดำสองคนหันไปสบตากันจนลืม ปิดกั้นลมหายใจ เพียงชั่วพริบตาทั้งสองล่วงรู้ว่ามีคนซุ่มดู อยู่ พลิ้วกายขึ้นซ่อนกายบนต้นไม้ใหญ่ พร้อมกับใช้วิชา กำลังภายในบังคับปิดกั้นลมหายใจ ซ่อนตัวอยู่รอจนกว่า ทั้งหมดจากไปจึงลงจากที่ซ่อนตัว

ทั้งสองเป็นคนของเผ่าใด และสถานที่เร้นลับที่กล่าวถึง ตั้งอยู่ที่ใด ทำไมสิบห้าปีที่ผ่านมานี้ บรรดาชาวยุทธ์ถึง ไม่ระแคะระคายถึงความคงอยู่ของผาลี้ลับแห่งนี้ การ ปรากฏตัวขึ้นของเฮียมวยแซ่เฟื่นทั้งสอง มีจุดประสงค์อัน ใดแอบแฝงหรือไม่ แล้วคนที่ทั้งสองกำลังเสาะหาเล่า เขา เป็นบุคคลชนชั้นใดกันแน่ มีความสัมพันธ์อันใดกับคน ของผาลี้ลับแห่งนี้


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ