จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร

ตอนที่ 2 เจ้าโอสถสายรุ้ง



ตอนที่ 2 เจ้าโอสถสายรุ้ง

ตอนที่ 2 เจ้าโอสถสายรุ้ง

นครหลวงลั่วหยาง มณฑลเหอหนาน ตั้งตระหง่านอยู่ ริมฝั่งด้านทิศใต้ของแม่น้ำฮวงโหติดกับแม่น้ำลั่วสุ่ย ทิศ เหนือพิงภูเขาหมางซาน ทิศตะวันออกใกล้กับเมืองหูเหลา ทิศตะวันตกเป็นด่านหันหูกวน รอบด้านเป็นภูเขาโอบล้อม

มณฑลเหอหนานทิศเหนือติดกับมณฑลซานซีและเห อเป่ย ทิศใต้ติดกับมณฑลหูเป่ย ทิศตะวันออกติดกับ มณฑลซานตงและอันฮุย ทิศตะวันตกติดกับมณฑลส่าน

ตรอกแคบทางทิศตะวันออกของนครหลวงลั่วหยาง เวลานี้เป็นยามซิง(ประมาณสิบหกนาฬิกา) ผู้คน พลุกพล่านเนื่องด้วยมีร้านรวงเปิดกิจการร้านค้า ซื้อขาย แลกเปลี่ยนสิ่งของเครื่องใช้ บ้างเปิดร้านขายภาพเขียน ตัวหนังสือต่าง ๆ บ้างขายผ้าแพรพรรณหลากหลาย สีสัน รวมถึงโคมไฟหลากหลายชนิด อีกทั้งร้านขายยา สมุนไพรเปิดอยู่เรียงรายหลายร้านด้วยกันมองดูคึกคัก อักโข

ก่อนหน้านั้นเมื่อหลายปีก่อนแถบนี้เกือบกลายเป็นเมืองร้าง เนื่องจากชาวบ้านที่เป็นชายฉกรรจ์ ต่างถูก ทางการเกณฑ์ไปเป็นทหาร บ้างถูกบังคับไปใช้แรงงาน ส่วนชาวบ้านที่เป็นหญิงที่มีร่างกายแข็งแรงล้วนถูกนำไป ใช้แรงงานไม่ต่างกัน หากเป็นชาวบ้านที่เป็นหญิงอ่อนแอ และคนชรา รวมถึงเด็กและทารกต่างถูกทอดทิ้งให้อยู่กับ บ้านเรือน

คนชรากับเด็กและชาวบ้านที่เป็นหญิงอ่อนแอต้องอยู่กัน อย่างขวัญผวา ด้วยมีโจรผู้ร้ายชุกชุม ออกปล้นชิงวิ่งราว ฉุดคร่าหญิงชาวบ้านไม่เว้นแต่ละวัน ทรัพย์สินเงินทองที่ มีอยู่เพียงน้อยนิดล้วนถูกปล้นชิงไป ทางการไม่มีเวลามา ดูแลปราบปรามเพราะต้องไปทำสงครามสู้รบ ชาวบ้านที่ ทนไม่ไหวต่างอพยพย้ายถิ่นฐานไปอยู่เมืองอื่น

ภายหลังการรวมแผ่นดินของราชวงศ์สุย สภาพบ้าน เมืองโดยรวมได้รับการฟื้นฟูจากภาวะสงคราม มีการ เติบโตด้านการผลิตและการค้าขาย เกิดความสงบสุขอยู่ ระยะหนึ่ง สุยเหวินตี้ฮ่องเต้ขณะนั้นได้ดำเนินการปฏิรูป การปกครองครั้งใหญ่ โดยยุบรวมเขตปกครองในท้อง ถิ่น ลดขนาดองค์กรบริหารรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลาง ฮ่องเต้กุมอำนาจเด็ดขาดทั้งทางทหารและการปกครอง โดยมีขุนนางเป็นเพียงผู้ช่วยในการบริหาร ทั้งนี้เพื่อ ป้องกันการแก่งแย่งอำนาจและเป็นการลิดรอนอำนาจนั้น เอง

สุยเหวินตี้ฮ่องเต้ทรงนับถือพระพุทธศาสนา โปรดการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายประหยัด ตลอดรัชสมัยมีฮองเฮา เพียงพระองค์เดียว ขณะที่รัชทายาทหยางหย่งกลับเลี้ยง ดูสนมนางระบำไว้มากมาย สุยเหวินตี้จึงทรงปลดรัชทา ยาทหยางย่ง แต่งตั้งราชโอรสองค์รองหยางกว่างขึ้น แทน

ต่อมาหยางกว่างร่วมมือกับอวี้เหวินซู่ และหยางซู วางแผนแย่งชิงบัลลังก์ เมื่อสุยเหวินตี้ฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ กะทันหัน หยางกว่างสืบราชบัลลังก์ต่อมา มีพระนามว่า สุยหยางตี้ฮ่องเต้

สุยหยางตี้ฮ่องเต้ เมื่อขึ้นครองราชย์กลับลุ่มหลงมัวเมา ในอำนาจ ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย เกณฑ์ แรงงานชาวบ้านนับล้านสร้างนครหลวงตะวันออกแห่ง ใหม่ที่ลั่วหยาง และอุทยานตะวันตกที่มีอาณาบริเวณกว่า สามร้อยลี้ ซ่อมและสร้างกำแพงหมื่นลี้

นอกจากนี้ยังขุดคลองต้าอวิ๋นเหอ เพื่อการท่องเที่ยว แดนเจียงหนัน(กังหนำ) และเชื่อมต่อดินแดนตอนเหนือ และใต้ เชื่อมบรรจบแม่น้ำห้าสายเข้าด้วยกัน ทำให้ลั่ว หยางกลายเป็นศูนย์กลางการค้าและการคมนาคม สิ้น เปลืองงบประมาณแผ่นดินจำนวนมาก ชาวบ้านอดอยาก ได้ยาก มีชาวบ้านที่หลบหนีการเกณฑ์ทหารและแรงงาน เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ บ้างกลายเป็นคนจรหมอนหมิ่นไร้ที่อยู่ ๆ อาศัย

แต่เมื่อวันเวลาล่วงผ่านเลยไป ปรากฏว่าคลองต้าอวิ๋นเหอที่ขุดเชื่อมต่อดินแดนตอนเหนือและใต้ เชื่อมบรรจบ แม่น้ำห้าสายเข้าด้วยกันนั้น กลับทำให้เมืองลั่วหยาง กลายเป็นศูนย์กลางการค้าและการคมนาคม มีสินค้าจาก ทั่วสารทศบรรทุกมากับเรือสินค้าเดินทางมายังลั่วหยาง ทำให้ทั้งเมืองคึกคักไปด้วยพ่อค้าวาณิชย์ และชาวบ้าน นำสินค้ามาวางขายและเปิดร้านรวงกันอยู่เนืองแน่น

ดังนั้นแม้แต่ตรอกแคบเล็ก ๆ แห่งนี้ยังคึกคักไปด้วย พ่อค้าวาณิชย์ ต่างกอบโกยกำไรจากการค้าขาย บ้าง เปิดโรงเตี๊ยม ในตรอกแห่งนี้มีโรงเตี๊ยมอยู่หลายแห่งด้วย กัน ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดน่าจะเป็นโรงเตี๊ยมชื่อต้าเหอชุน เจ้าของเดิมขายกิจการให้กับอดีตหัวหน้าคุ้มกันภัยที่นอก ด่าน ก่อนอพยพหนีสงครามไปอยู่เมืองอื่น

โรงเตี๊ยมแห่งนี้จึงได้ปรับปรุงมีอยู่ด้วยกันสองชั้น ด้าน ล่างตั้งเป็นโต๊ะไม้และม้านั่งสำหรับนั่งรับประทานอาหาร มีอยู่ด้วยกันราวยี่สิบโต๊ะ ชั้นสองยังมีโต๊ะรับประทาน อาหารสำหรับแขกคนพิเศษอีกห้าโต๊ะ โต๊ะหนึ่งนั่งได้หก คน นอกนั้นจัดเป็นห้องพักสิบกว่าห้อง ในแต่ละวันมีแขก เหรื่อเข้าใช้บริการคับคั่ง

ยามนี้ความมืดของราตรีกาลเริ่มปกคลุม แขกเหรื่อที่มา รับประทานอาหารต่างทยอยออกจากร้าน จะเหลือเพียง แขกที่เข้าจองห้องพักเท่านั้น หน้าโรงเตี๊ยมจุดโคมไฟ สว่างไสวเรืองรอง มองไปมุมหนึ่งของสถานที่ ซึ่งสร้าง เป็นระเบียงยื่นออกไปยังสระน้ำ ยังคงนั่งอยู่ด้วยชายผู้หนึ่ง รูปร่างสูงประมาณหกถึงเจ็ดเซี๊ยะ

คนผู้นั้นสวมใส่อาภรณ์ด้วยผ้าฝ้ายเนื้อหยาบสีเทาเข้ม บนศีรษะสวมทับด้วยหมวกเล่ยปีกกว้าง โดยรอบของ ขอบหมวกปล่อยผ้าแพรเบาบางสีดำปิดห้อยลงมาจนถึง เหนือริมฝีปาก เผยให้เห็นเพียงหนวดเครายาวและริม ฝีปากค่อนข้างหนาเท่านั้น

แม้ว่าอาหารบนโต๊ะจะหมดทุกจานแล้ว แต่ดูเหมือน ชายคนดังกล่าวยังคงนั่งนิ่งสงบ เสมือนกำลังรอคอย ผู้คนอยู่ สายลมยามค่ำคืนผนวกกับสายน้ำในสระ ทำให้ บรรยากาศยามนี้ดูเยือกเย็นอย่างอธิบายไม่ถูก

ทันใดนั้นเสียงวัตถุชนิดหนึ่งแหวกพุ่งฝ่าอากาศมายัง ทิศทางที่ชายคนนั้นนั่งอยู่ด้วยความเร็วสุดเปรียบปาน เสียงวัตถุนั้นแม้กระทบโสตชายคนดังกล่าวหาสนใจไม่ ยังคงนั่งนิ่งสงบ พอวัตถุนั้นพุ่งเข้ามาใกล้ห่างไม่ถึงหนึ่ง คืบ ค่อยสะบัดฝ่ามือขวับใช้สองนิ้วคีบจับวัตถุนั้นไว้อย่าง แม่นยำและรวดเร็ว

พร้อมกันนั้นไกลออกไปเพียงไม่กี่วา แลเห็นเงาหลัง สองร่างพุ่งกายหายเข้าไปในตรอกแห่งหนึ่ง ชายคนที่นั่ง อยู่รีบล้วงเงินในอกเสื้อวางลงบนโต๊ะ พร้อมกับเร่งฝีเท้า ติดตามไปอย่างรวดเร็ว ดูจากฝีเท้าแผ่วเบาไร้น้ำหนัก นับ ว่าเป็นยอดคนผู้หนึ่งในบู๊ลิ้ม
เมื่อออกจากตรอกขวางทะลุสู่ถนนสายหนึ่ง ซึ่งมุ่งไปยัง นอกเมือง เงาร่างสองสายปรากฏแล้วหายไปในความมืด สลัว ที่แท้วัตถุนั้นคือแผ่นกระดาษเล็ก ๆ เขียนด้วยหมึก สีดำว่า “เนินเสือดาว” ห่อหุ้มใส่ก้อนหินซัดขว้างอย่าง แม่นยำ

ความแรงและความเร็วในการซัดขว้างแฝงกำลังภายใน ถึงสี่ส่วน หากเป็นคนทั่วไปมิได้ฝึกยุทธ์ หรือพลังฝีมือไม่ สูงส่งพอ อาจถูกพลังลมปราณที่บรรจุแฝงมา กระแทก ทำร้ายบาดเจ็บสาหัสแล้ว เนินเสือดาวอยู่ห่างออกไปทาง ทิศตะวันออกราวสิบลี้

ชายคนดังกล่าวทุ่มเทท่าร่างวิ่งตะบึง พริบตาเดียวไล่เงา ร่างสองสายทันก่อนถึงเนินเสือดาวไม่มากนัก เมื่อติดตาม ถึงถาโถมเข้าหาคนทั้งสองพร้อมแยกย้ายฝ่ามือซ้าย ขวา แผ่พุ่งพลังจู่โจมเข้าหาคนทั้งสองด้วยความเร็วปาน สายฟ้า ที่แท้คนทั้งสองคือเฮียมวยแซ่เฟินนั้นเอง ค่ำคืนนี้ ทั้งสองอยู่ในชุดอำพรางสีดำรัดกุมคลุมหน้ามิดชิดเช่นกัน

เสียงเพี้ยะผะฝ่ามือซ้ายปะทะกับฝ่ามือขวาของเฟื่นไป่ ชิ่ง ส่วนมือขวาปะทะกับมือขวาของเฟินมู่เหอ สองเฮีย มวยแซ่เฟินถอยร่นไปสองก้าวก่อนตั้งหลัก แล้วทะยาน เข้าหาชายคนดังกล่าวอีกครั้ง

ชายผู้นั้นย่อตัวลงเล็กน้อยพลางหมุนร่างคว้างเป็นรูป ครึ่งวงกลม เท้าซ้ายเกี่ยววูบเข้าหาข้อพับของเฟินมู่เหออีกทั้งสะบัดฝ่ามือต้านรับท่าจู่โจมจากด้านข้างของเฟ็น ไปชิง เฟื้นฟูเหอสะกิดปลายเท้าพลิกร่างหงายไปด้าน หลัง รอดพ้นจากท่าเตะของชายคนดังกล่าว แต่กระนั้น ยังรับรู้ถึงสภาวะที่เกรี้ยวกราดของพลังที่ม้วนทะลักแผ่พุ่ง มา

เมื่อชายคลุมหน้ารับท่าจู่โจมจากเฟินไปชิงแล้ว รีบพุ่ง ตัวตามติดต่อยหมัดขวาใส่ด้านข้างของเฟื้นฟูเหอ ช่วงจัง หวะนั้นเฟินไป่ชิงหมุนตัวหนึ่งรอบพร้อมกับเตะใส่หัวไหล่ ด้านซ้ายของชายผู้นั้นอย่างเร่งร้อน

ชายคลุมหน้ามิลนลาน ย่อตัวลงพร้อมกับหมัดขวาพุ่ง ต่อยออกโดนสีข้างของเฝิ่นมู่เหอไม่รุนแรงนัก ชายคน ดังกล่าวเมื่อหมัดสัมผัสร่างเฝิ่นมู่เหอ เขารับรู้ถึงพลังที่ กล้าแข็งยืดหยุ่นที่ต้านรับหมัดของตน ทางด้านเฟื่นไป่ชิง เมื่อเตะพลาดรีบสะกิดเท้าตีลังกากลางอากาศ ร่างลอย อยู่เหนือศีรษะของชายคลุมหน้า แล้วพุ่งสองฝ่ามือลง มายังกลางกระหม่อมของชายผู้นั้น ด้วยท่วงท่าสวยงาม หมดจดไร้ที่ติ

ชายคนดังกล่าวเพียงยกฝ่ามือข้างเดียวขึ้นต้านรับสอง ฝ่ามือของเฟินไป่ชิง เขาใช้พลังเพียงสามส่วนในการต้าน รับกับสองฝ่ามือ พอฝ่ามือของทั้งสองปะทะกระแสพลัง ม้วนทะลักแตกกระจายออกด้านข้าง เจิ่นไป่ชิงเมื่อปะทะ ฝ่ามือกับชายคลุมหน้าแล้ว ตีลังกากลางอากาศหนึ่งรอบ ทิ้งตัวลงสู่พื้นอย่างหมดจดสดใส
นางเมื่อลงมือไม่ประสบผลสําเร็จเป็นครั้งที่สาม จึงย่อ กายลงพร้อมกับประสานมือทั้งสอง แล้วกล่าววาจาต่อ ชายคนดังกล่าวว่า

“ข้าพเจ้าเฟินไป่ชิง คารวะอาวุโส”

ทางด้านเฟื่นมู่เหอไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร เพราะเขาได้ ใช้พลังคุ้มครองกายสลายพลังที่ชายคลุมหน้าต่อยหมัด โดนสีข้างด้านซ้าย ผนวกกับหมัดที่ต่อยมาไม่รุนแรงนัก เฝิ่นมู่เหอก้าวเท้ามาหยุดยืนเคียงข้างเฟื่นไป่ชิง พร้อม กับโน้มตัวยกสองมือประสานต่อหน้าชายคลุมหน้า แล้ว กล่าวขึ้นว่า

“ข้าพเจ้าเฟินมู่เหอคารวะอาวุโส ส่วนนางเป็นม่วยม่วย ของข้าพเจ้า”

“วิเศษ วิเศษ เจ้าเฒ่าแม้ชรากลับอบรมสั่งสอนศิษย์ได้ดี ไม่นึกเลยว่าเจ้าทั้งสองจะรับมือเราได้หลายกระบวนท่า ไม่เลวไม่เลว ฮา ๆ

ชายคลุมหน้ากล่าววาจาพลางถอดหมวกเลยออก เผย

ให้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเมตตากรุณา ดูจาก ใบหน้ามีร่องรอยเหี่ยวย่นของวัยประมาณเจ็ดสิบปี คิ้ว ขาวประปรายดวงตาดุจอินทรี ไว้หนวดยาวเลยมุมปาก ทั้งสอง ทิ้งลงมารวมกับเคราไม่บางไม่หนาตรงปลายคาง เส้นผมบนศีรษะมีสีขาวแซมสลับดำถูกผูกมัดเป็นเกล้าด้วยเศษผ้าสีเข้มรวบไว้กลางศีรษะปล่อยปลายผม ยาวเลยไหล่อันกว้างฝั่งผาย ไหล่ทั้งสองยกเชิดขึ้นเล็ก น้อย

“เราเฮียมวยได้รับคำสั่งท่านเจ้าผาให้เสาะหาอาวุโส แต่ วันก่อนเกิดเรื่องราวขึ้นเสียก่อน ด้วยมีคนชุดดำสองคน ติดตามเราเฮียม่วยไปยังชายป่าที่หมู่บ้านกลางหุบเขา ข้าพเจ้าจึงทิ้งเครื่องหมายนัดท่านที่โรงเตี๊ยมต้าเหอชุน ต้องขออภัยอาวุโสที่ทำให้ท่านต้องล่าช้าเสียเวลา”

เฟินมู่เหออธิบายถึงสาเหตุที่เกิดความผิดพลาด พร้อม กับเล่าให้ฟังว่าได้ประมือกับแม่ชีนิรนามนางหนึ่ง วิชากล้า แข็งลึกล้ำ และไม่ลืมเล่าถึงเหตุการณ์ที่มีคนชุดดำสอง คน ติดตามเขากับน้องสาวที่หมู่บ้านเย้ยอรุณกลางหุบเขา เมื่อวันก่อน

“อาวุโสสบายดี? ต้องลำบากท่านมากหลายแล้ว”

เฟื่นไป่ชิงกล่าวถามขึ้นบ้าง

“อย่าได้เรียกหาเราว่าอาวุโสเช่นนั้นอาวุโสเช่นนี้เลย เรียกเราว่าเจ้าโอสถสายรุ้งจะดีกว่า เรายังไม่อยากชรา ถึงปานนั้น เราสบายดีมิลำบากแม้แต่น้อย เจ้าทั้งสองอย่า กล่าววาจาเกรงอกเกรงใจจนเกินไป ว่าแต่เจ้าเฒ่าชรา สบายดีหรือไม่?”
ชายคนที่เรียกตนเองว่าเจ้าโอสถสายรุ้ง กล่าวตอบคำ กามของเฟื่นไปขัง พร้อมกับถามถึงเจ้าผาของทั้งสองที่ ไม่ได้พบกันมาราวสิบกว่าปี ท่านเจ้าผาของทั้งสองหลัง จากหันหลังให้กับยุทธภพ ไม่เคยลงจากเขาเลยแม้แต่ ครั้งเดียว

ดังนั้นท่านจึงไม่เคยพบหน้าสหายคนใดเลยตลอดสิบ กว่าปีที่เก็บตัว หากมีอะไรต้องกระทำท่านจะมอบหมาย ให้เฝิ่นมู่เหอ เป็นผู้ลงจากผามาทำธุระให้กับท่าน ดั่งเช่น ครั้งนี้เพียงแต่ท่านได้อนุญาตให้เฟื่นไปชิงติดตามเฟื้นฟู เหอมาด้วย

“ท่านเจ้าผาสบายดี ที่ผ่านมาท่านมัวแต่เก็บตัวฝึก วิชา ไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องราวของยุทธภพ ยิ่งสถานที่ที่ท่าน พำนักอยู่อากาศดียิ่ง อีกทั้งยังสงบและเพลิดเพลินด้วย ธรรมชาติ ทั้งให้ความสดชื่นปลอดโปร่งโล่งสบาย ทำให้ ท่านมีสุขภาพแข็งแรงยิ่ง ทางด้านพลังฝีมือยังรุดหน้าอีก หลายขั้น”

“เช่นนั้นเราจึงหมดห่วง นึกไม่ถึงผ่านไปไม่เท่าไหร่ล่วง เลยมาถึงสิบห้าปีแล้ว”

เจ้าโอสถสายรุ้งกล่าวพลางสำรวจใบหน้าของเฟื่นไปชิง ซึ่งตอนนี้นางและพี่ชายของนาง ได้ดึงผ้าคลุมหน้าออก จึงเผยให้เห็นใบหน้าของทั้งสองในระยะใกล้ ๆ ค่ำคืนนี้ นางแต่งกายเยี่ยงบุรุษ แต่กระนั้นยังดูออกว่าเป็นอิสตรีที่ สะคราญโฉมนางหนึ่ง ด้วยรูปร่างอ้อนแอ้นอรชร รูปโฉมโนมพรรณที่งดงามปานเทพธิดามาจุติ วง พักตร์รีดั่งไข่หงส์ที่ประดับไปด้วยคิ้วเรียวโก่งประหนึ่งคัน ศร ดวงตาด้มขลับประดุจนิล ปากนิดจมูกหน่อยแต่แฝง ความดื้อรั้นอยู่ในที

“เราเส้าเปี๊ยะเทียนฉายาเจ้าโอสถสายรุ้ง หลายปีมานี้ ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับยุทธภพเช่นกัน ได้แต่หาสมุนไพรปรุง ยามีเวลาว่างมักเขียนตำรับตำรายาสมุนไพรต่าง ๆ บ้าง บัญญัติวิชาฝ่ามือขึ้นมาใหม่หลายชุด หลายปีมานี้อยู่ตัว คนเดียวเปล่าเปลี่ยวยิ่งนัก หากมีเด็กน่ารักน่าเอ็นดูเยี่ยง เจ้ามาเป็นบุตรีน่าจะดีไม่น้อย”

เจ้าโอสถสายรุ้งกล่าวด้วยความเอ็นดู จนเฟื่นไปชิงรีบ ปฏิเสธด้วยความเอียงอายขวยเขิน ยิ่งขับเสริมความ งดงามของดรุณีแรกรุ่นออกมา

“ท่านเจ้าโอสถสายรุ้งกล่าวชมข้าพเจ้ามากไปแล้ว พี่ ชายชอบกล่าวหาว่าข้าพเจ้าซุกซน ไม่มีความเป็นอิสตรี ขืนท่านมีบุตรีเยี่ยงข้าพเจ้า คงอกแตกตายก่อนวัยชรา เป็นแน่”

เจ้าโอสถสายรุ้งยิ้มพลางล้วงเข้าในอกเสื้อ หยิบฉวย ขวดกระเบื้องเคลือบใบเล็กสีขาว ปากขวดเคลือบปิดด้วย จุกผ้าสีแดงสดออกมา ยื่นส่งให้เฟินไปชิงพร้อมกล่าวว่า
“ในขวดเป็นยาเก้าพิษกร่อนวิญญาณที่เราเพิ่งคิดค้นได้ ในใต้หล้ามีเพียงสิบเม็ด ภายในขวดนี้บรรจุตัวยาหกเม็ด ด้วยกัน ประกอบด้วยเม็ดยาสีแดงจำนวนสามเม็ด และ เม็ดยาสีดำจำนวนสามเม็ด เราขอมอบให้กับเจ้าเป็นของ ขวัญแรกพบเจอกัน อันเนื่องจากเราเองรู้สึกถูกชะตากับ เจ้ายิ่งนัก”

เฟินไป่ชิงยื่นมือรับขวดยามาพิศดูพลางถามเจ้าโอสถ สายรุ้งว่า

“ยาเก้าพิษกร่อนวิญญาณ ชื่อน่ากลัวขนาดนั้น มันเป็น ยาพิษชนิดใดกัน? ท่านเจ้าโอสถสายรุ้ง”

เจ้าโอสถสายรุ้งเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง อีกมือยกขึ้น ลูบเครายาว พลางอธิบายว่า

“มันเป็นยาที่เราปรุงจากพิษสิบแปดชนิดต่างกัน ซึ่งพิษ แต่ละชนิดต้านพิษด้วยกันเอง ตัวยาเม็ดสีแดงเรียกว่า เก้าพิษโหยหวน เม็ดยาสีดำเรียกว่าเก้าพิษดับโลกันตร์ หากใช้ผิดวิธีต่างเป็นยาพิษที่เขย่าขวัญสั่นวิญญาณเลย ทีเดียว หากรับประทานเม็ดยาสีหนึ่งสีใดลำพังเพียงเม็ด เดียว มันจะเป็นยาพิษที่จะคร่าวิญญาณให้โหยหวนลง โลกันตร์เพียงไม่กี่ชั่วยาม แต่หากรับประทานพร้อมกัน สองเม็ดต่างสี จะเป็นยารักษาพิษสารพัดชนิด

เจ้าโอสถสายรุ้งกล่าวถึงตรงนี้ เฟินมู่เหอจึงกล่าวถามขึ้นบ้างว่า

“ในเมื่อตัวยาปรุงมาจากพิษสิบแปดชนิด ไฉนจึงเรียกว่า ยาเก้าพิษกร่อนวิญญาณหรือ? ท่านเจ้าโอสถสายรุ้ง”

เจ้าโอสถสายรุ้งลูบหนวดเคราอยู่ไปมา แล้วกล่าวตอบ ด้วยความภาคภูมิใจว่า

“ถูกต้องตัวยาปรุงจากพิษสิบแปดชนิด แต่พิษแต่ละชนิด ข่มพิษด้วยกันเอง ดังนั้นหากรับประทานตัวยาเม็ดสีหนึ่ง สีใดลำพัง มันจึงเป็นพิษเพียงเก้าชนิดที่รุนแรง วิธีแก้จะ ต้องรับประทานตัวยาเม็ดสีต่างกันเท่านั้นจึงจะรักษาได้ ในใต้หล้าไม่มีตัวยาใดที่จะแก้พิษของเราได้อีกแล้ว”

“หากเป็นเช่นนั้นแม้นรับประทานพร้อมกันสองเม็ดต่าง กัน มันจึงไม่มีพิษสงอันใดหลงเหลืออยู่เลยถูกต้องหรือ ไม่? ท่านเจ้าโอสถสายรุ้ง”

เฟื่นไปชิงกล่าวถามขึ้นทันที เจ้าโอสถสายรุ้งพยักหน้า พร้อมกล่าวว่า

“ถูกต้อง เจ้าเข้าใจมิผิด หากรับประทานเม็ดยาต่าง สีสองเม็ดพร้อมกัน ด้วยพิษสิบแปดชนิดจะข่มพิษ ด้วยกันเองจนหมดสิ้น หากผู้ใดต้องพิษไม่ว่าจะรุนแรง ร้ายกาจสักเพียงใด? จะขจัดสิ้นไม่เหลือซาก พร้อมกันนั้นหากนำตัวมาสองชนิดไปบดผสม หรือรับประทาน พร้อมกับดึงมรกตเก้าหัว จะทำให้เพิ่มพลังวัตรได้เท่ากับ คนฝึกยุทธ์สามสิบปีเลยทีเดียว”

“ดึงูมรกตเก้าหัวมันคือสิ่งวิเศษชนิดใดกัน? มันมีอยู่จริง เช่นนั้นหรือ? ท่านเจ้าโอสถสายรุ้ง เกิดมาข้าพเจ้าเพิ่ง ได้ยินชื่อเป็นครั้งแรก

เฟื้นฟูเห่อชิงถามขึ้นด้วยความสงสัย หากดึงมรกตเก้าหัว มีสรรพคุณวิเศษเช่นนั้น ถ้ามีอยู่จริงในโลกหล้า ชาวยุทธ์ คงแย่งชิงเพื่อครอบครองของวิเศษชิ้นนี้เป็นแน่แท้ เจ้า โอสถสายรุ้งทําท่าครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า

“เล่าขานกันว่าเป็นดีงูเทพเจ้า ร้อยปีจะมีปรากฏออกมา ครั้งหนึ่ง ผู้ที่มีวาสนาเท่านั้นจึงจะได้พบพานและครอบ ครองดีงูวิเศษ ในอดีตมีผู้ได้ครอบครองดีงูวิเศษนี้ แต่ ลำพังดีงูวิเศษเพียงอย่างเดียวช่วยให้เพิ่มพลังยุทธ์ได้ เพียงสิบห้าปีเท่านั้น หากนำมาผสมกับตัวยาเก้าพิษกร่อน วิญญาณของเราที่คิดค้นได้ จะทำให้เพิ่มพลังยุทธ์ได้อีก เท่าตัว เท่ากับผู้ฝึกยุทธ์ถึงสามสิบปี

“แล้วผู้ใดกัน? ที่เป็นผู้ครอบครองดีงูวิเศษที่ท่านกล่าวถึง รบกวนท่านเจ้าโอสถ ช่วยเล่าเรื่องราวต่อข้าพเจ้ากับพี่ ชายได้รับทราบจะได้หรือไม่?”

เฟื่นไปชิงรีบกล่าวถามทันที พร้อมกับซุกขวดยาไว้ในแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง

“เป็นซือโจว ปรมาจารย์) ท่านหนึ่งยากที่จะเอ่ยนาม เมื่อ ท่านได้รับประทานดีงูวิเศษทำให้สำเร็จวิชาสูงส่ง และ ต่อมาได้รจนาคัมภีร์ยุทธ์ขึ้นมาเล่มหนึ่ง เรียกว่า “คัมภีร์ สุริยันจันทรา” ซึ่งภายในบรรจุกระบวนท่าและเคล็ดวิชา ที่สยบไปทั่วภพจบแดน หากแม้นใครได้ฝึกจะกลายเป็น ยอดคนเป็นเจ้ายุทธ์ไร้ผู้ต่อต้าน ภายหลังคัมภีร์ถูกแยก ออกเป็นสองส่วน คัมภีร์สุริยันภายในบรรจุกระบวนท่า วิชาที่ลึกล้าพิสดาร ส่วนคัมภีร์จันทราภายในบรรจุเคล็ด วิชาลมปราณอีกทั้งวิชาดรรชนีแขนงหนึ่ง แต่น่าเสียดาย ไม่มีผู้ใด? ได้พบเห็น เมื่อมันได้หายสาบสูญไปเมื่อสิบ กว่าปีก่อน”

เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเปี๊ยะเทียนกับเฟินมู่เหอและเฝิ่น ไป่ชิง ทั้งสามสนทนาพลางก้าวเท้าเดินไปช้า ๆ ทำให้ เพิ่มความสนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น เจ้าโอสถสายรุ้งเล่า เหตุการณ์ต่อ เมื่อเห็นว่าทั้งคู่กำลังจดจ่อรับฟังอย่างตั้ง อกตั้งใจ

ตอนนั้นปรมาจารย์ท่านนั้นมีอายุราวสี่สิบปี ตอนที่ท่าน ได้พบพานกับดีงูมรกตเก้าหัว ส่วนสถานที่นั้นไม่เปิดเผย ว่าเป็นที่ใด และไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าท่านได้ดีงูวิเศษมาด้วย วิธีการใด หลังจากท่านได้ของวิเศษมาและได้กลืนกินมัน ลงไป จริงเท็จมิอาจไขข้อกังขา เชื่อว่าท่านได้หมดลม หายใจไปเป็นเวลาถึงหนึ่งร้อยวัน แต่สังขารกลับมิเน่า สลาย มิหนำซ้ำทั่วทั้งร่างยังเปล่งประกายสุกใส มีผู้รู้หลายท่านบอกว่าท่านคล้ายดั่งกบจําศีลอยู่ ใต้พื้นพิภพ เหมือนทารกน้อยในครรภ์มารดา

เชื่อกันว่านั่นคือวิถีทางแห่งการบำเพ็ญเพียรแห่งเต๋า เป็นการฝึกลมปราณก่อนกำเนิด ดูดซับเอาพลังธรรมชาติ อันบริสุทธิ์ แม้จมูกไม่หายใจแต่ท่านได้หายใจทางท้อง ขณะท่านนอนจําศีลภายในเกิดการโคจรพลังลมปราณ รอบแล้วรอบเล่าต่อเนื่องไม่ขาดตอน ทำให้โลหิตไหล เวียนไปทั่วร่าง จุดชีพจรต่าง ๆ ได้ถูกทะลวงจนหมดสิ้น

ผ่านไปร้อยวันท่านกลับฟื้นคืนมา พร้อมกับสําเร็จสุด ยอดวิชาโดยไม่ตั้งใจ หลังจากนั้นท่านได้คิดค้นวิชาแขนง ต่างๆ จนแตกฉานเป็นยอดคน ผ่านไปจนท่านอายุได้หก สิบปี ท่านได้รจนาคัมภีร์ขึ้นมาเล่มหนึ่ง ภายในบรรจุสุด ยอดวิชาแขนงต่าง ๆ ไว้ ต่อมาภายหลังท่านได้ลี้กายหาย จากยุทธภพ เนื่องจากมีสำนักต่าง ๆ คิดแย่งชิงคัมภีร์สุด ยอดวิชาที่ท่านบัญญัติขึ้นหวังเป็นเจ้ายุทธภพ ท่านหาย ไปจากยุทธภพนานถึงสามสิบปีโดยไร้วี่แวว

มาทราบข่าวอีกทีตอนท่านกลับคืนสู่จงหยวน และนำ ศิษย์ที่ท่านรับไว้กลับมาด้วยห้าคน ตัวท่านเองมีความ สนิทสนมกับท่านเจ้าอาวาสแห่งวัดเส้าหลินขณะนั้น เมื่อ ท่านกลับมาได้พบปะกับเจ้าอาวาสวัดเส้าหลิน ปรึกษากับ เจ้าอาวาสว่าท่านจะเปิดสำนักเป็นหลักแหล่งเสียที พร้อม กับจะอบรมสั่งสอนศิษย์ทั้งห้าให้ผดุงคุณธรรม ถ่ายทอดวิชาของท่านให้กับศิษย์ทั้งห้าคนเพื่อ ช่วยเหลือชาวยุทธ์ ท่านเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินท่านเห็น ด้วย

ดังนั้นท่านจึงเสาะหายอดเขาลูกหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก วัดเส้าหลินมากนัก ยอดเขาลูกนี้เส้นทางขึ้นแสนลำบาก ยิ่ง ทั้งสูงชันทั้งเต็มไปด้วยหุบผา ยอดเขาลูกนี้มีความสูง เสียดฟ้า จึงเรียกหายอดเขาลูกนี้ว่ายอดเขาหมื่นเซียน ด้วยเชื่อว่าเทพเซียนทั้งหลายบนสรวงสวรรค์ ต่างใช้ยอด เขานี้เป็นเส้นทางจากสวรรค์มายังโลกมนุษย์

ในที่สุดท่านได้เลือกสถานที่ราบด้านหนึ่งของยอดเขา หมื่นเขียน ก่อตั้งสำนักขึ้นมาโดยมีศิษย์ห้าคนเป็นศิษย์ รุ่นที่หนึ่ง ท่านทุ่มเทถ่ายทอดวิชาให้ศิษย์ทั้งห้าคนตาม ความถนัด นอกเหนือจากวิทยายุทธ์แล้ว ท่านยังถ่ายทอด ศาสตร์วิชาทั้งห้าให้ศิษย์แต่ละคนต่างกันอันได้แก่ ศาสตร์โหราพยากรณ์ บทกลอนกวี ดนตรีศิลปะ ตำรับยา โอสถ และอาวุธลับค่ายกล

อีกห้าปีต่อมาในดินแดนจงหยวนเกิดเรื่องราวขึ้น มากมาย เหล่ามารครองยุทธภพ แม้แต่ฝ่ายธัมมะเองยัง คิดแย่งชิงคัมภีร์สุริยันจันทรา สมบัติล้ำค่าสุดยอดวิชา ของแดนดิน ในที่สุดท่านแบ่งคัมภีร์ออกเป็นสองเล่มเรียก ว่าคัมภีร์สุริยันและจันทรา หลังจากนั้นท่านปรมาจารย์ และคัมภีร์ทั้งสองเล่มได้หายสาบสูญไปจากยุทธภพสิบ ห้าปีมาแล้ว จนกระทั่งเมื่อหลายเดือนก่อนกลับปรากฏข้อความเป็นวลีสี่ประโยคว่า

“หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งคัมภีร์เคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปฐพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล”

ดังนั้นสำนักต่าง ๆ ทั้งฝ่ายธัมมะและอธรรม ต่างมีการ เคลื่อนไหวเมื่อปรากฏเบาะแสของสุดยอดคัมภีร์ยุทธ์ ตั้งแต่ปรากฏวลีสี่ประโยคมีคนตายแล้วสิบกว่าคน แต่ละ คนต่างถูกฝ่ามือกระแทกทําลายอวัยวะภายในแหลก ละเอียดเสียชีวิตภายใต้ฝ่ามือนี้ สำนักต่าง ๆสันนิษฐานว่า อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับบุรุษอายุเยาว์ ที่ปรากฏตัวในงาน วันครบรอบวันเกิดของเจ้าหมู่ตึกกระเรียนฟ้าหลิวซุ่นก งกง เจ้าโอสถสายรุ้งเล่าถึงตอนนี้ ท่านทอดถอนใจขึ้นมา เฮือกหนึ่ง แล้วกล่าวอีกว่า

“นับจากวันนี้ไปอีกห้าปีกับหกเดือน บรรดาชาวยุทธ์ใน บู๊ลิ้มต่างนัดชุมนุมกันที่วัดเส้าหลิน เพื่อทำการคัดเลือก ผู้นำชาวยุทธ์ มิเช่นนั้นแล้วเหล่ามารทั้งหลายที่เริ่มกลับ มาเคลื่อนไหวคงก่อความวุ่นวายขึ้น จะต้องมีผู้บริสุทธิ์ อีกมากมายต้องมารับเคราะห์กรรมครั้งนี้ ดังนั้นจึงต้อง คัดเลือกผู้นำชาวยุทธ์มาทำหน้าที่คลี่คลายปมการตาย ปริศนา ซึ่งเป็นคนของสำนักต่าง ๆ ดูเค้าลางเภทภัยครั้งนี้ ใหญ่หลวงยากคลี่คลาย

“อีกห้าปีกับหกเดือน นับไปเลยเทศกาลสารทง่วนเซียว ไปห้าวัน น่าจะตรงกับวันแรมห้าค่ำเดือนยี่ใช่หรือไม่ขาย?”

เฟินไปชิงเอ่ยขึ้นพร้อมกับนับนิ้วในมือ พี่ชายของนาง พยักหน้าบ่งบอกว่าถูกต้อง สาเหตุที่นางแสดงท่าทางตื่น เต้น เพราะพี่ชายของนางรับปากเอาไว้ว่าทุกปีต่อจากนี้ จะพานางมาท่องเที่ยวแดนจงหยวนในเทศกาลสารทง่วน เซียว ง่วน(แรก) เซียว(กลางคืน) เทศกาลสารทง่วนเซียว จึงหมายถึงคืนที่พระจันทร์เต็มดวงครั้งแรกในรอบปี ตรง กับวันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนอ้าย ในวันนี้ทุกบ้านจะนิยมกิน ขนมบัวลอยกันในครอบครัว และออกจากบ้านมาชมการ ประดับโคมไฟ เพื่อความเป็นสิริมงคล

เจ้าโอสถสายรุ้งกล่าวต่อหลังจากนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ตอนนี้ทั้งหมดพักหยุดจากการเดินสนทนา เปลี่ยนมา เป็นการยืนสนทนาอยู่กับที่แทน ซึ่งเป็นด้านหนึ่งของเนิน เสือดาว มีต้นไม้และต้นหญ้าขึ้นอยู่สูงเลยเอว

“ในวันนั้นจะมีบรรดาชาวยุทธ์มากมายเดินทางมาร่วม ชุมนุม เจ้าทั้งสองรีบเดินทางกลับสำนัก นำเรื่องราวที่เกิด ขึ้นและบอกกล่าวเกี่ยวกับการชุมนุมชาวยุทธ์ให้เจ้าผา ของเจ้าได้รับทราบ อืมม์ แต่เราสงสัยว่าทำไมพวกเจ้าทั้ง สองถึงเรียกเจ้าเฒ่าชราว่าเจ้าผา? แทนที่จะเรียกซือแป๋”

“เรื่องนี้ข้าพเจ้าเฮียม่วยต่างค้างคาใจแต่ไม่กล้าซักถาม ท่านเจ้าผาบอกว่าในชีวิตท่านไม่คิดรับศิษย์ แต่ที่สอนวรยุทธ์ให้เราเฮียมวยเพียงเพื่อให้ช่วยงานในสํานัก ดังนั้นท่านจึงสั่งให้ทุกคนในผาเรียกหาท่านว่าเจ้าผา”

เฟินมู่เหออธิบายให้เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเกี๊ยะเทียนว่า เขาและคนในผาต่างไม่ทราบเหตุผล เพราะเหตุใดเจ้าผา ของพวกเขามิให้เรียกหาว่าอาจารย์

“เอาเถิดเรื่องนี้เจ้าเฒ่าย่อมมีเหตุผล สักวันคงกระจ่าง เจ้าเองอย่าให้สร้างความลำบากใจให้แก่ท่าน นี่ก็ดึกมาก แล้วเจ้าทั้งสองรีบกลับโรงเตี๊ยมพักผ่อน ขืนอยู่แถวนี้นาน ไปอาจมีคนสะกิดความสงสัย เราเองจะเดินทางไปนอก ด่านทํางานชิ้นหนึ่งให้สำเร็จ แล้วเราจะส่งข่าวให้เจ้าผา ของเจ้าได้รับทราบ หากมีอะไรเปลี่ยนแปลงรีบส่งข่าวไป ตามที่อยู่ซึ่งเราได้ให้ไว้

หลังจากทั้งสามสนทนากันราวครึ่งชั่วยาม เจ้าโอสถ สายรุ้งบอกให้เฟินมู่เหอและเฟินไปชิงกลับโรงเตี๊ยม ตัว ท่านเองจะเดินทางออกนอกด่านไปกระทำเรื่องราวเรื่อง หนึ่ง อีกอย่างหากอยู่เนิ่นนานเกินไปจะเป็นที่สงสัยของ ผู้คน

“เช่นนั้นข้าพเจ้าเฟินไป่ชิงขออำลา ขอบคุณท่านเจ้า โอสถสายรุ้งสำหรับของขวัญยาเก้าพิษกร่อนวิญญาณที่ มอบให้ข้าพเจ้า ท่านเจ้าโอสถสายรุ้ง โปรดถนอมตัวแล้ว ค่อยพบเจอกันใหม่”
เฟื่นไปชิงกล่าวอำลาและขอบคุณเจ้าโอสถสายรุ้ง เมื่อ เห็นว่าต้องแยกย้ายจากกัน

“ข้าพเจ้าเฟื้นฟูเหอต้องขออำลาด้วยเช่นกัน ท่านเจ้า โอสถสายรุ้งอย่าได้ห่วง ข้าพเจ้าและไปชิงจะรีบเดินทาง กลับผา พร้อมกับนำเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปบอกกล่าวต่อ ท่านเจ้าผา หากมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงข้าพเจ้าจะแจ้งไป ตามที่อยู่ของท่าน ท่านเจ้าโอสถสายรุ้งโปรดถนอมตัว”

หลังจากล่ำลากันอยู่หลายคำทั้งสามต่างแยกจากกัน สองเฮียม่วยแซ่เฟื่นพลิ้วกายมุ่งหน้ากลับโรงเตี๊ยมผ้าเห อซุน ส่วนเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเปี๊ยะเทียน กระโดดขึ้นลง ไม่กี่คราหายวับไปกับราตรีกาลดุจควันเบาบางกลุ่มหนึ่ง

ห่างออกไปไม่ไกลนักหลังเนินเตี้ยลูกเล็ก ๆ ซุ่มดูอยู่ด้วย ชายชุดดำที่เคยปรากฏกายท้ายหมู่บ้านเย้ยอรุณหลาย คืนก่อน การสนทนาของทั้งสามได้ยินไม่หมดสิ้น แต่พอ จับใจความได้หลายประโยค เมื่อทั้งสามจากไปออกจาก ตำแหน่งที่ซ่อนตัว

“คัมภีร์สุริยันจันทรา ไม่เสียแรงที่เสาะหาเบาะแสใน ที่สุดได้ร่องรอย อีกไม่นานยุทธภพนี้ต้องตกเป็นของเรา ฮา ๆ”

ยังไม่ทันจะสิ้นเสียงหัวร่อของอาคันตุกะชุดดำ เสียงหัวรออีกเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น

“ฮา ๆ คิดจะเป็นเจ้ายุทธ์ปกครองบู๊ลิ้ม แม้แต่หน้าตายัง ไม่กล้าเปิดเผยให้ผู้คนได้พบเห็น น่าขัน ช่างน่าขันนัก สุนัขผายลมยังน่าฟังกว่าคำพูดเพ้อเจ้อเหลวไหล ท่านมี คุณสมบัติกระไรปกครองยุทธภพ?”

สิ้นเสียงพลังเย็นเยียบสายหนึ่ง แผ่พุ่งแหวกฝ่าอากาศ มาด้วยความเร็วจนแทบตระหนก อาคันตุกะชุดดำใจหาย วาบรีบเกร็งลมปราณขึ้นคุ้มครองกายพลางพุ่งร่างเฉียง ๆ ไปด้านข้างหนึ่งวา แล้วกระโดดหมุนตัวตีลังกากลาง อากาศหนึ่งรอบ พอเท้าแตะพื้นเห็นต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ ด้านหลัง ตำแหน่งที่ตนเองยืนเมื่อครู่หักโค่นล้มครืนลง

“ดรรชนีเทวะ! ท่านเป็นใครเกี่ยวข้องอะไรกับอารามอ เทวตา? (เทวตา หมายถึงชาวสวรรค์ผู้มีตาทิพย์ หูทิพย์ เสวยอาหารทิพย์) เมื่อมาแล้วไยไม่ปรากฏตัว?”

เสียงแหลมเล็กแสบแก้วหูดังแล้วค่อยจางหายห่างออก ไปกับความมืด แท้จริงแล้วเจ้าของเสียงจากไปหลาย ลี้แล้ว เพียงแต่โคจรพลังบังคับเส้นเสียงด้วยลมปราณ โต้ตอบกลับมาด้วยวิชาบังคับคลื่นเสียงไกลหมื่นลี้

“อารามอเทวตายินดีต้อนรับ มีปัญญาเชิญมาถามไถ่ได้ ทุกเมื่อ ค่ำคืนนี้ข้าพเจ้ามีธุระไม่มีเวลามาสนุกกับท่าน จงซุกหัวซ่อนหางของท่านให้มิดชิคเถอะ ฮา ๆ”

คนชุด แม้ใจใคร่ติดตามเจ้าของเสียงไป แต่มิอาจ กระทำตามใจปรารถนา อีกประการในตอนนี้ยังไม่ ต้องการเปิดเผยตัวให้เป็นที่สงสัยแก่ผู้คน ดังนั้นจึงจัด ลำดับความสำคัญก่อนหลังเพื่อมิให้เสียงานใหญ่ ดังนั้น จึงพุ่งร่างออกจากสถานที่แห่งนั้นมุ่งหน้าตามทิศทางซึ่ง สองเฮียมวยแซ่เฟื่นมุ่งหน้าไปนั่นเอง

ยุทธภพในเวลานี้แม้เงียบสงบไร้เรื่องราว แต่เหล่ามาร อธรรมใช่ว่าจะไม่มีออกมาก่อกวน หากจะกล่าวถึงสำนัก มารที่มีชื่อเสียงและมีพลังฝีมือสูงเยี่ยมแล้วละก็พอจะ จำแนกแจกแจงได้ดังนี้

“สำนักอสรพิษดำ ผู้เป็นเจ้าสำนักเป็นสองสามีภรรยา ชาวยุทธ์ต่างหลีกหนีเมื่อทั้งสองปรากฏตัว นอกจากพลัง ฝีมือไม่รวบรัดธรรมดาแล้ว ด้านความร้ายกาจของวิชา พิษนับได้ว่าเป็นที่หนึ่งเลยทีเดียว ในตอนนี้ทั้งสองน่า จะมีอายุล่วงเลยเหยียบร้อยปีแล้วเห็นจะได้ ฝ่ายสามีมี ฉายาตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉิน ภรรยาได้รับฉายายาย เฒ่าหมื่นพิษเอี๊ยะหิ้ว”

สำนักฝ่ามือโลหิต เจ้าสำนักมีฉายาว่าหัตถ์อมตะนาม หลี่ปู้เหว่ย ด้านพลังฝีมือร้ายกาจสูงส่ง ยามลงมือจะเห็น ฝ่ามือของคนผู้นี้เปลี่ยนเป็นสีแดงฉานคล้ายดั่งโลหิต ยุทธภพต่างทราบกันดีว่าฝ่ามือนี้เรียกว่าฝ่ามือโลหิต โหด เหี้ยมและอำมหิตไร้ปรานีในอดีตมีผู้สังเวยวิญญาณให้กับมันผู้นี้นับไม่ถ้วน

สำนักอินทรีขาว เจ้าสำนักฉายาอินทรีกลางฟ้านามหว่า เกาเฉิง ใช้วิชากรงเล็บอินทรีเหล็กสร้างชื่อไปทั่วยุทธภพ ประวัติภูมิหลังไม่ค่อยชัดเจนเท่าใดนัก ที่ชัดเจนที่สุดคือ ความชั่วช้าสามานย์ของมัน ทั้งสามสำนักมารที่กล่าวถึง ในอดีตสร้างความวุ่นวายและก่อกวนยุทธภพสร้างความ หวาดกลัวแก่ผู้คน แต่สิบห้าปีมานี้ข่าวคราวของบุคคล เหล่านี้เงียบหายไป จนชาวยุทธ์คิดว่าพวกมันคงล้มหาย ตายจากไปจากยุทธภพแล้ว

เมื่อกล่าวถึงสำนักมารแล้ว แน่นอนสำนักฝ่ายธัมมะไม่มี ผู้ใดที่ไม่รู้จักวัดเส้าหลิน นอกจากเจ้าอาวาสแต่ละรุ่นจะ มีวรยุทธ์สูงส่งแก่กล้าแล้ว หลวงจีนแต่ละรูปต่างมีฝีมือสูง เยี่ยม อีกทั้งยังมีหลวงจีนชราที่เก็บตัวไม่ยุ่งเกี่ยวทางโลก ร่ำลือกันว่าพวกท่านเก็บซ่อนตัวซุกพลังฝีมือไม่เปิดเผย ดังนั้นตลอดมาสำนักมารต่างมิกล้าตอแยตรง ๆ กับวัดเส้า หลิน

อีกสามสำนักฝ่ายธัมมะประกอบด้วย สำนักเมฆฟ้าพิรุณ หุบเขาผาพยัคฆ์ขาว พรรคไผ่หลิว นอกจากนั้นยังมียอด คนซึ่งไปมาไร้ร่องรอยอีกผู้หนึ่ง ชาวยุทธ์เรียกหาขอทาน พเนจรฉายามังกรล่องเมฆานามหวงเกาฉือ ผู้เฒ่าท่านนี้มี ผู้เข้าร่วมอุดมการณ์มากมายทั่วแผ่นดินส่วนใหญ่จะเป็น ยาจกขอทานทั้งหลาย
ส่วนทางด้านราชสำนักมีหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ที่ผ่านมา ให้ความช่วยเหลือฝ่ายธัมมะด้วยดีตลอดเวลา หลิว นก งกงเจ้าหมู่ตึกเพาะสร้างมือดีไว้มากมาย ด้านพลังฝีมือ ร้ายกาจสูงส่งตามคำร่ำลือ

ที่กล่าวมาทั้งหมดเทียบมิได้เลยกับสำนักหนึ่งซึ่งล่ม สลายไปจากยุทธภพเมื่อสิบห้าปีก่อน นั่นคือสำนัก ตำหนักหมื่นเทพ เจ้าสำนักคบหาเป็นสหายรักกับเจ้า อาวาสแห่งเส้าหลิน สำนักแห่งนี้เรียกได้ว่าเป็นอันดับหนึ่ง ในยุคนั้น นอกจากผู้เป็นเจ้าสำนักจะมีพลังฝีมือสูงส่งไร้ เทียมทานแล้ว ศิษย์ทั้งห้ายังมีวิทยายุทธ์สุดยอดสร้าง ความครั่นคร้ามแก่เหล่ามารอธรรม น่าเสียดายที่สำนัก แห่งนี้ต้องมาล่มสลายไป พร้อมกับศิษย์ทั้งห้ามาหายตัว ไร้ร่องรอย แต่ที่ชาวยุทธ์ทั้งหลายต่างหมายปองนั่นคือ คัมภีร์ยุทธ์สุริยันจันทรา สมบัติล้ำค่าหากผู้ใดได้เป็น เจ้าของสามารถปกครองบู๊ลิ้มไร้ผู้ต่อต้าน

เมื่อมาเกิดเหตุการณ์มีคนถูกสังหารด้วยบุคคลลึกลับ ทุกคนเสียชีวิตด้วยวิชาเดียวกัน ผู้ที่ลงมือใช้เพียงฝ่ามือ เดียวสามารถทำลายอวัยวะภายในแหลกละเอียด หรือจะ มีส่วนเกี่ยวข้องกับวลีสี่ประโยคที่เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี้ ยะเทียนกล่าวถึง หากเป็นเช่นนั้นจริง ผู้ที่ลงมือจะต้องมี ส่วนเกี่ยวข้องและไม่ประสงค์ดีต่อยุทธภพอย่างแน่นอน

นอกจากนั้นสองเฮียม่วยแซ่เฟื่นยังได้ประมือกับแม่ชีนิรนามนางหนึ่ง หรือว่านางจะเป็นบุคคลลึกลับที่ลงมือฆ่า คน บุรุษหนุ่มลึกลับที่ปรากฏตัวในหมู่ตึกกระเรียนฟ้าล้วน น่าสงสัย อีกทั้งยังมีอาคันตุกะชุดดำอีกผู้หนึ่ง ทุกคนล้วน น่าสงสัยว่าอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายปริศนาใน ครั้งนี้ แม้แต่สองเชียมวยแซ่เฟื่นยังไม่อาจยกเว้น ยุทธภพ ที่หลับใหลเริ่มส่อเค้าความวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ