จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร

ตอนที่ 5 ผาแห่งสายลม



ตอนที่ 5 ผาแห่งสายลม

ตอนที่ 5ผาแห่งสายลม

เฟ่นไปชิง กับเฟินมู่เหอ เมื่อออกจากหุบเขาสายรุ้งแล้ว ทั้งสองเร่งรุดเดินทางกลับจงหยวนทันที ในวันที่คนทั้ง สอง เดินทางออกจากหุบเขาสายรุ้งโดยใช้เส้นทางลับใต้ หุบเขาเร้นกายออกมา ระหว่างทางปลอดโปร่งไร้เรื่องราว เส้นทางบางช่วงเป็นเนินเขา ทอดต่ำลงมา สองเฮียม่วย แซ่เฟื่น ต่างใช้ท่าร่างวิ่งตะบึงด้วยวิชาตัวเบา แลเห็นเพียง เงาร่างสองสายเท่านั้นเอง คล้ายเหยี่ยวร้ายคู่หนึ่ง ซึ่งโฉบ ถลาลงมายังเบื้องล่างเชิงเขา

กล่าวย้อนไปถึง บุรุษหนุ่มสำอางลึกลับผู้นั้น ผู้ซึ่ง ติดตามเฮียมวยแซ่เฟื่น อีกทั้งจ่านจือไปยังหุบเขาสายรุ้ง ในวันนั้น วันที่คนทั้งสามเดินทางเข้าหุบเขาสายรุ้งไปไม่ เท่าใดนัก มันผู้นั้นได้ติดตามคนทั้งสามมา ห่าง ๆ แต่ เนื่องด้วยเส้นทางคดเคี้ยว อีกทั้งยังวกวนเกินไป คล้าย ดั่งเขาวงกต เป็นเหตุให้บุรุษหนุ่มสำอางหน้าอ่อนผู้นั้น ถึง กับหัวเสียแสดงอาการฉุนเฉียวออกมา เหตุผลสำคัญมัน คลาดคลาทั้งสามคน จนกระทั่งมิเห็นเงา

บุรุษสำอางลึกลับผู้นั้น มันพยายามเสาะหาเส้นทางเข้า หุบเขาสายรุ้ง ผ่านไปราวสองชั่วยาม กลับยังเสาะหาเส้นทางเข้ามพบ มันหงุดหงิดฉุนเฉียวเสียยกใหญ่ สุดท้ายระบายใส่ต้นไม้ใบหญ้า บริเวณนั้นไปหลายเท้า

มิว่าบุรุษส่าอางผู้นั้น มันจะทดลองอยู่อีกหลายเที่ยว ไร้ วี่แววมิเป็นผล มันยังค้นหาเส้นทางเข้าหุบเขาสายรุ้งมิ พบ มันยิ่งเดินลึกเข้าไปเท่าใด เส้นทางยิ่งวกวนสับสนจน เวียนหัว ดังนั้นมันจึงมิกล้าสืบเท้าก้าวล่วง ลึกเข้าไปได้ มากกว่านี้ สุดท้ายมันหาเส้นทาง เข้าหุบสายรุ้งมิพบ ใน ที่สุดจึงถอดใจไม่ค้นหาต่อ บุรุษสำอางลึกลับผู้นั้น มัน จึงย้อนออกมาดักรอทั้งสาม บริเวณปากทางเข้าหุบเขา สายรุ้งนั้นเอง

ผ่านไปหลายวัน ไร้ซึ่งวี่แววของคนทั้งสาม มิมีผู้ใด เดิน ทางออกมา จากหุบเขาสายรุ้งแม้แต่ผู้เดียว แท้จริงแล้ว บุรุษหนุ่มสำอางลึกลับผู้นั้น มันต้องการร่องรอย ของ สองเฮียมวยแซ่เฟินเท่านั้น สำหรับกับจ่านจือ เขาหาได้ มีความสำคัญกับมันไม่ เบาะแสที่มันต้องการ เป็นยาเก้า พิษกร่อนวิญญาณ ซึ่งไป่ชิงพกพาติดตัว ข่าวนี้ล้วนรั่ว ไหลไปไวยิ่งนัก กระทั่งมันยังให้ความสนใจ ไฉนบรรดา ชาวยุทธ์ทั้งหลาย จะมิอยากได้ฮุบไว้ครอบครอง

เมื่อมันมิเห็นผู้ใด ออกมาจากหุบเขาสายรุ้งจริง ๆ บุรุษ สำอางลึกลับผู้นั้น มันจึงผละจากไปในบัดดล มันทะยาน ร่างดั่งเหาะเหิน พุ่งปราด ๆ ดั่งพยัคฆ์ราวมังกร ทิศทางที่ มันกำลังมุ่งไป คล้ายริมทะเลสาบ ต้งถิง

แต่ก่อนที่ร่างมันจะลับหาย มันอดมิได้ ที่จะเหลียวกลับมามองหุบเขาสายรุ้งเบื้องหลัง คล้ายดั่งมันยังอาลัย อาวรณ์ต่อสิ่งใด ไม่อยากจากไปกระนั้น หรือทว่าในจิตใจ บุรุษสำอางลึกลับผู้นั้น มันยังระลึกนึกถึงผู้หนึ่งผู้ใดใน สามคน จากนั้นมันหันกลับไป แล้วพลิ้วกายหายไปดุจ คว้นเบาบางกลุ่มหนึ่ง มุ่งหน้าสู่ริมทะเลสาบต้งถึงจริง ๆ

กล่าวถึง สองนางชีนิรนาม หลังจากแยกย้าย ติดตาม หาเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเปี๊ยะเทียน นางทั้งสองใช้เวลา เสาะหาเป็นเวลาหลายวัน ยังไร้วี่แววเบาะแส ดังนั้นนางชี นิรนามทั้งสอง จึงเดินทางไปยังริมทะเลสาบ ตังถึงเช่น กัน ซึ่งนั้นเป็นพวกนางต่างนัดหมายกันไว้

ริมทะเลสาบต้งถิง นางชีผู้ซึ่งถูกเรียกหาว่าซือไท่ นาง เดินทางมาถึงก่อนราวครึ่งชั่วยาม ส่วนแม่ชีอีกนางหนึ่ง จึงเร่งรุดมาถึงหลังจากนั้นไม่นานนัก แม่ชีสองนางเมื่อพบ หน้ากัน ส่งเสียงกล่าววาจาตรงกันว่า พบร่องรอยอัน ใด ของบุคคลที่ทั้งสองติดตามมาจากนอกด่าน นางชีซึ่ง ถูกเรียกหาว่าซือไท่ กล่าววาจาต่อแม่ชีอีกนางหนึ่งว่า

“มันผู้นั้นหายตัวไปไร้ร่องรอย ช่างน่าเจ็บใจยิ่ง ค่ำคืนที่ ข้าพเจ้าบังเอิญผ่านไป บังเอิญได้ยินมันสนทนา กับหนุ่ม สาวคู่หนึ่ง บริเวณเนินเสือดาว น่าเสียดายยิ่ง ค่ำคืนนั้น ข้าพเจ้าไปล่าช้าก้าวหนึ่ง จึงได้ยินการสนทนาเพียงมิกี่ ประโยค แต่กระนั้นยังพอจับใจความสำคัญได้บางส่วน มิ หนำซ้ำค่ำคืนนั้น พลันเป็นคืนแรมข้าพเจ้าจึงมองไม่เห็นใบหน้ามัน มันเองคล้ายระมัดระวัง ตัวอยู่ก่อน จึงสวมหมวกคลุมหน้าตลอดเวลา ที่แท้มันผู้ นั้นเป็นผู้ใดกัน? พฤติกรรมของมัน ไม่น่าไว้วางใจ ชวนให้ สงสัยยิ่ง”

ถูกต้องของนาง ในค่ำคืนนั้นขณะที่นางเดินทางมาถึง เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเปี๊ยะเทียน พร้อมทั้งสองเฮียมวยแซ่ เฝิ่น คนทั้งสามกำลังจะแยกย้ายไปจากบริเวณนั้นแล้ว ดังนั้นทั้งสามจึงอำพรางร่างกายและใบหน้ามิดชิด ความ มืดมิดของเดือนแรม ยังช่วยบดบังอำพรางให้อีกทอดหนึ่ง

เมื่อคนทั้งสามผงะแยกย้ายจากไปแล้ว นางกลับพบว่า นอกจากนางแล้ว ในบริเวณนั้น ยังมีชุดดำคลุมหน้าอีก ผู้หนึ่ง ซึ่งแอบฟังการสนทนา ของบุคคลทั้งสามอยู่ก่อน แล้ว ดังนั้นนางจึงมิกล้าเขยื้อนเคลื่อนกาย เข้าไปใกล้ ๆ ได้มากกว่านั้น

อีกประการนั้นคือ นางเกรงว่าคนทั้งสามจะพลันรู้ตัว ดัง นั้นบางช่วงบางตอน ซึ่งทั้งสามสนทนากัน นางจึงจับใจ ความสำคัญได้ไม่กระจ่างนัก สำหรับเรื่องราวที่นางแอบ ได้ยิน ซึ่งนางให้ความสนใจเป็นพิเศษ นั้นเป็นเรื่องยา เก้าพิษกร่อนวิญญาณ ซึ่งเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเกี๊ยะเทียน มอบให้แก่ไป่ชิงเป็นของกำนัลนั้นเอง

ในขณะนั้น นางชีผู้นี้พอรู้ตัว ว่ายังมีชุดดำลึกลับอีกผู้ หนึ่ง ผู้ซึ่งซุ่มฟังเรื่องราวสนทนาเช่นเดียวกับนาง มันผู้นั้นย่อมทราบเช่นกัน ทราบเรื่องยาเก่าพิษกร่อนวิญญาณ แน่นอนที่สุด เมื่อนางยังสนใจปานนี้ มีกิเลสเกิดขึ้นใน จิตใจ นางต้องการได้มันมาครอบครอง เช่นนี้คนชุดดำ นั้นเล่า ใยมันจะไม่สนใจได้มาครอบครอง

ถึงแม้นว่า นางจะยังมิทราบ คนชุดดำลึกลับคลุมหน้า ผู้นั้น เป็นผู้ใดกันแน่ และมันเป็นคนจากสารทิศใด นอก เหนือจากนี้ รังสีอำมหิต ที่แผ่ซ่านปานอสูรร้าย คล้าย กระจายออกมาจากตัวมัน ดังนั้นนางจึงคิดว่าคนชุดดำ ลึกลับผู้นั้น มันคงมีวรยุทธ์อันร้ายกาจน่ากลัวยิ่ง

หลังจากนั้น นางได้ติดตามเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเปี๊ยะ เทียน ไป ห่าง ๆ พร้อมกับส่งข่าวถึงคนไว้ใจ ให้ติดตาม เฮียมวยแซ่เฟินไป ส่วนตัวนางนั้น ได้เรียกตัวแม่ชีอีกนาง หนึ่งมา เรียกมาเสริมกำลังช่วยติดตาม เจ้าโอสถสายรุ้ง เส้าเปี๊ยะเทียน ลงใต้แดนกังหนำ

นางเร่งติดตาม เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี้ยะเทียน ตั้งแต่ เนินเสือดาว แต่ทว่า เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเปี๊ยะเทียน ท่าน มีวิชาตัวเบาอันแสนยอดเยี่ยมสูงส่ง นางชีนิรนามจึงสิ้น เปลืองเรี่ยวแรงไปไม่น้อย หลังจากนั้น เจ้าโอสถสายรุ้ง เส้าเปี๊ยะเทียน ท่านเดินทางออกสู่นอกด่านหันหูกวน แล้ว มุ่งหน้าไปอีกเป็นระยะทางเกือบร้อยลี้ ก่อนที่แม่ชีอีกนาง จะเดินทางมาสมทบ

นางชีนิรนามทั้งสอง ติดตามเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเปี๊ยะ เทียนไปห่าง ๆ จนกระทั่งเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยียะเทียนหายตัวเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งปลูกสร้างอยู่กลางสวน มีต้นไม้ร่มรื่น เส้นทางเข้าไปยังตัวบ้านจะต้องเดินข้าม สะพานตอไม้เล็ก ๆ ซึ่งปักไว้ในบึงน้ำ ทำเป็นสะพานทอด ข้ามไปยังบ้านหลังนั้น นอกจากสะพานที่จัดสร้างจากตอ ไม้แล้ว ในบึงน้ำมิมีสิ่งใด ให้นางทั้งสองใช้หลบซ่อนตัว ได้ ดังนั้นพวกนางจึงมีกล้าบุ่มบ่าม ติดตามเข้าไปในระยะ กระชั้นชิด ด้วยเกรงว่าคนที่อยู่ภายในบ้านจะพานรู้ตัว

นางชีนิรนามทั้งสอง หลบซ่อนเร้นกายในบริเวณนั้น รอ คอยโดยใช้ความอดทนยิ่ง ผ่านไปหนึ่งวันยังไร้วี่แวว สอง วันยังมีปรากฏ เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเปี๊ยะเทียน ไฉนท่าน ยังไม่ออกมา นางชีนิรนามทั้งสองร้องว่าผิดท่า พากันบุก เข้าไปในบ้านหลังนั้น

นางชีนิรนามทั้งสอง หลังจากกระแทกสองฝ่ามือออกไป ทำลายบานประตูล้มครืนลง เมื่อเบียดร่างผ่านบานประตู เข้าไปภายในบ้าน กลับมิพบผู้ใด อาศัยอยู่ภายในบ้าน หลังนั้น กระทั่งมุสิกสักตัวยังมิมีเพ่นพ่านในบ้านหลังนั้น

นางชีนิรนามทั้งสอง จึงทราบว่าผิดท่าหลงกล เจ้าโอสถ สายรุ้งเส้าเกี๊ยะเทียนเข้าให้แล้ว ที่แท้เจ้าโอสถสายรุ้งเส้า เปี๊ยะเทียน ท่านรู้ตัวว่าถูกคนสะกดรอยติดตามมา ตั้งแต่ เนินเสือดาวแล้ว แต่แสร้งทำทีเป็นไม่รู้ตัว อีกทั้งยังซ้อน แผนล่อหลอกนางทั้งสอง หลอกพวกนางไปยังบ้านหลัง นั้น ก่อนที่จะหลบหนีออกมาทางด้านหลัง แล้วเร่งเดินทางกลับหุบเขาสายรุ้งทันที

เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเปี๊ยะเทียน กลับผิดความคาดหมาย นัก ไฉนตลอดเส้นทาง นางทั้งสองจึงติดตามท่านมา สลัด มิหลุด เขี่ยมพ้นทาง ประการนี้ เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเปี๊ยะ เทียน รู้สึกปวดเศียรมืดมิดทุกทิศทาง

แม่ชีทั้งสองทราบได้เช่นไร ว่าตนเองใช้เส้นทางนี้เดิน ทาง คล้ายกับนางมีดวงตางอกเงยขึ้นมา มิว่าท่านจะใช้ เส้นทางสายใด ล้วนถูกพวกนางติดตามเจอ ดั่งเงาตาม ตัวอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นท่านจึงมิอาจสลัดหลุดพ้น อาจ เป็นไปได้อยู่หลายส่วน มีคนส่งข่าวบอกนางทั้งสอง ดัง นั้นเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเกี๊ยะเทียน จึงใช้เส้นทางลับเป็น หนทางสุดท้ายสลัดหลุดจากนางทั้งสอง เข้าสู่หุบเขา ผีเสื้อสําเร็จ

ริมทะเลสาบต้งถิง

“มิทราบว่าท่าน คิดจะกระทำเช่นไรต่อไป? ในเมื่อคนที่ พวกเราติดตามตัวได้อันตรธานหายไป กระทั่งบัดนี้ยังหา ร่องรอยใดไม่เจอ สถานที่แถบนี้ ล้วนเป็นดินแดนกังหนำ พวกเรายิ่งมิคุ้นเคยเท่าใดนัก อีกทั้งท่านเอง ยังเก็บตัวมา ช้านาน มิได้ออกมาจากที่พำนักเป็นเวลามากกว่าสิบปี ดัง นั้นวันเวลาเปลี่ยนไป สถานที่เองย่อมต้องเปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกัน ฉะนั้นมิว่าสิ่งใด? ย่อมมิเหมือนเดิม”
นางชีนิรนามผู้ซึ่งเดินทางมาถึงก่อนส่งเสียงกล่าวถาม นางขึซึ่งในมือถือแส้ปัดขนอ่อน แสดงท่าทีใช้ความคิดแต่ ยังมิตอบคำถาม แม่ชีนางนั้นจึงกล่าววาจาสืบต่อว่า

“หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เปลี่ยนไป มากจริง ๆ กระทั่งผู้คนยังมิอาจทนต่อสังขาร มิให้ไม่ หย่อนยานได้ จิตใจเล่า? จะยังคงหนักแน่นดุจหินผา หรือ ว่าเปลี่ยนแปลงไปแล้วเช่นเดียวกัน?”

นางช็อีกนางยังคงยืนนิ่งรับฟังมิส่งเสียง เพียงสะบัดแส ปัดขนอ่อนไปมาช้า ๆ นางชีคนเดิมกล่าววาจาสืบต่อ

“แผนการใหญ่ของท่านนั้น คือยึดครองยุทธภพ ถึงแม้ เพียงแค่เริ่มต้นแผนการ แต่มีความเป็นไปได้ ใช่ในเร็ว วันจะพลันสําเร็จ ทุกฝ่ายต่างแยกย้ายกันทำงาน ตาม แผนการท่านวางไว้ ผลงานล่าสุดนั้น สมควรเป็นวลีสี่ ประโยค ซึ่งท่านให้คนของเรา ปล่อยข่าวออกสู่ยุทธจักร คาดคิดมิถึงจริง ๆ ว่าจะได้ผลเกินความคาดหมาย เมื่อ สำนักต่าง ๆได้ข่าววลีสี่ประโยคนี้ ล้วนมีการเคลื่อนไหว แล้ว ยุทธภพที่หลับใหลไปเนิ่นนาน พลันเริ่มจะฟื้นตื่นขึ้น อีกครั้ง แต่ทว่า ฝ่ามือลึกลับที่สังหารคนตายไปหลายคน นั้น ล้วนมิใช่ฝีมือของท่าน ฉะนั้นมันเป็นฝีมือผู้ใด? ท่าน พอทราบแล้วหรือไม่?”

นาง อีกนางสะบัดแส้ปัดขนอ่อนขวับ ขนแส้สีขาวดุจ ไหมเงิน สะบัดพาดกับท่อนแขนข้างซ้ายของนาง จากนั้น นางชีนางนั้นกล่าววาจาบ้างว่า
“ข้าพเจ้าเอง กระทั่งบัดนี้ ยังขบคิดมิออกเช่นกันว่า ฝ่ามือลึกลับนั้น ที่แท้เป็นฝีมือผู้ใด? ฝ่ามือเดียว สามารถ ทำลายอวัยวะภายในแหลกเหลว นับว่าเป็นวิชาฝ่ามือ อันร้ายกาจสุดหยั่งคาด นับได้ว่าเป็นวิชาฝ่ามือที่น่ากลัว ที่สุดในเวลานี้ ข้าพเจ้าเองยังคิดมิออกเช่นกันว่า เป็นผู้ใด กัน? ที่ยังฝึกวิชาฝ่ามือร้ายกาจนี้สำเร็จ ในอดีตวิชาฝ่ามือ นี้ แม้แต่ผู้ที่คิดค้นวิชาฝ่ามือเอง ท่านยังมิต้องการฝึกฝน รวมทั้งยังมิยอมถ่ายทอด ให้กับศิษย์คนใด? ในสำนักอีก ด้วย”

นางชีผู้ซึ่งถูกเรียกหาว่าซือไท่ นางตอบพลางท่าทาง ครุ่นคิด แสดงว่านางชีผู้นี้ นางต้องรู้จักวิชาฝ่ามือชั่วร้าย นี้อย่างแน่นอน หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก นางชีผู้นั้นจึง กล่าววาจาต่อว่า

“ปรมาจารย์ท่านนั้น ถึงแม้ว่าท่าน จะมิฝึกปรือ รวมทั้งยัง มิยอมถ่ายทอดให้แก่ศิษย์ ครั้นท่านจะทำลายทิ้งไป กลับ รู้สึกเสียดายความรู้ ที่คิดค้นวิชาฝ่ามือนี้ขึ้นมาเป็นเวลา หลายปี”

นางชีนางนั้นสะบัดแส้ปัดขนอ่อนอีกครั้ง จากนั้นพาด ปลายแส้สีเงินยวงไว้บนแขนซ้ายเช่นเดิม แล้วส่งเสียง กล่าวว่า

“ดังนั้น ท่านจึงได้เขียนเคล็ดวิชาฝ่ามือนี้ ฝากไว้บน ผืนจีวรที่ใช้คลุมกาย เป็นจีวรของหลวงจีนเส้าหลินท่าน หนึ่ง? ซึ่งหลวงจีนท่านนี้ เป็นสหายรักของท่าน ด้วยท่านเชื่อว่า หลวงจีนท่านนั้น ท่านเปี่ยมล้นไปด้วยเมตตาธรรม หากสักวันในภายภาคหน้า ท่านได้พบเจอผู้มีบุญวาสนาที่ มีจิตใจเปี่ยมล้นด้วยคุณธรรมสัตย์ซื่อ ถือว่าบุคคลผู้นั้น? มีวาสนาได้ร่ำเรียนวิชาฝ่ามือนี้

นางซีผู้นั้น ยังเล่าต่ออีกว่า ต่อมาหลวงจีนเส้าหลินท่าน นั้น ได้คัดลอกอักษรบนจีวร ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาฝ่ามือนี้ สอดแทรกไว้ในหนังสือธัมมะเล่มหนึ่ง ซึ่งท่านได้สอด แทรกตัวอักษร เคล็ดวิชาฝ่ามือนั้น ไว้กับตัวอักษร ใน หนังสือธัมมะเล่มนั้น อย่างแนบเนียน หากทว่า ผู้ที่อ่าน หนังสือธัมมะเล่มนั้น เป็นผู้ที่ไม่ศึกษาพระธรรมคำสอน จนแตกฉาน อีกทั้งไม่มีความรอบรู้ลึกซึ้งตีความ จะมิอาจ พบเห็นความนัยของตัวอักษรที่ซ่อนอยู่ ซึ่งเป็นเคล็ดวิชา ฝ่ามือนี้ได้เป็นเด็ดขาด

ต่อมาฮุยเหวินตี้ฮ่องเต้ พระราชาในเวลานั้น เสด็จมายัง วัดเส้าหลิน และได้เที่ยวชมหอพระคัมภีร์ของวัดเส้าหลิน สุยเหวินตี้ฮ่องเต้ ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นยิ่ง นัก พอพระองค์ทอดพระเนตรเห็นหนังสือธัมมะหลายเล่ม จึงสนพระทัยใฝ่ศึกษา พระองค์กลับสนพระทัยใคร่ศึกษา หลักธรรม ในหนังสือธัมมะเล่มดังกล่าวเข้าพอดี

ดังนั้น พระองค์จึงตรัสกับเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินในขณะ นั้นว่าพระองค์สนพระทัยหนังสือเล่มนั้น อยากจะขอนำ กลับไปศึกษายังพระราชวังของพระองค์ เจ้าอาวาสวัด เส้าหลิน ท่านจึงถวายหนังสือธัมมะเล่มนั้น ให้กับสุยเหวินตี้ฮ่องเต้ไป ตั้งแต่บัดนั้นมาหนังสือเล่มนั้น จึงถูกเก็บอยู่ในพระราชวัง จนกระทั่งสุยเหวินตี้ฮ่องเต้ สวรรคตลงอย่างกระทันหัน

สยหยางตี้ฮ่องเต้ พระราชาองค์ต่อมา ซึ่งเป็นโอรสองค์ ที่สอง เป็นพระราชาที่ไม่สนใจในพระพุทธศาสนา ได้ แต่เสพสุขหาความสำราญ กับสาวงามและท่องเที่ยว จึง ไม่สนใจหนังสือธัมะเหล่านั้น ในที่สุดหนังสือเล่มนั้นก็ หายสาบสูญไป ส่วนเคล็ดวิชาที่บันทึกไว้ บนผืนจีวรของ หลวงจีนท่านนั้น ต่อมาท่านเองหลังจากสละตำแหน่งเจ้า อาวาสแล้ว ได้เดินทางไปยังหน้าผาแห่งหนึ่ง พร้อมกับนั่ง กรรมฐานอยู่ริมหน้าผาแห่งนั้น เป็นเวลาหลายเดือน

บรรดาศิษย์ของท่าน ต่างเดินทางไปเชิญท่านกลับเส้า หลิน แต่ท่านปฏิเสธ กล่าวแต่เพียงว่าท่านระลึกนึกถึง สหายรักของท่านผู้หนึ่ง ด้วยสหายของท่านดับชีวิตลง ใต้ผาแห่งนี้ ซึ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นท่านมีส่วนเกี่ยวข้องร่วม ด้วย หลังจากกล่าวกับศิษย์จบแล้ว หลวงจีนท่านนั้นทิ้ง ร่างลงสู่ก้นหุบเหวแห่งนั้น เคล็ดวิชาฝ่ามือนี้ จึงสูญหาย ไปตั้งแต่บัดนั้น จนกระทั่งบัดนี้ มีคนเสียชีวิตภายใต้วิชา ฝ่ามือนี้ได้เช่นไร

พอเล่าถึงตอนนี้ นางชีซือไททอดถอนใจคราหนึ่ง ก่อน จะกล่าววาจากับแม่ชีอีกนางว่า

“ส่วนคนชุดดำที่ข้าพเจ้าพบเห็น ที่เนินเสือดาวเมื่อเดือนก่อน มันเป็นใครกัน ดูลักษณะแล้วเป็นผู้ทักษะยุทธ์ ท่านให้คนของเราสืบสาวหาเบาะแสของคนผู้นี้ ข้าพเจ้า เกรงว่ามันจะเป็นอุปสรรคในการยึดครองยุทธภพของ ข้าพเจ้า ในภายหน้าได้

แม่ชีอีกนางพยักหน้ารับทราบคำสั่ง เอ่ยกล่าวว่าจะรีบ ไปดำเนินการตามคำสั่งโดยเร็ว นางชีซือไทจึงกล่าววาจา ต่อว่า

“นับว่าโชคดีที่ค่าคืนนั้น มันเข้าใจว่าข้าพเจ้าคือคนของ อารามอเทวตา ข้าพเจ้าเพียงแต่ใช้วิชาดรรชนีท่าหนึ่ง ซึ่ง คล้ายคลึงกับดรรชนีเทวะของอารามอเทวตา ดูท่าแล้ว มันเชื่อสนิทว่าข้าพเจ้าเป็นคนของอารามอเทวตาจริง ๆ ข้าพเจ้าเองมิได้ปรากฏตัวให้มันเห็น ปล่อยให้คนชุดดำ เข้าใจผิดคิดเช่นนั้น มันจะได้มุ่งไปคิดบัญชีกับอารามอ เทวตา ส่วนข้าพเจ้า คอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ฮา ๆ”

นางชีซือไท่ส่งเสียงหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ จนแม่ชี อีกนางอดมิได้ที่จะหัวร่อตามด้วยบุคลิกภาพ อันเจ้าเล่ห์ มีแผนการชั่วช้าต่ำทราม นางชีซือไท่หลังจากสิ้นเสียง หัวเราะแล้ว กล่าวต่อกับแม่ชีนางนั้นว่า

“มิหนำซ้ำ ข้าพเจ้า กับท่าน เราทั้งสองต่างปลอมตัวเป็น นางชี ก่อกวนให้ชาวยุทธ์เข้าใจผิด คิดว่าเป็นคนของอา รามอเทวตา ชาวยุทธ์ทั้งหลาย ต่างต้องเหยียบย่างเข้าอา รามอเทวตา เพื่อไปคิดบัญชี เมื่อถึงตอนนั้นยุทธภพเกิดความวุ่ยวาย แผนการของข้าพเจ้ายิ่ง ง่ายดายดุจลัด โบนฝ่ามือ หมากตานี้ ข้าพเจ้ายังต้องการ กระตุ้นโทสะเจ้าอาราม นางซีเทวราชอิ๊วโล่ว ให้มันเผยตัว ออกมา”

ที่แท้นางชีสองนางเป็นตัวปลอม ความจริงแล้วคนของ อารามอเทวตา เก็บตัวอยู่ในอารามมิเคยออกมาสู่ยุทธ ภพ ตามคำสัตย์ที่ได้ให้ไว้ต่อหน้าบรรดาชาวยุทธ์ ของ นางเทวราช วโล่ว แต่นางมีข้อแม้ว่า หากเมื่อใดชาว ยุทธ์ บุกรุกเข้าบริเวณอารามอเทวตาของนาง เมื่อนั้นค่า สัตย์ที่เคยให้ไว้ เป็นอันสิ้นสุด

ครั้งนี้สตรีสองนางใช้ชื่อของอารามอเทวตา อีกทั้งปลอม ตัวเป็นนางชีเทวราชจิ๋วโส่ว และคนของอารามอเทวตา ออกมาก่อกวน คิดว่าครั้งนี้ นางชีเทวราชอิ๊วโล่ว ต้องออก มาคิดบัญชีเอาคืนอย่างแน่นอน

ขณะที่แม่ชีปลอมสองนาง กำลังสนทนากันอยู่อย่าง ออกรส คนผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้น พร้อมกับแยกย้ายหนึ่ง ฝ่ามือ หนึ่งเท้าจู่โจมเข้าหานางชีสองนางอย่างดุดัน เสียง หวีดหวือของพลังฝ่ามือ และเท้าปะทะกันอย่างเกรี้ยว กราดหวาดเสียว นางชีสองนางยกฝ่ามือขึ้นต้านทาน กระบวนท่า พลิกร่างพลิ้วถอยไปหนึ่งก้าว

ผู้มาวาดเท้าเป็นครึ่งวงกลม เข้าหานางชีที่ถูกเรียกหา เป็นซือไท่ แม่ชีปลอมนางนั้นถลันหลบวูบไปด้านข้าง คน ที่ลงมือเห็นเช่นนั้นกระแทกฝ่ามือกลับหลังเข้าหาแม่ซีอีกนางโดยไม่เหลียวหน้ากลับมาดู พลังฝ่ามือเกรี้ยว กราดดุดัน แม่ชีนางนั้นลอยตัวตีลังกาหลบหลีกพลัง ฝ่ามือ ส่วนแม่ชีอีกนางวาดเท้าออกทางด้านซ้าย แล้ว ลังกาเฉียง ๆ ทั้งร่างสู่พื้น เมื่อนางชีสองนางทิ้งร่างสู่พื้น ร้องพร้อมเพรียงกันว่า

“เหยาเยี่ยนผิง!”

“เสียวเอี้ย!” (นายน้อย)

ที่แท้ผู้ที่มา คือบุรุษหนุ่มสำอางที่ผละจากหุบเขาสายรุ้ง นั้นเอง เมื่อถูกเรียกชื่อ รีบประสานมือคารวะนางชีทั้งสอง พร้อมกับส่งเสียงว่า

“ท่านแม่”

“อี้บ้อ”(ท่านน้า)

บุรุษหนุ่มสำอางผู้นั้น เรียกนางชีซือไท่ว่าท่านแม่ และ เรียกแม่ชีอีกนางว่าท่านน้า พลางกวาดสายตาสำรวจ นางชีทั้งสอง พร้อมกับเดินวนรอบกาย ของนางชีทั้งสอง แล้วตบมืออย่างชื่นชม กล่าวว่า

“ข้าพเจ้า นับถือท่านทั้งสองยิ่งนัก ดูมิออกจริง ๆ ว่าท่าน แม่ กับท่านน้าปลอมเป็นนางชีกินเจถือศีล ได้แนบเนียน ถึงเพียงนี้ วิชาปลอมแปลงโฉมของท่านแม่ กับท่านน้าช่างสูงส่งยอดเยี่ยม แม้แต่ข้าพเจ้า เยี่ยนผิง แทบ จะจดจำพวกท่านแทบมิได้”

นางชีผู้ซึ่งถูกเรียกหาว่าท่านแม่ กล่าวตอบบุรุษสําอางว่า

“เจ้าเองกลับปลอมเป็นบุรุษได้ไม่เลวเลย ช่างแนบเนียน ไร้ที่ติเฉกเช่นเดียวกัน”

แม่ชีอีกนางกล่าวเสริมว่า

“นั้นเป็นความสามารถอันยอดเยี่ยม ของนายน้อยแห่ง สำนักมารสวรรค์ เปรียบไปคล้ายลูกไม้ใกล้ต้น ร่วงหล่น ไปไม่ไกลเลย มิว่าจะเป็นฝีมือด้านการปลอมแปลงโฉม วรยุทธ์ยิ่งเด่นล้ำก้าวหน้า ที่กล่าวมาล้วนได้ท่านผู้เป็น มารดาแล้ว”

แม่ชีนางนั้น กล่าวคำยกยอปอปั้นแม่ชีอีกนางหนึ่ง แม่ชี นางนั้นกลับพึงพอใจยิ่ง ส่งเสียงกล่าวว่า

“มิเพียงข้าพเจ้าที่อบรมสั่งสอน ท่านเองกลับ เหน็ดเหนื่อยไปไม่น้อย เปรียบไปข้าพเจ้ากับท่านนั้น เป็น ไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งใบให้กับนาง ดังนั้นเราสองเป็นเช่นไร ไฉนนางจะกลับกลายคล้ายผู้อื่นได้เล่า?”

แม่ชีนางนั้นพยักหน้าเห็นด้วย รีบกล่าว
“ถูกต้องของท่าน นายน้อยเยี่ยนผิงเก่งกล้าสามารถ เก่งกาจทั้งบุ๋นและทู้ อีกทั้งเฉลียวฉลาดทั้งสติปัญญา ใบหน้าผิวพรรณกลับยิ่งงดงามปานสวรรค์แต่งเสริมเติม ต่อ อีกทั้งยังได้ความงดงามจากมารดามาเก้าส่วน”

แม่ชีอีกนางกล่าวว่า

“อีกส่วนล้วนละม้ายคล้ายกับท่าน

แล้วทั้งสองต่างหัวเราะพออกพอใจยิ่ง บุรุษสำอางที่แท้ นางเป็นสตรีที่แต่งกายเช่นบุรุษ นางส่งเสียงเอ่ยกล่าวขึ้น ว่า

“พวกท่านทั้งสองอย่ามัวแต่ยกยอปอปั้นกันเองนักเลย ข้าพเจ้าเหยาเยี่ยนผิง เป็นนายน้อยสำนักมารสวรรค์ ข้าพเจ้าชื่นชอบเช่นนี้ หากเป็นอิสตรีมีอันใดชวนให้ พิสมัย มิน่าเล่นเช่นบุรุษเยี่ยงนี้ พวกท่านทั้งสองได้ความ คืบหน้าเป็นเช่นไรบ้าง?”

แมชีสองนางต่างส่ายหน้า แล้วนางชีผู้ซึ่งถูกเรียกหาว่า มารดากล่าวว่า

“เราสองคนเกือบจะติดตามมันทันอยู่แล้ว แต่มันคล้าย กับมีวิชาแปลงกายหายตัวได้ สุดท้ายมันหายตัวไปไร้ร่อง รอย มองเห็นความสำเร็จอยู่ไม่ไกล สุดท้ายคว้าน้ำเหลว ตอนปลายเข้าใจได้ น่าเจ็บใจยิ่งนัก อุตส่าห์ปลอมแปลงเป็นนางชีถือศีลกินเจ เจ้าเล่าเป็นเช่นไร? ได้กระไร คืบหน้ามาบ้างหรือไม่?”

บุรุษสำอางผู้นั้นส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“ข้าพเจ้าก็เป็นเช่นพวกท่าน คว้าน้ำเหลวในช่วงสุดท้าย เช่นกัน มันสองคนกับบุรุษท่าทางทึ่ม ๆ เช่นขอทานผู้หนึ่ง หายตัวไปไร้ร่องรอยคล้ายหายตัวได้เฉกเช่นเดียวกัน”

ทั้งสามสนทนาเรื่องราวกันอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะจากพลิ้ว ร่างจากไป มุ่งหน้าสู่มณฑลเหอหนัน

วันเวลาค่อย ๆ คืบคลานผ่านไปช้า ๆ จากหนึ่งวัน ผัน ผ่านเป็นหนึ่งเดือน จากหนึ่งเดือนเคลื่อนคล้อยไปเป็นปี ยุทธภพยังคงเกิดเรื่องราวมากมายให้สะสาง มิว่ากลางวัน หรือกลางคืน ล้วนดาษดื่นไปด้วยเรื่องราวดีร้ายคละเคล้า ปนเป แต่ทว่าภายในหุบเขาสายรุ้ง กลับเงียบสงบราวมิมี ผู้ใดอาศัยอยู่ภายในหุบเขาฉะนั้น นับไปล่วงเลยมาเป็น เวลาห้าปีแล้ว ซึ่งจ่านจืออาศัยอยู่ที่นี้ ห้าปีที่ผ่านไปเขา ตั้งใจฝึกวิชาท่าร่างไม่ว่างเว้น เช้าสายบ่ายเย็นเห็นเขา ออกกระบวนท่าตลอดเวลาก็ว่าได้

ในยามนี้ จ่านจือไม่เหมือนคนก่อนอีกแล้ว บัดนี้ บุคลิกภาพสง่างามเป็นคนฝึกยุทธ์ ตัวเขาเองยังมีความ รู้สึกว่า เวลาก้าวเดินยกมือวางเท้ารู้สึกสบาย ปลอดโปร่งอย่างบอกมิถูก ไม่มีอาการเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า แม้แต่น้อย

นอกเหนือจากนั้น สายตายังมีปฏิกิริยารวดเร็วยิ่ง สายตาของเขาปราดเปรียว อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน แม้เพียงแมลงตัวน้อยนิด บินผ่านไปด้วยระดับความเร็ว ทว่าจ่านจือกลับมองเห็นว่า แมลงเหล่านั้นช่างบินเชื่องช้า อืดอาดเสียยิ่งนัก แทบจะเห็นทุกอิริยาบถของการขยับ ปีก หรือเคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ของแมลงเหล่านั้นได้โดย ละเอียดมิตกหล่น ก่อนหน้านั้น จ่านจือมิอาจกระทําได้ เลยแม้แต่เศษเสี้ยวหนึ่งเช่นบัดนี้

นอกจากสายตาปราดเปรียวเหนือธรรมดาแล้ว โสต ประสาทสัมผัสของเขา ยังมีความก้าวหน้าเหนือคน ธรรมดาทั่วไป แม้เพียงเข็มเล่มเล็ก ๆ ร่วงหล่นตกพื้น ยัง มิอาจหลุดพ้นโสตของจ่านจือไปได้ แม้กระทั่งยามนอน หลับใหล หากมีสิ่งผิดปกติเคลื่อนไหว ยังมิอาจหลุดรอด โสตใมผัสการรับรู้ของเขาไปได้ จ่านจือยินดียิ่งนัก

ท่านเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเปี๊ยะเทียน บอกว่านี่เป็นความ ก้าวหน้าของผู้ฝึกยุทธ์ หากปรับพื้นฐานจนแข็งแกร่ง แล้ว ท่านจะสอนเคล็ดวิชากำลังภายในให้ตามลำดับ แต่ สำหรับกับจ่านจือแล้ว เขากลับคิดว่า เพียงเท่านี้ล้วนพึง พอใจแล้วสําหรับเขา

จ่านจือพึงพอใจกับชีวิตในหุบเขาสายรุ้งเป็นที่สุด ไม่ ต้องออกไปพบหน้าผู้คน วัน ๆ หากไม่ออกไปหาตัวยาสมุนไพร ไม่ก็ช่วยท่านเจ้าโอสถสายรุ้งปรุงยา ว่าง ๆ ยัง ฝึกปรือฝีมือเพิ่มความแคล่วคล่อง หวนระลึกนึกถึงป่า หนิวแม่บุญธรรมขึ้นมามิได้ หากท่านยังอยู่ ป่านนี้ท่านคง ทำกับข้าวอร่อย ๆ พร้อมกับน้ำแกงร้อน ๆ ให้จ่านจือรับ ประทาน

ผาแห่งสายลม

อีกสถานที่หนึ่งของบู๊ลิ้มอันเร้นลับ เมฆคล้อยลอย เคลื่อนละลิ่วเป็นกลุ่มก้อน บ้างเป็นสีขาวนวลใยสบาย ตา บ้างสีหม่นคล้ำกระทั่งเกือบจะกลายเป็นสีดำ กลุ่ม เมฆน้อยใหญ่ ในบางครั้งลอยต่ำ บางคราลอยละลิ่วขึ้นสู่ เบื้องสูง บางคราวถูกสายลมพัดลอยเข้าปะทะยังหน้าผา ดังครืนครั่น ผาแห่งนี้ตั้งอยู่บนที่สูงปกคลุมด้วยหมอกหนา ทึบแทบไม่เห็นยอดเขา จะมีผู้ใดเล่าคาดคิดว่า ยอดผาสูง เทียมฟ้าแห่งนี้ ยังจะมีผู้คนอาศัยอยู่ได้ฉะนั้น

ผาเทียมฟ้าสูงชันดั้นเมฆแห่งนี้ ถูกเรียกหาว่า “ผาแห่ง สายลม” ยี่สิบปีที่ผ่านมานี้ ยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ถึงความ ดำรงคงอยู่ของผาเร้นลับแห่งนี้ บนหน้าผาสูงชันมีที่ราบ ปลูกบ้านเรือนอยู่จำนวนยี่สิบกว่าหลัง มีผู้คนอาศัยอยู่ ด้วยกันประมาณสี่สิบกว่าคน ผู้คนที่อาศัยอยู่บนผาแห่งนี้ ยังมิมีผู้ใดได้ลงจากผาแม้แต่คราเดียว ยกเว้นแต่จะได้รับ อนุญาตจากท่านเจ้าผาเสียก่อน จะมีเพียงสองคนที่ได้รับ มอบหมายให้ลงจากเขา นั้นคือเปิ่นมู่เหอ กับเฟินไปชิงนั้น เอง
วันนี้ท่านเจ้าผาเรียกหาทั้งสอง เข้าพบแต่เช้าตรู่ หลัง จากสองเฮียมวย มู่เหอ และไปชิง รับประทานอาหารเช้า เสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจึงรีบตรงไปพบท่านเจ้า ผาโดยไม่ชักช้าอิดออด

“พี่ชาย ท่านเจ้าผาเรียกหาเราเฮียม่วยแต่เช้า ไม่แน่นัก ว่าจะมีธุระสำคัญอันใด? พี่ชายพอจะทราบอยู่บ้างหรือ ไม่?”

นางส่งเสียงกล่าวรบเร้า เอ่ยถามพี่ชายของนางตาม ประสา ตั้งแต่เล็ก ไป่ชิงชอบเล่นสนุกซุกซนไม่อยู่นิ่ง ที่ สำคัญนางเป็นคนช่างเจรจาหากต้องการทราบสิ่งใด หาก ยังมิได้คำตอบพี่พึงพอใจ นางจะรบเร้าซักถามเช่นนั้นอยู่ ร่ำไป

“พี่ชายคิดว่าท่านเจ้าผา เรียกหาเราสองเฮียม่วย คง ต้องการสอบถามเรื่องราว ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับยุทธภพ ภายนอก ที่เราทั้งสองเฮียม่วยได้พบเห็นมา เหลือระยะ เวลาอีกเพียงหกเดือน จะครบกำหนดวันชุมนุมชาวยุทธ์ที่ เส้าหลินแล้ว”

เปิ่นมู่เหอกล่าวตามความคิดเห็นออกไป เพราะท่านเจ้า ผาเก็บตัวฝึกวิชามาสิบห้าปีแล้ว โดยที่ท่านไม่เคยก้าว ย่าง ลงจากผาแห่งนี้เลยแม้แต่ก้าวเดียว ครั้งนี้พอใกล้วัน ชุมนุมชาวยุทธ์ ดูท่านกลับให้ความสนใจเป็นพิเศษ
“แล้วพี่ชายคิดว่าท่านเจ้าผา ท่านจะไปร่วมงานชุมนุม ชาวยุทธ์ที่เส้าหลินในครั้งนี้ด้วยหรือไม่? หากท่านเดิน ทางไปล้วนวิเศษยิ่ง หากทว่าพบหน้าแม่ชีนิรนามนาง นั้น ข้าพเจ้าจะให้ท่านเจ้าผาของพวกเรา สั่งสอนนางชี นิรนามนางนั้นเสียให้เข็ดหลาบ”

เฟื่นไป่ชิงกล่าวพลางทำน้ำเสียงขึ้นจมูก เฟินมู่เหอมิ ต้องการแสดงความคิดเห็นในเรื่องราวเหล่านี้ เพราะ เขาเองยังมิอาจคาดเดาความคิดของท่านเจ้าผาได้เช่น กัน แต่หากจะให้คาดเดาเอาตามความคิดของเขา เพื่ นมู่เหอมีความเห็นว่า ท่านเจ้าผาดูกระตือรือร้นอีกทั้งให้ ความสนใจ ในงานชุมนุมที่กำลังจะเกิดขึ้น ดังนั้นจึงตอบ คําถามไปชิงไปว่า

“พี่ชายคิดเห็นว่า เราสองเฮียม่วย รอท่านเจ้าผาให้คำ ตอบจากปากท่านเอง สมควรมผิดพลาดเป็นเด็ดขาด ชายเองยังมิกล้าคาดเดาเอาเอง เราทั้งสองเดินมานี่ใกล้ จะถึงที่พักของท่านเจ้าผาแล้ว หยุดกล่าววาจาไว้ แล้วรีบ เข้าพบท่านเจ้าผายังด้านในกันเถิด”

กล่าวพลางทั้งสองรีบก้าวเข้าไปด้านใน เมื่อก้าวเข้ามา มองเห็นด้านในนั่งอยู่ด้วยผู้คนสิบกว่าคน ผู้ที่นั่งอยู่บน เก้าอี้ตรงกลางรูปร่างไม่สูงไม่เตี้ยมากนัก ค่อนข้างท้วม นิดๆ สวมชุดประจำเผ่าที่ตัดเย็บขึ้นเป็นพิเศษ ตั้งแต่จำ ความได้ ทั้งสองก็แต่งชุดประจำเผ่ามากระทั่งบัดนี้ ท่าน เจ้าผาบอกว่าเพื่อป้องกันสายตาชาวยุทธ์ เลยแต่งชุดชาว เผ่าจะได้ไม่เป็นที่สังเกตเห็นว่าพวกเรา เป็นชาวยุทธจักร นเอง

ส่วนคนอื่น ๆ ยืนเป็นแถวตอนสองแถวด้านหน้า เว้นช่อง ว่างระหว่างทางเดินไว้เป็นช่อง เมื่อเห็นทั้งสองมาถึงต่าง ขยับหลีกทางให้ก้าวย่างเข้าไป ทั้งสองตรงเข้าไปเห็น ใบหน้าของท่านเจ้าผาในวันนี้ ท่านดูเปล่งปลั่งสดใสยิ่ง คล้ายกับว่ามีข่าวดีอันใดเกิดขึ้นกระนั้น ทั้งสองทำความ เคารพท่านเจ้าผา พลางก้าวถอยมาด้านข้าง

“ข้าพเจ้ามู่เหอ คารวะท่านเจ้าผา”

มู่เหอกล่าวขึ้นก่อน หลังจากนั้นไปชิงกล่าวขึ้นบ้างว่า

“ข้าพเจ้าไปชิง คารวะท่านเจ้าผาเช่นกัน”

หลังจากยืนโดยสำรวมเรียบร้อยแล้ว มู่เหอกล่าวกับท่าน เจ้าผาแห่งสายลมว่า

“ท่านเจ้าผาเรียกหาเราสองเฮียม่วย มีอันใดเรียกใช้ให้

ไปกระทำหรือไม่?”

ชายร่างท้วมอายุราวหกสิบเจ็ดสิบปี สวมชุดคล้ายชาว เผ่าศีรษะโพกผ้าสีหม่น ใบหน้าแม้ดูราบเรียบไร้เรื่องราว แต่กลับแฝงไปด้วยความสุขสดใส ท่านเป็นเจ้าผาแห่ง สายลมนี้ เมื่อได้ยินมู่เหอกล่าวถาม ขยับร่างพลางส่งเสียงกล่าวขึ้นว่า

“เหมานํา รับยกเข้ามา

กล่าวจบคนที่ถูกเรียกหาว่าเหมาต้า ก้าวย่างเข้ามา พร้อมกับยกถาดน้ำชาเข้ามากาหนึ่ง พร้อมกับจอกน้ำ ชาอีก ใบ ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวล พร้อมกับควันโชย กรุ่นโขมง ชาที่ใช้ชงล้วนเป็นชาที่ปลูกขึ้นเองภายในผา แห่งสายลมแห่งนี้ อาจเพราะอยู่บนพื้นที่สูง ทำให้ชามี คุณภาพดี มีกลิ่นหอมเป็นพิเศษ ท่านเจ้าผาโปรดปราน การดื่มชายิ่งนัก

เหมาต้าเป็นผู้ช่วยอันเข้มแข็งของเจ้าผา เรียกว่าเป็น มือขวานับว่ามิผิดนัก ท่านเจ้าผาถ่ายทอดเพลงยุทธ์ให้ แก่เหมาต้าชุดหนึ่ง ฝีมือกล้าแข็งห้าวหาญอายุราวสี่สิบปี เศษ เมื่อเหมาต้ายกน้ำชาเข้ามาแล้ว อีกไม่นานเท่าใดนัก คนอื่น ๆ ที่หลงเหลือต่างทยอยเข้ามา ทำให้ไปชิงเพิ่มพูน ๆ ความสงสัยเป็นทวีคูณ เช้านี้ที่ท่านเจ้าผาเรียกตน กับพี่ ชายเข้าพบต้องมีเรื่องราวใด เป็นพิเศษอย่างแน่นอน

เมื่อทุกคนภายในผาแห่งสายลมแห่งนี้ ทยอยเข้ามา ภายในหมดสิ้นแล้ว เจ้าผาแห่งสายลม จึงเรียกคนทั้งสาม อันได้แก่เหมาต้า เฟื่นมู่เหอ และเปิ่นไปชิง ออกมายังด้าน หน้าคนอื่น ๆ แล้วกล่าวกับคนทั้งสามว่า
“เหมาต้า มู่เหอ เจ้าด้วยไปชิง รีบคุกเข่าลง

ในตอนแรกไปชิงอดตกใจเล็กน้อยมิได้ ท่านเจ้าผาสั่ง ให้ทั้งสามคุกเข่าลงกับพื้นตรงหน้า อีกทั้งยังมีคนอื่น ๆ ในผาเข้ามาร่วมด้วยครบทุกผู้คน เกรงว่าท่านเจ้าผาแห่ง สายลม จะลงโทษพวกตนสามคน แต่เมื่อพยายามนึก พลันนึกไม่ออกว่าได้กระทำความผิดอันใด เหมาต้า กับเพื่ นมู่เหอ รีบคุกเข่าลงตรงหน้าท่านเจ้าผาแห่งสายลม ส่วน ไปชิงยังคงยืนกระทำสิ่งไม่ถูก เฝิ่นมู่เหอเลยส่งเสียงเรียก ไปชิงเบา ๆ พร้อมกับดึงแขนของไป่ชิงให้รีบคุกเข่าลง เมื่อทั้งสามคุกเข่าเรียบร้อยแล้ว ท่านเจ้าผาแห่งสายลม จึงกล่าวต่อว่า

“วันนี้เราเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ย ขอประกาศให้ ทราบโดยทั่วกันว่า ที่ผ่านมาเจ้าทั้งสามคน ต่างช่วยงาน เราได้เป็นอย่างดี ไม่มีสิ่งใดที่ทำให้เราต้องหนักใจ ที่ สำคัญพวกเจ้าทั้งสามต่างรักใคร่กลมเกลียวดียิ่ง ร่วมกัน ทำงานในผาแห่งนี้ ไม่มีสิ่งใดผิดพลาดบกพร่อง ตัวเราเอง แม้ถ่ายทอดวรยุทธ์ให้พวกเจ้าทั้งสาม แต่ไม่เคยเรียกหา ในฐานะศิษย์อาจารย์ ดังนั้นวันนี้ เราจึงให้เหมาต้า ซึ่งเป็น พี่ใหญ่ที่สุดในบรรดาพวกเจ้าทั้งสามเตรียมน้ำชามา เพื่อ ที่เราจะรับพวกเจ้าทั้งสามเป็นศิษย์ของเรา อย่างถูกต้อง ตามประเพณีการปฏิบัติ”

ทั้งสามได้ยินท่านเจ้าผากล่าววาจาเช่นนั้น ล้วนทราบว่า ท่านเจ้าผา ยอมรับพวกตนทั้งสามเป็นศิษย์ของท่านอย่าง ถูกต้อง ต่างยินดีจนพูดกระไรไม่ออก เหมาต้ารีบรินน้ำมาใสจอกน้ำชาทั้งสี่ใบ พร้อมกับส่งให้กับท่านเจ้า ผาแห่งสายลมก่อนเป็นอันดับแรก มู่เหอ และไปชิง รับ จอกน้ำชาซึ่งเหมาต้ายื่นส่งให้ ทั้งสามคนยกน้ำซาคารวะ ต่อหน้าท่านเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ย โดยพร้อม เพรียงกัน

ท่านเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ย หัวร่อชอบอกชอบใจ อย่างมีความสุข ร้องดัง ๆ ว่า

“ดื่ม”

ทั้งหมดยกจอกน้ำชาขึ้นดื่มรวดเดียวหมดจอกพร้อมกัน เมื่อวางจอกน้ำชาแล้ว ทั้งสามต่างโขกศีรษะกับพื้นแปด ครั้งโดยพร้อมเพรียง เจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ย แสดง สีหน้าปลาบปลื้มยินดีเป็นที่สุด คนอื่น ๆ ที่เข้ามาต่างส่ง เสียงแสดงความยินดีกับทั้งสาม ส่งเสียงโห่ร้องจนกึกก้อง เจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ย หัวร่อและกล่าวว่า

“ดี ๆ ต่อจากนี้พวกเจ้าทั้งสามเป็นศิษย์ของเราโดยถูก ต้อง เหมาต้าเจ้าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ มู่เหอเจ้าเป็นศิษย์พี่รอง ส่วนไป่ชิงเจ้าเป็นศิษย์น้องเล็ก เจ้าทั้งสามเมื่อเป็นศิษย์ ของเราแล้ว ต้องรักใคร่สามัคคีกันให้มาก ๆ มีสุขร่วม เสพ มีทุกข์ร่วมต้าน อย่าได้คิดแก่งแย่งชิงดีกัน ที่ผ่านมา เราไม่ให้พวกเจ้าเรียกหาเราว่าอาจารย์ เพราะเหตุใดนั้น เรามีเหตุผลประการหนึ่ง หลังจากนี้เราจะค่อย ๆ บอกเล่า ให้พวกเจ้าได้รับทราบ
ท่านเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ย สั่งให้คนอื่น ๆ ออกไป ได้ คงเหลือไว้เพียงศิษย์ทั้งสาม ท่านเจ้าผาแห่งสายลม สั่งให้ทั้งสามนั่งลง พร้อมกับเล่าถึงสาเหตุ ว่าไฉนที่ผ่าน มาท่านจึงไม่ยอมรับทั้งสามเป็นศิษย์ อีกทั้งยังสั่งห้ามมิให้ ทั้งสาม เรียกท่านหาว่าอาจารย์อีกด้วย

ท่านเริ่มบอกเล่าเรื่องราวโดยคร่าว ๆ ว่า

“เมื่อหลายปีก่อน มีปรมาจารย์ท่านหนึ่งไม่ขอเอ่ยนาม ท่านได้รับศิษย์ห้าคน ซึ่งในตอนนั้นท่านยังไม่ได้ก่อตั้ง สำนักเป็นหลักแหล่ง ท่านออกเดินทางท่องยุทธภพไป ทุกหนแห่ง พร้อมกับศิษย์ทั้งห้าของท่าน พร้อมกับอบรม สั่งสอน ถ่ายทอดวิชาให้ศิษย์ทั้งห้าไปด้วย ศิษย์ทั้งห้าต่าง รักใคร่สามัคคี แต่ละคนล้วนฝึกวิชาชุดหนึ่งเรียกว่า “วิชา สี่ธาตุกำเนิดจักรวาล”

สี่ธาตุแบ่งออกเป็น ดิน น้ำ ลม ไฟ ปรมาจารย์ท่านนั้น ได้บัญญัติวิชาชุดนี้ขึ้นมา โดยแยกย่อยออกเป็นห้าวิชา ด้วยกัน พร้อมกับอาศัยจุดเด่นของธาตุทั้งสี่บัญญัติขึ้น เป็นสุดยอดวิชา ได้แก่ วิชาภูผาทะลวงใจ(ดิน) วิชาเก้า ชโลทร(น้ำ) วิชาวายุกรีดนภา(ลม) วิชาฝ่ามืออัคคี(ไฟ) วิชาดาวดึงส์(จักรวาล)

ศิษย์ทั้งห้าคน ต่างแยกกันฝึกวิชาของตนจนสําเร็จ ในยุคนั้นชาวยุทธ์ต่างครั่นคร้ามต่อศิษย์ทั้งห้าของ ปรมาจารย์ท่านนี้ เพราะหากศิษย์ทั้งห้าพร้อมใจกันใช้ วิชา ทั้งห้าคนโดยพร้อมเพรียงกัน เมื่อใช้ออกต่างเกื้อหนุนส่งเสริมแก่กันไร้ช่องโหว่ พลังทั้งห้าถ่ายทอดต่อ เนื่องถึงกันมียั้งหยุด เมื่อดินน้ำลมไฟหล่อหลอมรวมกัน ก่อเกิดเป็นจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล พลังที่ปล่อย ออกมาจึงทั้งดุดันผันแปร แลแข็งกร้าวแห่งธาตุดิน อีกทั้ง ยังเผ็ดร้อนรุนแรงแห่งธาตุไฟ พร้อมทั้งยังแฝงความอ่อน หยุ่นเยือกเย็นแห่งธาตุน้ำ ทั้งยังพลิ้วไหวไม่สิ้นสุดด้วย ธาตุลม

ปรมาจารย์ท่านนั้น ท่านภูมิใจในตัวศิษย์ทั้งห้าเป็นอย่าง มาก แต่แล้วต่อมาศิษย์ทั้งห้าเกิดบาดหมางกันภายใน สำนัก ด้วยสาเหตุใดไม่อยากเอ่ยถึง ในที่สุดความเป็น ศิษย์ร่วมสำนักอาจารย์ต่างสิ้นสุดลง สุดท้ายศิษย์ทั้งห้า พากันเร้นกายจากยุทธภพ ส่วนปรมาจารย์ท่านนั้นมีอัน หายสาบสูญไป

ดังนั้นที่ผ่านมา อาจารย์จึงไม่อยากรับศิษย์ เกรงว่าจะ เป็นเหมือนปรมาจารย์ท่านนั้น ซึ่งท่านรับศิษย์แล้วเกิด เรื่องราวมากมาย จนมีคนล้มตายไปไม่น้อย ยุทธภพแทบ ลุกไหม้เป็นไฟ เมื่ออาจารย์รับเจ้าทั้งสามเป็นศิษย์แล้ว หวังว่าเจ้าทั้งสามจะรักใคร่กันดุจเฮียม่วยไม่ทอดทิ้งกัน ไม่ทำให้อาจารย์ต้องผิดหวัง ส่วนรายละเอียดปลีกย่อย อาจารย์ค่อยบอกเล่าให้พวกเจ้าฟังในภายหลัง”

กล่าวพลางท่านเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ย ลุกขึ้นจาก เก้าอี้เดินช้า ๆ พร้อมกับกล่าวว่า
“นับจากวันนี้ถึงวันชุมนุมชาวยุทธ์ที่วัดเส้าหลิน ยังเหลือ เวลาอีกเพียงหกเดือน จึงถือว่าเหลือเวลาไม่มากนัก ดัง นั้นตั้งแต่วันนี้ อาจารย์จะเข้มงวดเจ้าทั้งสามให้ฝึกวิชา อย่างหนักหน่วง ในบู๊ลิ้มมีผู้ทักษะยุทธ์อยู่มากมาย แม้ว่า ฝีมือของพวกเจ้าทั้งสามจะกล้าแกร่ง แต่ในยุทธภพมี เล่ห์เหลี่ยมมากมายให้ต้องระวัง ลำพัง มืออาจไม่เพียง พอ ดังนั้นตั้งแต่วันนี้พวกเจ้าทั้งสาม จงตั้งใจศึกษาวิชา ฝ่ามือ รวมทั้งค่ายกล อาวุธลับเอาไว้ให้ดี”

ท่านเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ย สนทนาพลางเดินนำ ศิษย์ทั้งสามออกมายังเบื้องนอก ผาแห่งสายลมนี้ปกคลุม ไปด้วยหมอกหนาอยู่ตลอดทั้งปี ดังนั้นทั้งวันคืนจะมี สายลมพัดผ่าน ยามสายลมปะทะกับหน้าผา บังเกิดเสียง ดังหวีดหวิวครืน ๆ ตลอดเวลา เจ้าผาแห่งสายลมเกาทิ เหว่ย เดินนำหน้าศิษย์ทั้งสามไปยังสถานที่ด้านหลังของ สถานที่ ซึ่งเป็นลานกว้างพื้นราบเรียบ กล่าวต่อว่า

“อาจารย์เองเก็บตัวอยู่บนผาแห่งนี้สิบห้าปี ไม่เคย ย่างกรายเข้าสู่ยุทธภพแม้แต่คราเดียว ไม่แน่นักกลับ ไปในครั้งนี้ แม้แต่อาจารย์เอง อาจจะไม่อยู่ในสายตา ของชาวยุทธ์ทั้งหลายแล้ว แต่ถึงเช่นไร อาจารย์ย่อมมี ประสบการณ์มากกว่าเจ้าสามคน พวกเจ้าอาศัยอยู่แต่ บนผาแห่งสายลมแห่งนี้ อาจยังไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมคน ดัง นั้นระยะเวลาที่เหลืออยู่นี้ อาจารย์จะทุ่มเทให้แก่พวกเจ้า โดยเต็มที่ หลังจากนั้นอาจารย์จะให้พวกเจ้าทั้งสามออกไปหาประสบการณ์ผาดโผนในยุทธภพ ตั้งแต่วันนี้จง ตั้งใจร่ำเรียนวิชาอย่าเกียจคร้านเป็นเด็ดขาด”

เจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ย หันไปทางไปชิง แล้วกล่าว ถามว่า

“วิชาอาวุธลับเข็มโปรยบุปผาร่วง เจ้าฝึกปรือไปถึงไหน แล้ว ก้าวหน้าขึ้นบ้างหรือไม่?”

เฟินไปชิงส่งยิ้มอย่างเอาใจ แล้วรีบตอบเจ้าผาเกาทเหว่

ยไปว่า

นับว่าก้าวหน้าไปหลายส่วนแล้วอาจารย์ หลังจากศิษย์ ได้ทดลองใช้กับแม่ชีนิรนามนางหนึ่ง แต่ศิษย์ขบคิดไม่ เข้าใจ ว่าเหตุใดตอนที่ใช้ออกไปนั้น ข้าพเจ้าเพียงฝึกได้ สามส่วน แต่ท่าทางแม่ชีนิรนามนางนั้น กลับตื่นตระหนก ตกใจและล่าถอยไปง่ายดาย อาจารย์ท่านพอคาดเดา ออกบ้างหรือไม่?”

ไป่ชิงรีบกล่าวถามเจ้าผาแห่งสายลมเกทิเหว่ย เกี่ยวกับ แม่ชีนิรนามลึกลับผู้หนึ่ง ซึ่งนางเคยประมือตอนลงจาก ผา ท่าทางนางมีท่าทีตื่นตระหนกตกใจ เมื่อตนเองใช้เข็ม โปรยบุปผาร่วงออกไป

“วิชาอาวุธลับชุดนี้เป็นวิชาอาวุธลับเฉพาะ ที่อาจารย์ได้ รับการถ่ายทอดจากอาจารย์อีกทอดหนึ่ง คิดว่าในใต้หล้าคงมีเพียงอาจารย์ อีกทั้งเจ้าอีกเพียงผู้เดียวที่ใช้วิชา อาวุธลับนี้ หากฝึกจนสำเร็จขั้นสูงสุด จะมีความร้ายกาจ น่ากลัวศัตรูยากหลบหลีกพ้น เพียงผู้ใช้รู้จักใช้ลมปราณ กำลังภายในบังคับทิศทาง ควบคุมน้ำหนักและแฝงกำลัง ภายในเข้าไปในตัวเข็มตอนซัดออก แม้เข็มเล่มเล็ก ๆ แต่ ทว่าความร้ายกาจไม่ต่างจากกระบี่แหลมคมเล่มหนึ่งเลย ทีเดียว ความยากจะอยู่ที่เคล็ดลับการบรรจุพลังเข้าสู่ตัว เข็มก่อนซัดขว้าง ดังนั้นวันนี้อาจารย์จะอธิบายเคล็ดลับ ใจความสำคัญ ให้เจ้าฟังทำความเข้าใจโดยละเอียด จาก คำบอกเล่าของเจ้าเมื่อครู่ คิดว่าแม่ชีนิรนามนางนั้น มัน อาจรู้จักวิชาเข็มโปรยบุปผาร่วง ที่เจ้าใช้ออกไปอยู่บ้างก็ เป็นได้

เจ้าผาแห่งสายลมเกา เหว่ย อธิบายถึงที่มาของวิชา อาวุธลับชุดนี้ ท่านกล่าวว่า วิชาอาวุธลับนี้ มีความ ร้ายกาจหากฝึกฝนจนสำเร็จขั้นสุดยอด จากนั้นท่านหัน ไปทางเหมาต้า และเปิ่นมู่เหอ กล่าวกับทั้งสองว่า

“ส่วนเจ้าทั้งสอง นอกจากวิชาที่อาจารย์ถ่ายทอดให้แล้ว วิชาค่ายกล พวกเจ้ายังต้องหมั่นฝึกฝนให้ชำนาญ เพราะ มันจะมีประโยชน์มากมาย หากพวกเจ้าพบพาน กับคู่ต่อสู้ อันเข้มแข็งจึงสามารถนำออกมาใช้ รับรองว่าศัตรูยาก ทําลายได้ง่ายดายเด็ดขาด”

“ทราบแล้วอาจารย์ ศิษย์ทั้งสองจะตั้งใจฝึกฝน และจะ ไม่ทําให้ท่านผิดหวังอย่างเด็ดขาด”เหมาต้า และเฟื้นฟูเหอ รับปากท่านเจ้าผาเกา เหว่ย เป็นมั่นเหมาะ หลังจากนั้นท่านเจ้าผาเกา เหว่ย จึงเริ่ม ลงมือสอนวิชาให้กับศิษย์ทั้งสาม ศิษย์ทั้งสามต่างตั้ง อกตั้งใจฝึกวิชาเพื่อออกท่องยุทธภพ อีกทั้งเดินทางไป ร่วมงาน ในวันชุมนุมชาวยุทธ์ที่วัดเส้าหลินอีกด้วย


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ