เพียงใจเดียว

บทที่ 2 หงส์ร่วงลงสู่พื้นดินดุจวิหค (2)



บทที่ 2 หงส์ร่วงลงสู่พื้นดินดุจวิหค (2)

บทที่ 2 หงส์ร่วงลงสู่พื้นดินดุจวิหค (2)

หลิงหลงมองไปยังแผ่นหลังที่มีท่าทีอวดดีของโอวหยาง เหยียนเสี้ยวที่เดินออกไปไกล นายของตนยังคงนั่งอย่าง เงียบสงบอยู่ที่ตำแหน่งเดิม ดูจากสีหน้าก็มองไม่ออกถึง ท่าทีที่ผิดปกติใดๆ ภายในใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่ยินยอม จึงเปิดปากตำหนิว่า

“คุณหนู คุณหนูสามรังแกท่านเช่นนั้น เหตุใดท่าน อ่อนแอเช่นนี้ ถึงกับปล่อยให้คุณหนูสามรังแกท่านได้? บ่าวแทบจะทนดูไม่ได้เจ้าค่ะ”

“หากนางอยากจะก่อความวุ่นวายก็ให้นางทำไปเถิด นางอายุแค่สิบเจ็ดปี มักจะมีนิสัยที่เป็นเด็กๆ อย่าได้ไป สนใจนางเป็นพอ อย่างไรหลังจากนี้ แม้อยากพบก็ดูท่า ว่าจะยากแล้วกระมัง “โอวหยางหวันเอ่อเปิดปากกล่าว เสียงเบา

“แต่ว่า แต่ว่าคุณหนู นางมีสิทธิ์อะไรถึงได้อภิเษกสมรส เป็นพระสนมของฮ่องเต้เจ้าคะ ? ปีนั้นฮ่องเต้องค์ก่อน ตรัสอย่างชัดเจนว่าให้ท่าน….

ขณะที่หลิงหลงกล่าวอย่างไม่ยอมแพ้ กลับถูกโอวหยาง

หนเอ่อ ขัดเข้าให้
“เอาล่ะ หลังหอง ไม่ต้องพูดอันได้แล้ว ด้วยในหน้าที่ อัปลักษณ์ของข้าเช่นนี้ เราคิดว่าเขาใช้ชีวิตอยู่ในวังจะ เป็นที่โปรดปรานได้อย่างไร? *

โอวหยางหวั่นเอ๋อขมวดคิ้วมองไปทางหลิงหลง หลวง วิเคราะห์ต่ออย่างไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย

“นับตั้งแต่โบราณกาลมาอยู่ใกล้กษัตริย์ดั่งอยู่ใกล้ เสือ มีบุรุษผู้ใดที่เคยชินกับหญิงงามคล้ายกับก้อน เมฆสามารถที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับหญิงที่มีใบหน้า อัปลักษณ์ได้หรือไม่? บางทีสถานการณ์ในตอนนี้ อาจ เป็นการจัดการที่ดีที่สุดต่อขาก็เป็นได้ โอวหยางหวั่นเอ อกล่าวอย่างสงบนิ่ง ไม่มีแม้แต่ความรู้สึกไม่ยินยอมเพียง นิดที่ลูกลดตำแหน่งจากพระสนมของฮ่องเต้ที่มีอนาคตที่ กลายเป็นพระชายาของคนโง่ผู้หนึ่ง

โอวหยางหวั่นเอ๋อมองหลิงหลง ในแววตาไม่เหลือความ อ่อนแอของเด็กสาวที่อายุสิบเจ็ดสิบแปดควรจะมี กลับ มีความเด็ดขาดและความอดทนอย่างนางที่อายุเท่านี้ไม่ ควรจะมี

หากฮ่องเต้องค์ก่อนยังมีชีวิตอยู่ พบหญิงสาวที่มีการ แสดงออกเงียบสงบเช่นนี้ จักต้องอดไม่ได้ที่จะตรัสชม อย่างแน่นอน

บุคคลเช่นนี้ สตรีผู้นี้จักต้องโดดเด่นกว่าผู้อื่นอย่างแน่นอน

เพียงแต่น่าเสียดาย ที่ปุถุชนเพียงแค่กล่าวไว้ ฮ่องเต้ องค์ก่อนชื่นชมสตรีที่ยอดเยี่ยม และความสามารถเพียง บางส่วน กลับไม่ได้จัดการอย่างที่คิด

“แต่ แต่ แต่สุดท้ายให้คุณหนูแต่งกับคนโง่ผู้หนึ่ง นี่มิใช่ การหยามเกียรติของคุณหนูหรอกหรือ? “หลิงหลงยังคง ไม่ยินยอมพลางมองไปโอวหยางหวั่นเอ๋อ หน้าตาเต็มไป ด้วยความวิตกกังวล

“ใช้ความงามปรนนิบัติผู้คน เมื่อความงามถดถอยความ รักก็ร้างรา เรื่องเช่นนี้ ข้ารังเกียจยิ่งนัก “โอวหยางหวั่น เอ่อบีบถ้วยชากระเบื้องเคลือบในมืออย่างไม่ได้ตั้งใจ โดยที่สีหน้ายังเย็นชาอยู่เช่นเดิม

องค์ชายห้า? อ๋องอันเล่อ? ว่ากันว่าเป็นผู้ที่โง่มาแต่ กำเนิดมิใช่หรือ? เช่นนั้น ในเมื่อเป็นคนโง่ เช่นนั้น แต่ง แล้วจะเป็นไรไป? ไม่เพียงแต่ได้ย้ายจากจวนโอวหยาง ไปอยู่ที่อื่น ยังต้องสนใจอันใดเล่า?

“แต่ว่า คุณหนู บ่าวเพียงรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมสำหรับท่าน เดิมทีแววตาที่เคารพยกย่องทั้งหมดต่างต้องตกมาอยู่ที่ ท่าน ทว่าตอนนี้ ต่างก็ตกไปอยู่ที่คุณหนูสามที่เย่อหยิ่งผู้ นั้น “หลิงหลงบ่นพึมพำ พอนึกถึงคุณหนูสามผู้นั้นก็อดไม่ ได้ที่จะโกรธขึ้นมา
“หลิงหลง ชื่อเสียงจอมปลอมเหล่านั้น ยึดถือมากเกิน ไปก็ยากที่จะปล่อยได้ เข้าใจหรือไม่? “โอวหยางหวั่นเอ๋ อมองไปทางหลิงหลงที่อายุเพียงแค่สิบเจ็ดปี เห็นนางคิด เช่นนี้เพื่อตนอย่างน่ารักเอ็นดู จึงอดไม่ได้ที่จะทอดถอน ใจกล่าว

“ยังเจ็บที่หน้าอยู่หรือไม่? ”

“ไม่เจ็บแล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณคุณหนู ไม่เจ็บแล้ว เจ้าค่ะ”หลิงหลงมองไปยังโอวหยางหวั่นเอ๋อที่ลุกขึ้นจะม จะมา หน้าของตน จึงได้รีบร้อนกล่าวขึ้นและยกมือกุมไปกุมที่ หน้าตนเอง ไม่ยอมที่จะให้โอวหยางหวั่นเอ๋อเห็นใบหน้า ที่ไม่น่ามองของตน

“หลิงหลง หลังจากที่ข้าแต่งออกไป เจ้าก็ไปด้วยเถิด นําเครื่องประดับที่ท่านปู่มอบให้ข้าเป็นรางวัลเหล่านั้นไป น่าจะเพียงพอให้เจ้าใช้ได้ตลอดชีวิตแล้ว “โอวหยางหวั่น เอ๋อมองไปยังหลิงหลงที่พยายามปกปิดหรือว่าอำพราง ใบหน้าด้านซ้ายที่บวมขึ้นมาแต่ก็มิอาจทำได้ ถอนหายใจ พลางกล่าว

“ไม่เอา บ่าวไม่เอา หรือว่าเจ้านายไม่ต้องการหลิงหลง แล้วใช่หรือไม่? หลิงหลงต้องการจะออกเรือนไปพร้อม กับเจ้านายเจ้าค่ะ”หลิงหลงเวลานี้มิได้คำนึงถึงใบหน้า ด้านซ้ายที่บวมของตน มือทั้งสองข้างลนลานจับไปที่มือ ของโอวหยางหวั่นเอ๋อและกล่าวขึ้น น้ำเสียงเต็มไปด้วย ความอ้อนวอน
“หลิงหลง เจ้าอยากไปกับข้าจริงหรือ หากเจ้ายังไม่ เปลี่ยนแปลงนิสัยของเจ้า เจ้าไปกับข้ารังแต่จะพบเจอ แต่ความยากลำบาก”โอวหยางหวั่นเอ่อมองไปยังร่างที่ คุกเข่าต่อหน้าตน แอบถอนหายใจเบาๆ เปิดปากพูด

“เจ้าค่ะ บ่าวทราบแล้ว บ่าวจะเปลี่ยนตนเองเจ้าค่ะ ขอ เจ้านายอย่าได้ผลักไสบ่าวไปเลย” หลิงหลงดึงมือของ โอวหยางหวั่นเอ่อขณะกล่าว แววตาเต็มไปด้วยความ ร้อนรน

“ลุกขึ้นเถิด บัดนี้สมควรแก่เวลาออกไปปรากฏตัวแล้ว ไม่ว่าดีหรือร้าย ข้าก็ได้กลายเป็นพระชายาหวั่นเสีย แล้ว”โอวหยางหวั่นเอ๋อกล่าวคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม พยุง หลิงหลงที่คุกเข่าอยู่บนพื้นขึ้นมาและกล่าว

“เจ้าลุกขึ้นก่อนเถิด จัดการหน้าของตนเสียหน่อย ใช้ น้ำเย็นผสมกับน้ำแข็งประคบ เจ้ารู้หรือไม่? “โอวหยาง หวั่นเอ๋อมองหลิงหลง ยังดี แม้ว่าใบหน้าจะบวมแดง แต่ กลับเป็นเพียงแผลภายนอก ดูแลไม่กี่วันก็ดีขึ้นแล้ว

โอวหยางเหยียนเสี้ยวหญิงสาวผู้นั้น ถูกเลี้ยงภายใน ห้องหับมาตลอดทั้งปี มิได้มีพละกำลังมาก แรงมือจึงมิได้ มากเท่าที่ควร

วันนี้แม้ว่าโอวหยางหวั่นเอ๋อภายนอกจะไม่แสดงอารมณ์ ใดๆออกมา แต่สถานที่ที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น สองมือกลับกำแน่นอย่างสะกดกลั้นอารมณ์โกรธของตน ไม่ ยอมให้อารมณ โกรธของตนเองเล็ดลอดออกมา ทว่าใน ใจกลับลอบสาบาน ต้องมีซักวันที่จะต้องเอาคืนโอวหยาง เหยียนเสี้ยวกลับให้หนักเป็นหลายเท่าตัว

“เจ้านาย บ่าวขอไปกับท่านเถิด ไม่เป็นไร บ่าวไม่เป็น อะไรเจ้าค่ะ”หลิงหลงมองไปยังโอวหยางหวั่นเอ๋อที่คิดจะ ไปด้วยตนเอง รีบดึงมือโอวหยางหวั่นเอ๋อพลันกล่าว

“ไม่เป็นไร ข้าไปเองได้ ดูเจ้าเช่นนี้ รีบพักผ่อนเสีย อย่าได้ให้ผู้อื่นมองเจ้าแล้วหัวเราะเอาได้”โอวหยาง หวั่นเอ๋อมองไปยังหลิงหลงที่มีท่าทางอ่อนแอ น้ำเสียงก็ แข็งกร้าว

โอวหยางหวั่นเอ๋อเดินเข้าไปภายในห้องโถงใหญ่ผู้เดียว มองไปยังชายชราท่าทางน่าเกรงขามที่นั่งอยู่ในห้องโถง ใหญ่ ย่อกายเบาๆ และกล่าวขึ้น

“หวั่นเอ๋อคารวะท่านปู่ คารวะอี๋เหนียง ตำแหน่งและ คำเรียกอนุภรรยา )ทุกท่านเจ้าค่ะ”ด้วยน้ำเสียงและ อากัปกิริยาที่สง่างาม ชวนให้คนดูไม่ออกแม้แต่น้อย

“ไอหยา หวั่นเอ๋อ ยังทำเช่นนี้อยู่อีกหรือ? ฮ่าฮ่า เจ้า ใกล้จะได้เป็นถึงพระชายาหวั่นแล้ว ข้าจะรับไว้ได้ อย่างไรเล่า”น้ำเสียงที่เอ่ยวาจาเจ็บแสบดังขึ้นท่ามกลาง ฝูงชน กลายเป็นดึงดูดให้เป็นที่สนใจของผู้คนทั้งหลาย
เมื่อเห็นว่าสายตาของทุกคนมองมาบนร่างของตน สตรี ผู้หนึ่ง สวมชุดสีแดงแต่งตัวอย่างสวยงามก็เดินออกมา อย่างภาคภูมิใจ พลางมองไปทางโอวหยางหวั่นเอ๋อด้วย แววตาที่เต็มไปด้วยความหยิ่งยโส

“หวั่นเอ๋อมิกล้า อี้เหนียง( ตำแหน่งและคำเรียก อนุภรรยา )อย่างไรก็เป็นอี้เหนียง “โอวหยางหวั่นเอ๋อเงย หน้าขึ้น ท่าทางที่ดูนุ่มนวลมีมรรยาทขับเน้นถึงสตรีผู้มี ฐานะ เพียงแต่นางในชาตินี้บิดากลับมองนางเป็นเพียงผู้ ที่เสียชีวิตไปแล้วเท่านั้น

“เจ้า….”สตรีที่แต่งตัวสวยสดงดงามคล้ายกับต้องการจะ กล่าวอะไรบางอย่าง

“แค่กๆ..”ชายชราที่นั่งอยู่ตำแหน่งสูงกระแอมไอออก มาสองครา ถือเป็นการเตือน สตรีที่สวมชุดสีแดงไหน เลยจะไม่ยินยอมและไม่กล้าส่งเสียงเนื่องจากถูกชาย ชราขัดขวางไว้ ทำได้เพียงยืนอยู่ด้านหลังและจ้องไปที่ โอวหยางหวั่นเอ๋ออย่างมุ่งร้าย

“หวั่นเอ๋อ เสี้ยวเสี้ยว พวกเจ้าทั้งคู่หนึ่งคนได้อภิเษก กับท่านอ๋อง อีกคนได้อภิเษกกับฮ่องเต้ สำหรับสตรี ในใต้หล้านี่ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง โปรดจงทะนุถนอม เกียรติยศที่หามิได้ง่ายๆเช่นนี้ไว้ ”

ชายชราท่าทางน่าเกรงขามกล่าวขึ้น โอวหยางหวั่นเอ๋อถึงกับลอบหัวเราะเยาะในใจ

สําหรับสตรีในใต้หล้าถือเป็นเกียรติ ทว่ากลับไม่ได้รวม

ถึงนาง

สิ่งที่นางต้องการ เพียงแค่เคียงคู่กันไปจนตลอดชีวิต เท่านั้น

“หวั่นเอ๋อ ข้ารู้ดี ตระกูลโอวหยางทำเรื่องที่ไม่ดีต่อเจ้า ไว้ เจ้าเป็นเด็กที่รู้เหตุและผลมาโดยตลอด ข้าเชื่อว่าเจ้า จะสามารถเข้าใจได้”ชายชรามองไปยังโอวหยางหวั่นเอ๋อ นัยน์ตาเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ

ในใจลึกๆของโอวหยางหวั่นเอ๋อลอบหัวเราะเยาะ ทว่า การแสดงออกกลับก้มหน้าลงอย่างนอบน้อม และเคารพ ต่อสิ่งที่ชายชรากำลังกล่าว

“หวั่นเอ๋อทราบเจ้าค่ะ”

“อืม หวั่นเอ๋อ เจ้าคือความภาคภูมิใจของพวกเราตระกูล โอวหยางมาตลอด”ชายชราพยักหน้า มองไปทางโอว หยางหวั่นเอ๋อด้วยแววตาที่คล้ายกับท่านปู่ที่รักและเอ็นดู หลานสาวของตนเป็นปกติก็มิปาน

โอวหยางหวั่นเอ๋อในใจลึกๆลอบหัวเราะอีกครั้ง ท่าน ผู้นำของตระกูลโอวหยางผู้นี้ มิใช่ว่าถือศีลกินเจอย่างที่แสดงละครออกมา

นับตั้งแต่ที่ตนตกใจตื่นขึ้นมาก็พบว่าได้เปลี่ยนเป็นเด็ก สาวที่อายุเพียงสิบปี

ท่านปู่เพียงเห็นตนเป็นคนที่ใบหน้าถูกไฟเผาเท่านั้น และยังออกห่างด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง

แปดปีที่ผ่านมา ยกเว้นงานเลี้ยงที่โอวหยางหวั่นเอ๋อต้อง เข้าร่วม ตระกูลโอวหยางก็เกือบที่จะลืมไปแล้วว่ามีโอว หยางหวั่นเอ๋อผู้นี้

ทว่าบัดนี้ท่านปู่กลับแสดงออกอย่างเป็นกังวลต่อโอว หยางหวั่นเอ๋อ ช่างทำให้โอวหยางหวั่นเอ๋อรู้สึกว่าเสแสร้ง จนทําให้คนแทบอาเจียนเสียจริง

“ท่านปู่ หากท่านไม่มีเรื่องอันใดแล้ว หวั่นเอ๋อขอกลับ ไปเตรียมตัวนะเจ้าคะ “โอวหยางหวั่นเอ๋อสีหน้าไม่ได้ แสดงออกอันใดแม้แต่น้อย ก้มศีรษะลงอย่างไม่เต็มใจ พลางมองไปยังท่านปู่ที่ใบหน้าแสดงออกว่าเป็นกังวล อย่างเสแสร้ง

“พี่สาว เหตุใดจึงได้รีบร้อนเช่นนี้ ท่านดูท่านเถิด นานๆ จะออกมาซักครั้ง ไหนเลยจะต้องการกลับออกไปอีก อย่างไรเวลาก็ยังเช้าอยู่”โอวหยางเหยียนเสี้ยวแสร้งเป็น สนิทสนมและจับไปที่มือของโอวหยางหวั่นเอ๋อ พลางมองไปที่โอวหยางหวั่นเอ๋ออย่างเห็นอกเห็นใจ

“พี่สาว ท่านเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์เช่นนี้ ข้าเป็นกังวลว่า เมื่อท่านออกเรือนไปท่านอ๋องผู้นั้นจะปฏิบัติต่อท่านไม่ดี เหยียบย่ำจุดที่นางเจ็บปวดที่สุดและค่อยๆขยี้ตรงจุดนั้น

แผนการของโอวหยางเหยียนเสี้ยวก็คือ

โอวหยางหวั่นเอ๋อมิใช่ถูกทำให้เสียโฉมหรอกหรือ? แต่ นางก็ตันกัดไม่ปล่อยอย่างเหี้ยมโหด ทำให้ตั้งแต่เด็กต้อง กดดันตนเองจนเมื่อตนเองมีความรู้ความสามารถและ กำลังจะสูญเสียลมหายใจถึงได้ทราบ

ใบหน้าของสตรีเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่มีโฉมหน้าแล้ว อะไรก็ไม่ใช่สำหรับนาง

คำพดูของโอวหยางเหยียนเสี้ยวเพียงประโยค

บรรดาอี้เหนียงที่ยืนอยู่ตรงหน้าพลันยิ้มและมองไปทาง โอวหยางหวั่นเอ๋อ คอยดูละครที่มีฉากเสียหน้าของโอว หยางหวั่นเอ๋อ
ภายในห้องโกงที่ยิ่งใหญ่ กลับไม่มีผู้ใดกล้าที่จะออก เสียงเพื่อกล่าวทวงความยุติธรรมให้แก่โอวหยางหวั่นเอ๋อ แม้แต่ผู้เดียว

“น้องสาว ข้าเชื่อว่าท่านอ๋องมิใช่ผู้ที่ตื้นเขินเช่นนั้น และ ในสายตามิใช่แค่มองเห็นแค่ความงามเพียงอย่างเดียว “โอวหยางหวั่นเอ๋อยิ้มอย่างใจกว้าง โดยไม่ได้ถือสาวาจา ที่ประชดประชันของโอวหยางเหยียนเสี้ยวแม้แต่น้อย

สีหน้าของโอวหยางเหยียนเสี้ยวเปลี่ยนเป็นขาวและแดง คาดไม่ถึงว่าโอวหยางหวั่นเอ๋อจะสามารถเสียดสีนางกลับ เช่นนี้ ทรวงอกกระเพื่อมเนื่องจากอารมณ์ที่แปรปรวน พลันมองไปที่โอวหยางหวั่นเอ๋อด้วยความเคียดแค้น

“พี่สาวกล่าวเช่นนี้หมายถึงอันใดเล่า ข้ารู้ว่าพี่สาวมาก พรสวรรค์มาตั้งแต่เด็ก ข้าอย่างไรก็มิอาจสู้พี่สาวได้ แม้แต่น้อย แต่ในวันนี้ไยท่านกลับถากถางข้าเช่นนี้

แม้ว่าในใจของโอวหยางเหยียนเสี้ยวจะเกลียดจนขบ เขี้ยวเคี้ยวฟัน กลับยังแสร้งเป็นเห็นอกเห็นใจมองไปยัง โอวหยางหวั่นเอ่อ ทว่าสายตานั้นเต็มไปด้วยการกล่าว โทษ

สำหรับโอวหยางหวั่นเอ่อนั้นถือเป็นการคว่ำอ่างอุจจาระ (อุปมาถึงการกล่าวหาและใส่ร้ายผู้อื่น)

“ใช่ ใช่ หวั่นเอ๋อเจ้าช่างไม่มีความเป็นพี่เอาเสียเลย เสี้ยวเสี้ยวของป่าแม้ไม่มีพรสวรรค์เทียบเจ้า แต่เจ้าก็ม อาจอาศัยความหยิ่งยโสและมากความรู้ความสามารถมา รังแกพี่น้องตระกูลตนเช่นนี้ได้”

มารดาของโอวหยางเหยียนเสี้ยว ที่สวมอาภรณ์ สีน้ำเงินทั้งชุด มองไปยังโอวหยางหวั่นเอ๋อที่สงบนิ่งอย่าง อาฆาตมาดร้าย จึงได้กล่าวถ้อยคำที่ผิดถูกกลับตาลปัตร อย่างไม่มีความอับอายแม้แต่น้อย

“ถูกต้อง ถูกต้อง ช่างเป็นเด็กที่ไม่ได้รับการสั่งสอนจาก มารดาอย่างแท้จริง แม้แต่น้องสาวของตนยังรังแกได้เช่น

“เฮ้อ จริงเช่นนั้น หวั่นเอ๋อมารดาของเจ้าแม้เป็นสตรี ร่อนเร่พเนจรที่ต่ำต้อย แต่ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ยังมีสาย เลือดของตระกูลโอวหยางอยู่ เหตุใดจึงไม่รู้ความเช่น นี้? ”

“นั่นสิ หวั่นเอ๋อนั้นจะทำตนเช่นหญิงสาวที่ไร้การศึกษา ผู้หนึ่งได้อย่างไร ช่างไม่มีลักษณะคล้ายบุตรสาวตระกูล ที่มั่งมีเสียจริง”…

สตรีที่สวมอาภรณ์น้ำเงินเงยหน้ามอง เหล่าบรรดาเหนียงที่กำลังพากันวิพากษ์วิจารณ์โอวหยางหวั่นเอ๋อขึ้น มากันอย่างขัดหูขัดตา ขณะกำลังกล่าวถึงมารดาของโอ วหยางหวั่นเอ่อ

ขณะที่มารดาของโอวหยางหวั่นเอ๋อยังมีชีวิตอยู่ นาย ท่านก็โปรดปรานนางแต่เพียงผู้เดียว ทำให้เหล่าฮูหยิน ไม่พอใจกันมานาน ในที่สุดก็มีที่ระบายอารมณ์เสียที ความเคียดแค้นที่อัดอั้นกันมาเป็นสิบกว่าปีบัดนี้จึงถูก ระบายอารมณ์ไปที่โอวหยางหวั่นเอ๋อกันอย่างเต็มที่

“เพียะ”เสียงฝ่ามือได้ขัดจังหวะขึ้นท่ามกลางผู้คนที่ กำลังพากันวิพากษ์วิจารณ์ โอวหยางเหยียนเสี้ยวมองไป ทีโอวหยางหวั่นเอ๋ออย่างไม่อยากจะเชื่อ พลันกล่าวด้วย ความโกรธขึ้นว่า

“เจ้ากล้าตบข้า? “เสียงนั้นเต็มไปด้วยความแค้นเคือง

“ที่ข้าตีมิใช่เจ้า เจ้าในตอนนี้ สามารถพูดได้ว่าข้าหยาบ คายไร้เหตุผล แต่ข้าเพียงแค่อยากสั่งสอนว่าคำพูดของ น้องสาวนั้นมิถูกต้องเพียงเท่านั้น”โอวหยางหวั่นเอ๋อกล่า วอย่างเอ้อระเหย พลางเช็ดมือของตนอย่างเหยียดหยาม ราวกับรังเกียจว่าโอวหยางเหยียนเสี้ยวนั้นสกปรกเพียง ใด

ในเมื่อคนในตระกูลโอวหยางไม่ฟังเหตุผลเช่นนี้ เช่น นั้นตนเอง ก็มจำเป็นต้องเป็นที่รองรับอารมณ์ของผู้ใด
หลังจากโยนทั้งผ้าเช็ดหน้าในมือของตนอย่างหยาม เหยียดแล้ว โอวหยางหวั่นเอ๋อก็มองไปยังท่านปู่ที่มีท่าที ตะลึงงัน จึงได้ย่อกายคารวะอย่างไม่มากและไม่น้อยเกิน ไป

“หวั่นเอ่อขอลาก่อนเจ้าค่ะ”

ขณะนี้ผู้คนยังคงตกอยู่ในท่ามกลางความตื่นตระหนก จนไร้การตอบสนอง นางจึงได้จากไปอย่างไม่ทุกข์ไม่ ร้อนใดๆ


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ