เพียงใจเดียว

บทที่ 14 งานเลี้ยงในวัง (3)



บทที่ 14 งานเลี้ยงในวัง (3)

บทที่ 14 งานเลี้ยงในวัง (3)

“ท่านอ๋องห้า ดูสีหน้าท่าทางของท่านเหมือนจะฟื้นตัวดี ขึ้นมาก เป็นเรื่องน่ายินดีจริงๆ” โอวหยางเฟิงกลับปรากฏ ตัวบนทางที่จะเดินไปข้างหน้าของตงฟางอ้าวกับโอว หยางหวั่นเอ๋อ แสร้งทําเป็นกล่าวราวกับสนิทสนม

ตงฟางอ้าวกับโอวหยางหวั่นเอ๋อตั้งใจที่จะไม่สนใจ เป็นการตบหน้าโอวหยางเฟิงอย่างชัดเจน

โอวหยางเฟิงยิ้มออกมาแก้เก้อ มองโอวหยางหวั่นเอ๋อที่ สงบและใจเย็นแล้วยิ้ม แก้สถานการณ์ให้กับตนเอง

“เหอะๆ เจ้าเด็กสาวคนนี้ แต่งงานแล้วทำเป็นเกรงใจกับ ที่บ้านเช่นนี้แล้ว จริงๆเลย มีเวลาเมื่อไหร่ก็กลับมาที่จวน เรามาพูดคุยเรื่องเก่าๆกัน?”

ช่างเป็นภาพแสดงความรักพ่อลูกผูกพันรักใคร่กลม เกลียวซะเหลือเกิน แต่เสียดาย กลับทำให้โอวหยางหวั่น เอ๋อรู้สึกว่าเป็นการแกล้งทำจนรู้สึกรังเกียจ

ไม่ตอบรับคำสนทนาใดๆ แล้วก็คำนับ ประคองตงฟาง

อ้าวเอาไว้แล้วกล่าวว่า
“หม่อมฉันรู้สึกไม่สบายเล็กน้อย อยากไปพักผ่อนสัก ครู ขอตัวลาออกไปก่อน” กล่าวจบ ก็ไม่คำนึงถึงโอวหยาง เฟิงที่ยิ้มตึงอยู่บนหน้า หันหลังจากไป

นี่เป็นการตบหน้า ตบหน้าอย่างหมดเปลือก โอวหยาง เฟิงถูกทำให้โมโหจนแทบจะบ้า นังตัวดีโอวหยางหวั่นเอ๋ อ คิดว่าแต่งงานกับท่านอ๋องคนหนึ่งก็นึกว่าจะกลายเป็น หงส์แล้วอย่างนั้นหรือ? ยังจะวางสีหน้าให้เขาดู? ถึงแม้ จะรู้สึกว่าตัวเองโกรธจนจะระเบิดแล้ว แต่ว่าตงฟางอ้าว ยังอยู่ ตนก็ไม่กล้าออกฤทธิ์ ทำได้เพียงอดทนกลืนความ โกรธนี้เข้าไป ยอมเลิกราชั่วคราว

โอวหยางหวั่นเอ๋อหาสถานที่ที่เงียบสงบและคนน้อย มองดูทะเลสาบอย่างเงียบๆ ในใจกลับอดนึกถึงภาพที่ตง ฟางอ้าวอุ้มตนไม่ได้ขึ้นมา ภาพที่พูดกับตนอย่างกระซิบ กระซาบ ภาพที่เต็มไปด้วยการโปรดปรานตนเอง ถึงแม้ จะรู้ดีว่าตงฟางอ้าวล้วนแต่ทำให้คนอื่นดู แต่ว่าโอวหยาง หวั่นเอ๋อก็ยังไม่เอาไหนกลับไปหลงระเริงอยู่กับมันอย่าง ถอนตัวไม่ขึ้น

“แม่นางช่างมีอารมณ์ดี มารับลมหนาวที่นี่” เสียงใสของ ผู้ชายดังขึ้นมา ทำลายความคิดของโอวหยางหวั่นเอ๋อ

หันกลับมาอย่างตกตะลึง หลังจากที่มองคนที่มาอย่าง ชัดเจนแล้ว โอวหยางหวั่นเอ๋อกลับเลิกคิ้วขึ้นอย่าง ประหลาดใจ
ตงฟาง ง ?

“น้องสะใภ้คำนับท่านอ๋องสาม” โอวหยางหวั่นเอ๋อคำนับ อย่างเป็นธรรมชาติ แสดงถึงความเคารพนับถือ ขณะ เดียวกันก็เงยหน้าของตนขึ้นอย่างเปิดเผยปล่อยให้ตง ฟางจิ้งซูมอง

“ไม่ทราบว่าท่านอ๋อง มองพอหรือยัง? หวั่นเอ๋อหน้าตาน่า เกลียด กลัวว่าจะแปดเปื้อนตาของท่านอ๋อง”

ตงฟางจิ้งซูมองแก้มของโอวหยางหวั่นเอ๋ออย่างไม่ กะพริบตา สร้างความไม่พอใจให้โอวหยางหวั่นเอ๋ออย่าง ช่วยไม่ได้ ขมวดคิ้วกล่าวเตือนอย่างอ่อนโยน

“อ้อ ข้ายั้งสติไม่อยู่ทำกิริยาไม่เหมาะสมแล้ว เพียงแต่จิ้ง ซูรู้สึกเสียดายหน้าตาและความสามารถอันหาที่เปรียบไม่ ได้เช่นนี้ของแม่นางหวั่นเอ๋อ”

เป็นประโยคที่ใช้คำอ่อนโยนแท้ๆ กลับทำให้โอวหยาง หวั่นเอ๋อรู้สึกว่าเมื่อเทียบกับที่ตงฟางอ้าวกล่าวกับตน ตรงๆว่า เจ้าขี้เหร่จริงๆ ยังทำให้คนรู้สึกขยะแขยงมากกว่า

“หญิงขี้เหร่คนหนึ่ง ขอบคุณสำหรับความชื่นชมของท่าน อ๋องสาม ยากที่จะเข้าสถานที่สง่างามและมีเกียรติได้” โอ วหยางหวั่นเอ๋อก้มหัวลง ไม่วางแผนที่ซื้อบัญชี(รับคำชื่นชม)ของอ๋องสาม

“ต้องอภัยด้วย แม่นางหวั่นเอ๋อ ข้ากล่าวกะทันหันไป หน่อย” ดูเหมือนว่าตงฟางจิ้งซูเพิ่งจะรู้สึกตัวถึงการพูดผิด ในคำพูดของตน รีบร้อนขออภัย

เขาติดตามอาจารย์ไปฝึกฝนร่ำเรียนที่อู่ไถซานตั้งแต่ เด็ก ต้องไม่เคยได้สัมผัสกับประสบการณ์การหลอกลวง กันไปมาของตระกูลใหญ่ในวังหลวงนี้อยู่แล้ว ดังนั้นเวลา ที่พูด จึงพูดออกไปอย่างที่ใจคิด ตัดสินใจเลือกใช้คำพูด ไม่เป็น

“ท่านอ๋องมีธุระอะไรต้องการจะหาหวั่นเอ๋อหรือ? ถ้าไม่มี หวั่นเอ๋อต้องขอตัวก่อน” โอวหยางหวั่นเอ๋อมองผู้ชายที่ ขาวสะอาดราวกับหยกที่อยู่ตรงหน้า เว้นระยะห่างอย่างมี มารยาท

นางคือพระชายาหวั่น ดังนั้นจึงไม่สามารถเปิดโอกาสให้ คนอื่นนินทาได้เลยแม้แต่น้อย

“ไทเฮาให้ข้ามาหาเจ้า ไทเฮาตรัสว่าอยากจะพบกับลูก สะใภ้ของตนทุกคน” ได้ยินคำพูดเตรียมจะจากไปของโอ วหยางหวั่นเอ๋อ ก็รีบร้อนพูดจุดประสงค์ที่ตนมาออกมาจน หมด หวังว่าจะรั้งโอวหยางหวั่นเอ๋อเอาไว้

“ไทเฮา?” ขมวดคิ้วของตน โอวหยางหวั่นเอ๋ออาศัยอยู่ในจานโอวหยางตลอด นางไม่รู้เกี่ยวกับนิสัยใจคอของ ไทเฮาเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้ได้ยินว่าไทเฮาเรียกพบตน กะทันหัน อดรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อยไม่ได้

ในเมื่ออยากพบลูกสะใภ้ ถ้าอย่างนั้นโอวหยางเหยียน เสี้ยวก็ต้องไปด้วยอยู่แล้ว เมื่อกี้ตนเพิ่งจะทำให้โอวหยาง เหยียนเอ๋อเสียหน้ามากขนาดนั้น โอวหยางเหยียนเสี้ยว จะปล่อยตัวเองไปได้อย่างไร? ถอนหายใจออกมาเชือก หนึ่ง ในใจของโอวหยางหวั่นเอ๋อกลับเข้าใจดี ว่าเป็น วาสนาไม่ใช่คราวเคราะห์ ถ้าเป็นคราวเคราะห์ก็หลบไม่ พ้น ทุกอย่างคงต้องแล้วแต่โชคแล้ว

ในเวลานี้ก็ไม่ได้ตัวสั่น ตามตงฟางจิ้งซูไปทางตำหนัก บรรทมของไทเฮา

พระตำหนักอี๋เสีย

โอวหยางเหยียนเสี้ยวกับพระชายาสองสามคนกำลังพูด คุยกันอย่างออกรส ไทเฮานั่งอยู่ด้านบนสุดกวาดตามองผู้ หญิงที่มีฐานะสูงศักดิ์ทั้งหลาย เอ่ยกล่าวขึ้นว่า

“ทุกท่านมาครบแล้วใช่ไหม?”

“ทูลไทเฮา ยังเหลือโอวหยางหวั่นเอ๋อที่แต่งงานท่าน อ๋องห้ายังไม่มา” โอวหยางเหยียนเสี้ยวแกล้งตอบอย่าง นอบน้อม แต่ในใจกลับได้ใจไม่หยุด ไทเฮามีรับสั่งให้พระชายาทุกคนมารวมตัวพูดคุยสนิทสนมเป็นกันเอง ตั้งแต่เช้าแล้ว โอวหยางเหยียนเสี้ยวกลับจงใจสกัดกั้น ขันทีที่จะไปแจ้งเรื่องให้โอวหยางหวั่นเอ่อมาเอาไว้ ตั้งใจ ทำให้โอวหยางหวั่นเอ๋อไม่มา ล่วงเกินไทเฮา

โอวหยางหวั่นเอ๋อ? คือลูกสาวของนังแพศยาคนนั้น หรือ? ดูเหมือนไทเฮาจะจมอยู่กับเรื่องราวในอดีต ใน ดวงตาที่ขมวดคิ้วกลับปกปิดความอาฆาตพยาบาทไว้ไม่ อยู่

โอวหยางเหยียนเสี้ยวเห็นปฏิกิริยาเช่นนี้ของไทเฮา ถึง แม้จะไม่รู้ว่าจะรับมือเช่นไรดี แต่กลับมีความสุขที่ไทเฮา ไม่พอใจต่อโอวหยางหวั่นเอ๋อ จึงไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก แต่ กลับแอบดีใจอยู่ลึกๆ ดูท่า ไทเฮาจะมีอคติกับโอวหยาง หวั่นเอ๋ออยู่ไม่น้อย ทีนี้ ตนจะมีอะไรดีๆดูแล้ว

“พระชายาห้าโอวหยางหวั่นเอ๋อขอพบไทเฮาพะยะค่ะ เสียงร้องของขันทีทำลายความเงียบแปลกๆในห้องโถง โอวหยางเหยียนเสี้ยวกลับรู้สึกประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่า โอวหยางหวั่นเอ๋อจะมาได้ ทีนี้ ควรจะทำเช่นไรต่อดี?

คิดไม่ถึงว่าไทเฮาที่นั่งอยู่เหนือตำแหน่งที่สูงที่สุดกลับ เอ่ยปากกล่าวว่า

“ให้โอวหยางหวั่นเอ๋อรอไปก่อน ในเมื่อมาสาย ก็ให้รอ อีกสักหน่อย ข้าจะพูดคุยใกล้ชิดกับสะใภ้คนอื่นๆ
กล่าวคํานี้ออกมา คนที่มีสายตาอันชาญฉลาดต่างกั ฟังออกแล้วว่า ไทเฮาตั้งใจจะทำให้โอวหยางหวั่นเอ๋อ ล่าบากใจ เพียงแต่เพราะเหตุผลอันใด กลับไม่อาจรู้ได้

โอวหยางหวั่นเอ๋อได้ยินขันทีบอกกับตนเช่นนี้ ใบหน้ายัง คงไร้ความรู้สึกใดๆเช่นเดิม หันไปคำนับทางพระตำหนักอื่ เสีย กล่าวอย่างโอนโยนว่า

“หม่อมฉันรับพระบัญชา” และก็ไปยืนรอตรงพื้นที่โล่ง กว้างตรงนอกลานจริงๆ

ไหนเลยจะรู้ว่าครึ่งชั่วยามผ่านไปแล้ว คนที่ตากแดด ตอนเที่ยงตอนบ่ายอดรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อยไม่ได้ ไทเฮา กลับดูเหมือนไม่มีเจตนาจะเรียกพบตนเช่นเดิม

โอวหยางหวั่นเอ๋อยังคงยืนรออยู่กลางแดด แดดที่ร้อน จัดทำให้ตนเหงื่อออกเต็มตัว แต่ว่าไหนๆก็มาแล้ว ไม่มี พระประสงค์ของไทเฮาตนก็ไม่กล้าจากไปเอง เพื่อไม่ให้ โอวหยางเหยียนเสี้ยวใช้เป็นจุดอ่อนได้

เพียงแต่ว่าสิ่งที่ทำให้โอวหยางหวั่นเอ๋อรู้สึกสงสัยไม่ เข้าใจก็คือ ตนกับไทเฮา ดูเหมือนไม่เคยพบปะกันมาก่อน แต่ว่าเพราะอะไรไทเฮากลับทำให้ตนลำบากใจเช่นนี้? ตรงจุดนี้ โอวหยางหวานเอ๋อกลับคิดไม่ออกจริงๆ
มองโอวหยางหวั่นเนื้อที่ยังคงยืนรอตัวตรงอยู่กลางแดด คงห่างจิ้งานต่อไปมาไหวอีกแล้ว ไม่เข้าใจว่าทําไมไท เขาถึงปฏิบัติกับโอวหยางหวั่นเอ๋อเช่นนี้ เดิมทีก็มีความ รู้สึกดีกับโอวหยางหวั่นเอ๋ออยู่แล้ว เวลานี้ก็จะสนใจอะไร มากมายไม่ได้แล้ว เลยปากกล่าวว่า

หนเอ่อ ข้าเข้าไปหาไทเฮา ให้เจ้าเข้าไปดีไหม?”

“ขอบคุณท่านอ๋อง ความหวังดีของท่านอ๋องหวั่นเอ๋อรับ ไว้ด้วยใจ หวั่นเอ๋อยืนรออยู่ตรงนี้แหละ

แต่ว่านานขนาดนี้แล้ว การลงโทษที่รุนแรงเช่นนี้ เจ้า เป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง จะทนได้อย่างไร?” ตงฟางจิ้งซูมอง ไปที่โอวหยางหวั่นเอ๋อที่แม้ว่าจะร้อนจนผมตรงมุมหน้า ผากจะชุ่มไปด้วยเหงื่อแต่กลับยังคงยืนรอตัวตรงอย่าง เป็นกังวล ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้ ผู้ หญิงคนนี้ ช่างดื้อรั้นเกินไปจริงๆ

“ทำไม? พระชายาหวั่นมาสาย ข้าให้พระชายาหวั่นรอ สักครู่ ยังรอไม่ได้อย่างนั้นหรือ? หรือว่า นี่เป็นความผิด ของไทเฮาอย่างช้าคนนี้

เสียงผู้หญิงที่แม้จะไม่ต้องโกรธแต่ก็ยังทรงพลังดังออก มาจากด้านในเรือน โอวหยางเหยียนเสี้ยวที่ตอนนี้กำลัง ประคองไทเฮาออกมาจากเรือนทีละก้าว มองโอวหยาง หวั่นเอ๋ออย่างได้ใจ
ดูเหมือนว่า ไทเฮาก็ไม่ชอบโอวหยางหวั่นเอ๋อเลยแม้แต่ น้อย ดูท่า วันนี้จะให้โอวหยางหวั่นเอ๋อลำบากเล็กน้อยไม่ เรื่องยากอะไรแล้ว

ไทเฮาสวมชุดงานปักมือประณีตสีน้ำเงินเข้มทั้งชุด ถึง แม้จะไม่โกรธก็ยังดูทรงพลัง แม้จะคนที่อายุใกล้จะห้าสิบ แล้ว แต่ผิวพรรณกลับดีเหมือนกับคนวัยสามสิบต้นๆ ทุก กิริยาท่าทางยังคงแฝงไปด้วยเสน่ห์ชวนหลงใหล

“หวั่นเอ๋อไม่กล้า รอคอยไทเฮาเป็นหน้าที่ของหวั่นเอ๋ อ หวั่นเอ๋อไม่กล้ามีคำตำหนิใดๆแม้แต่น้อย” โอวหยาง หวั่นเอ๋อมองไทเฮาที่ใช้สายตาน่าเกรงขามมองตน มีรู้สึก ว่าไทเฮามีความโกรธแค้นกับตน แต่ว่าตนไม่เคยพบปะ หรือพูดคุยใดๆกับไทเฮาแท้ๆ คิดไม่ออกจริงๆว่าไทเฮาไม่ พอใจตนตรงไหน

“ฮึ เจ้าไม่กล้า หรือว่ากล้าโกรธไม่กล้าพูด? ทำไม? คำ สั่งของข้าเจ้ายังกล้ามาสาย ข้ายังไม่สามารถให้เจ้ารองั้น หรือ? พระชายาหวั่นวางท่าบาตรใหญ่มาก”

กล่าวถึงตรงนี้ ไทเฮายิ่งเพิ่มเสียงให้สูงขึ้น ราวกับกำลัง กล่าวโทษการไม่รู้มารยาทของโอวหยางหวั่นเอ๋อ

“หวั่นเอ๋อไม่กล้า”

“ฮึ เหยียนเสี้ยว ทำไมพวกเจ้าต่างก็เติบโตมาจากสภาพแวดล้อมเดียวกัน ทำไมความมีมารยาทรู้จัก กาลเทศะถึงแตกต่างกันมากเช่นนี้? เจ้าดูพี่สาวของเจ้า คนนี้ อายุมากกว่าเจ้า กลับรู้มารยาทไม่เท่าครึ่งหนึ่งของ เจ้า เสียเวลาไปเปล่าๆหลายปีจริงๆ ทำให้ราชวงศ์ของ เราขายหน้า” ไทเฮาตบมือโอวหยางเหยียนเสี้ยวเบาๆ ดู เหมือนกำลังระบายความในใจกับโอวหยางเหยียนเสี้ยว ในความเป็นจริงกลับกำลังชี้ต้นหม่อนด่าต้นไหว(ชี้อีกคน ด่าอีกคน)ว่าโอวหยางหวั่นเอ๋อไม่รู้จักมารยาท หลายปีมา นี้เสียชาติเกิดแล้ว

“เสด็จแม่ ตอนที่หม่อมฉันหาพระชายาหวั่นพบ พระ ชายาหวั่นดูเหมือนจะไม่รู้เกี่ยวกับคำเชิญของเสด็จแม่ เลย ดังนั้นถึงได้ทำผิดพลาดไป หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเสด็จ แม่จะใช้คำว่าผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด ปล่อยหวั่นเอ๋อไปสักครั้ง”

“ฮึ ไม่รู้? เป็นความไม่รู้ที่ดีเสียจริง พระชายาทุกคนต่าง ก็ได้รับคำสั่ง(สั่งด้วยปาก)ของข้า มีแต่พระชายาหวั่นไม่ ได้รับ? ทำไม? หรือว่าจิ้งซูรู้สึกว่าข้าจงใจจะทำให้พระ ชายาหวั่นลำบากใจ?”

ไทเฮาจ้องตงฟางจิ้งซูที่ช่วยขอร้องให้โอวหยางหวั่นเอ๋ อ ถึงอย่างไรก็เป็นผู้หญิงที่อยู่ภายใต้คนเพียงคนเดียว แต่อยู่เหนือคนนับหมื่นที่ใช้ชีวิตอยู่ในวังหลังมาหลายปี พูดจากดำกลายเป็นขาว ของตายก็พูดจนกลายเป็นของ มีชีวิต พบเห็นได้บ่อยในวังหลังแห่งนี้ ไทเฮายิ่งเข้าใจถึง แก่นแท้ของเรื่องเช่นนี้ ใช้คำพูดเพียงไม่กี่คำ ก็ตำหนีไปถึงห้าของโอวหยางหวั่นเอ๋อ

ดูท่า วันนี้โอวหยางหวั่นเอ๋อ ไม่ว่าอย่างไรก็หนีไม่พ้น แล้ว

“หวั่นเอ๋อมาช้า ยินดีรับโทษ”

โอวหยางหวั่นเอ๋อคุกเข่าลงไป ถึงเวลานี้ หากว่านาง ยังไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของไทเฮา ถ้าอย่างนั้น หลายปีมานี้นางจะเป็นเหมือนกับที่ไทเฮากล่าวเอาไว้ จริงๆ เสียชาติเกิด

เพียงแต่ว่า ตนไม่เข้าใจ ทำไมไทเฮาถึงเกลียดชังตน เช่นนี้?

เป็นเพราะโอวหยางเหยียนเสี้ยวหรือ? มองโอวหยางเห ยียนเสี้ยวที่ประคองไทเฮาไว้อย่างได้ใจ โอวหยางหวั่นเอ๋ อส่ายหน้าอย่างไม่รู้ตัว เป็นไปไม่ได้ ความสามารถของ โอวหยางเหยียนเสี้ยวนางรู้ดี ไม่มีปัญญาหลอกใช้ไทเฮา แน่นอน แต่ว่า ถ้าไม่ใช่เพราะโอวหยางเหยียนเสี้ยว แล้ว เพราะอะไรไทเฮาถึงจงเกลียดจงชังตนเช่นนี้?

ความคิดหมุนรอบไปมา โอวหยางหวั่นเอ๋อยังคงใจเย็น เช่นเดิม สายตาที่มองไทเฮายังคงสงบนิ่งเหมือนดั่งน้ำใน ทะเลสาบที่ไหลนิ่งช้าๆเช่นเดิม
มองสายตาคู่นั้น ความโกรธแค้นในใจไทเฮากลับเพิ่ม มากขึ้น สายตาคู่นี้ ให้ตายเถอะมันเหมือนกันกับของผู้ หญิงคนนั้นจริงๆ เห็นสายตาคู่นี้ ตนก็นึกถึงผู้หญิงคนนั้น อย่างช่วยไม่ได้ นังแพศยาที่สมควรตายคนนั้น

เมื่อคิดเช่นนี้ เจตนาเย้ยหยันที่มุมปากของไทเฮาก็เพิ่ม มากยิ่งขึ้น เอ่ยปากกล่าวว่า

“ในเมื่อพระชายาหวั่นรับผิดอย่างมีสติด้วยตัวเอง ถ้า อย่างนั้น เหยียนเสี้ยว เจ้าลองบอกให้ข้าฟังหน่อย เถียง ย้อนไทเฮา ควรมีโทษเช่นไร?

“ทูลไทเฮา สมควรลดขั้นสามขั้น โบยห้าสิบที” ใบหน้า โอวหยางเหยียนเสี้ยวได้ใจอย่างบอกไม่ถูก คิดไม่ถึงว่า ไทเฮาจะคิดตรงกับใจตนเองเช่นนี้ ลงโทษโอวหยางหวั่น เอ๋อโหดร้ายเช่นนี้

“ถ้าอย่างนั้น ก็ดำเนินการตามนี้ โอวหยางหวั่นเอ๋อ เจ้ามื ความคิดเห็นอะไรกับข้าหรือไม่?”


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ