บทที่ 1 หงส์ร่วงลงสู่พื้นดินดุจวิหค (1)
บทที่ 1 หงส์ร่วงลงสู่พื้นดินดุจวิหค (1)
ปีที่36สมัยเทียนลี่ ฮ่องเต้ฉิงหลงสิ้นพระชนม์ ขณะพระ ชนมายุหกสิบพรรษา มีพระโอรสอยู่เก้าองค์รัชทายาท ทรงขึ้นเป็นฮ่องเต้ได้เนื่องจากได้รับการสนับสนุนจากหมู่ เหวินฮั่วผู้ที่เป็นไจ่เซี่ยง(อัครเสนาบดี) เปลี่ยนชื่อราชวงศ์ เป็นชิงเส้น และทรงขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้
ในปีที่ผ่านมา องเต้จิงหลงได้ทิ้งหนังสือหมั้นหมายไว้ หนึ่งฉบับ และปีเดียวกันนั้นตระกูลโอวหยางก็ได้สร้าง ความดีความชอบที่ยิ่งใหญ่ต่อฮ่องเต้ฉิงหลง ฮ่องเต้ พระราชทานสมรสให้แก่คุณหนูใหญ่โอวหยางหวั่นเอ๋อ ตระกูลโอวหยางเป็นพิเศษให้แก่ผู้สืบทอดบัลลังก์ในเวลา ต่อมา
ตามเสียงลือเสียงเล่าอ้าง โอวหยางหวั่นเอ๋อผู้นี้ อัปลักษณ์จนมิอาจหาอะไรมาเปรียบ บนใบหน้า ปรากฏรอยแผลเป็นที่น่าสะพรึงกลัวและทำให้ผู้คนรู้สึก สยดสยองเป็นอย่างยิ่ง ราวกับนางคือปีศาจร้ายตนหนึ่ง
เนื่องจากแต่ไหนแต่ไรโอวหยางหวั่นเอ๋อไม่เคยก้าวออก จากห้องของนางแม้แต่ครึ่งก้าว ข่าวลือนั้นเป็นจริงหรือไม่ จึงมิอาจมีผู้ใดทราบได้
ปีที่1สมัยชิงเส็น รัชทายาทตงฟางนี่ได้สืบราชบัลลังก์ ฟังจากข่าวลือจากประชาชน ในพระทัยนั้นทรงรู้สึก มิชอบใจเป็นอย่างมาก ในเวลานี้หยู่เหวินฮั่วได้เสนอ แผนการ พระราชประสงค์ของฮ่องเต้องค์ก่อนมิอาจ ฝ่าฝืน เช่นนั้นมิสู้หาวิธีประนีประนอม ถึงอย่างไรก็ต้อง เข้าพิธีอภิเษกสมรสกับคุณหนูตระกูลโอวหยาง นางเป็น ผู้ใด ทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่ไม่รู้ที่มาที่ไปอีก?
หลังจากประกาศพระราชโองการออกไป เห็นชัดว่า พระราชประสงค์ฮ่องเต้องค์ก่อนนั้นได้กําช่องโหว่ไว้มิด ประกาศว่าให้โอวหยางหวั่นเอ๋อเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับ องค์ชายห้าของฮ่องเต้องค์ก่อน พระราชทานยศเป็น พระชายาหวั่นโดยเฉพาะ เนื่องจากตระกูลโอวหยาง เป็นขุนนางผู้จงรักภักดีและซื่อสัตย์มาจากรุ่นสู่รุ่น และ พระราชทานยศโอวหยางเหยียนเสี้ยวเป็นกุ้ยเฟย(พระ สนมเอก) ตามนี้
เดิมทีควรจะเป็นพระสนมของฮ่องเต้ ทว่าเนื่องจากเสียง รําลือ จึงได้เปลี่ยนจากพระสนมของฮ่องเต้เป็นพระชายา ในระหว่างนั้นเบื้องลึกเบื้องหลังทำให้คาดคิดได้ไม่ยากว่า ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร
ภายใต้อำนาจที่อยู่เบื้องหลังของหมู่เหวินฮั่ว ทำให้ เหล่าข้าราชบริพารไม่กล้าที่จะเอ่ยวาจาอันใดในขณะ นี้ อย่างไรเสียเปลี่ยนตัวนายก็ต้อง เปลี่ยนบ่าวด้วยเป็น ธรรมดา
แม้ว่าจะมีเสียงเล่าลือมาจากประชาชนเป็นระยะ ทว่า ฮ่องเต้ยังทรงเมินเฉยต่อการอภิเษกสมรส ดังนั้นจึงได้ โยนไปให้แก่น้องชายที่โง่เขลาเบาปัญญาของตนเอง แม้ว่าจะเป็นการฝ่าฝืนกฎศีลธรรม แต่จากมุมมองของ บุรุษผู้หนึ่งก็สามารถเข้าใจได้และแสดงให้เห็นถึงเหตุผล ที่อันควร
จวนโอวหยาง ณ ห้องใต้หลังคาอันลับตาคน
สาวที่อายุราวสิบหกสิบเจ็ดปีและแต่งตัวบ่าวรับใช้ วิ่ง อย่างรีบร้อนเข้าประตูมา ยังคงหายใจไม่ทันเนื่องจาก ความเร็วในการวิ่งทำให้ลมหายใจยังคงปั่นป่วน พลาง กล่าวด้วยความตื่นตระหนก
“คุณหนู คุณหนู แย่แล้ว คุณหนูเจ้าคะ”
“หลิงหลง เหตุใดเจ้าต้องทำท่าทางตื่นตระหนกเช่นนี้ มิใช่ว่าฮ่องเต้องค์ใหม่สืบราชบัลลังก์หรอกหรือ? ”
สตรีที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งมีแผ่นหลังที่เหยียด ตรง และผมสีหมึกที่ตรงยาวได้บดบังแก้มด้านซ้าย ของนางเอาไว้ แม้ว่ามองเพียงแก้มด้านขวา ก็สามารถ จินตนาการได้ว่าสตรีผู้นี้คงจะเป็นสาวงามล่มเมืองเป็นแน่
“คุณหนู มิใช่เจ้าค่ะ คุณหนู คือฮ่องเต้ ฮ่องเต้ทรงแก้ไขพระราชประสงค์เจ้าค่ะ”
หลิงหลงหอบหายใจพลางมองใบหน้าด้านขวาของนาง ที่งดงามราวกับหยกขาว ก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจออก มา หากว่าใบหน้าด้านซ้ายของคุณหนูไม่มีรอยแผลเป็นที่ ถูกไฟลวก คงจะดียิ่งนัก เช่นนั้นวันนี้คงจะมิได้รับความ อัปยศอดสูเช่นนี้
ฮ่องเต้ทรงแก้ไขพระราชประสงค์? ไม่ต้องการให้ข้า อภิเษกสมรส? นิ้วมือที่กำลังสางผมของโอวหยางหวั่น เอ๋อชะงักไปเล็กน้อย มองไปยังหลิงหลงและกล่าวถาม อย่างสงสัย
“มิใช่เจ้าค่ะ คือ ฮ่องเต้ ฮ่องเต้ทรงต้องการอภิเษกสมรส กับคุณหนูสามโอวหยางเหยียนเสี้ยวเจ้าค่ะ”หลิงหลง กล่าวอย่างร้อนอกร้อนใจ พลางมองไปทางคุณหนูของ ตนที่ท่าทางสงบเยือกเย็นอย่างเป็นกังวล
“จริงหรือ? เช่นนั้นก็ขอแสดงความยินดีกับน้องสาม แล้ว หลิงหลง ช่วยข้าเตรียมของขวัญมอบให้แก่น้อง สามที”สตรีที่นั่งอยู่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้งมิได้แสดง อารมณ์ใดๆออกมา และยังคงสงบเย็นชาเช่นเดิม คล้าย กับกำลังแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพดินฟ้า อากาศของวันนี้
“ฮ่า ฮ่า พี่สาวช่างสูงส่งยิ่งนัก ถูกฮ่องเต้ทอดทิ้งเช่นนี้ยังระงับอารมณ์เอาไว้ได้อีก น้องรู้สึกเลื่อมใสท่านพี่ เป็นอย่างมาก ฮ่า ฮ่า”เสียงที่นุ่มนวลและงดงามแต่กลับมี เจตนาที่ไม่ดีแอบแฝงดังออกมาจากทางด้านนอกประตู
เป็นน้องสาวของโอวหยางหวั่นเอ๋อในชาตินี้ โอวหยางเห ยียนเสี้ยว
โอวหยางเหยียนเสี้ยวพาสาวใช้ข้างกายของตนก้าว ออกมาจากประตูด้านนอกอย่างช้าๆ มองไปที่หญิงสาว ชุดขาวที่สง่างามนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งอย่างแสดง พลังอำนาจ ดวงตาก็เต็มไปด้วยความริษยาอย่างไม่มีสิ้น
สุด
ตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะเป็นกู่ฉิน หมากรุก เขียนพู่กัน วาด ภาพ หรือว่าจะเป็นการร้อง ร่ายรำ เย็บปักถักร้อย ตนเองก็มิอาจเทียบได้กับพี่สาวที่ได้รับการขนานนามว่า อัจฉริยะแห่งจวนโอวหยาง หากมิใช่เมื่ออายุสิบขวบเกิด ไฟไหม้ ตนเองคงได้แต่ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้เงาของสาว ปาฏิหาริย์อันดับที่หนึ่งในเมืองหลวงไปตลอดชีวิต
เพียงแต่หลังจากเหตุไฟไหม้ครานั้น เปลวไฟได้ทำลาย ใบหน้าของโอวหยางหวั่นเอ๋ออย่างโหดร้ายทารุณ ทำให้ นางมิอาจออกไปจากห้องใต้หลังคาได้แม้แต่ครึ่งก้าว เมื่อเป็นเช่นนี้ เมืองหลวงกลับยังแพร่สะพัดชื่อเสียงอันดี งามของโอวหยางหวั่นเอ๋อมาโดยตลอด ว่าโอวหยางหวั่น เอ๋อถึงแม้ใบหน้าทั้งหมดจะถูกทำลาย แต่ความรู้ความสามารถกลับเป็นหนึ่งในใต้หล้า แม้ว่าตนเองจะรู้สึกเคียดแค้น ทว่ากลับมิอาจเทียบได้กับ พี่สาวตนเองอย่างสิ้นเชิง
บัดนี้ ฮ่องเต้มีพระราชประสงค์เช่นนี้ จึงทำให้จิตใจของ ตนรู้สึกสบายขึ้นเป็นอย่างมาก
หากว่าเจ้ามีความสามารถและชื่อเสียงเป็นอย่างมาก แล้วอย่างไร หากว่าเจ้ามีพรสวรรค์ที่ทำให้คนแปลกใจก็ แล้วอย่างไร มิใช่ว่าอย่างไรก็ถูกว่าที่เจ้าบ่าวของตนเอง ทอดทิ้งไม่ต่างกันหรอกหรือ? เป็นรางวัลให้แก่คนโง่? โอ วหยางเหยียนเสี้ยวพอคิดเช่นนี้ ก็มองไปที่โอวหยางหวั่น เอ่อที่มีสีหน้าราบเรียบเยือกเย็นอย่างแสดงพลังอำนาจ ส่งเสียงไม่พอใจ ทันใดนั้นก็ยื่นมือออกมา สาวใช้ที่อยู่ ด้านหลังจึงได้ส่งพระราชโองการหนึ่งฉบับให้แก่นางทันที
โอวหยางเหยียนเสี้ยวเหลือบมองไปที่โอวหยางหวั่นเอ๋ ออย่างเย่อหยิ่ง ในแววตามีประกายความพึงพอใจไม่ น้อย
“โอวหยางหวั่นเอ๋อ รับพระราชโองการ
โอวหยางหวั่นเอ๋อคุกเข่าลงไปอย่างสงบนิ่ง น้ำเสียงที่ กล่าวออกมานั้นช่างเยือกเย็น
“โอวหยางหวั่นเอ๋อ รับพระราชโองการ”
“ด้วยโองการแห่งฟ้า ฮ่องเต้จึงทรงมีพระบัญชา จวนโอ วหยางเป็นขุนนางผู้จงรักภักดีและซื่อสัตย์มาจากรุ่นสู่ รุ่น ทั้งยังเป็นแบบอย่างที่ดีของเหล่าข้าราชบริพาร ทรง พระราชทานยศ โอวหยาง… “กล่าวถึงตรงนี้ โอวหยางเห ยียนเสี้ยวดวงตาก็ได้ฉายแววครุ่นคิดเล็กน้อย มองไป ยังโอวหยางหวั่นเอ๋อที่สีหน้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง จึงส่ง เสียงไม่พอใจ และกล่าวต่อไป
“ทรงพระราชทานยศ กุ้ยเฟย(พระสนมเอก)ให้แก่โอว หยางเหยียนเสี้ยว และ พระราชทาน โอวหยางหวั่นเอ๋อ ให้แก่อ๋องอันเล่อเป็นพระชายาหวั่น ตามนี้”
กล่าวจบ ถือโอกาสมองไปทางโอวหยางหวั่นเอ๋อที่นั่ง คุกเข่าบนพื้นอย่างลำพองใจ อดรนทนไม่ไหวที่จะคุยโว โอ้อวดถึงฐานะที่สูงส่งกว่าผู้อื่นไปหนึ่งขั้นของตน
“ยินดีกับน้องสาวด้วย พี่สาวไม่มีอะไรจะให้น้องสาว มี เพียงกําไรหยกมรกตนี้ หวังว่าน้องสาวจะรับไว้”
โอวหยางหวั่นเอ่อลุกขึ้นยืนอย่างสงบนิ่ง การแสดงออก ปราศจากร่องรอยอารมณ์ใดๆ ยกมือขึ้นถอดกำไลข้อ มือหยกมรกตทั้งสองวงออกจากมือ ส่งให้แก่โอวหยางเห ยียนเสี้ยว มองไป ไม่มีความอิจฉาริษยาแม้แต่น้อย มี เพียงความอบอุ่นระหว่างพี่น้องเพียงเท่านั้น
“ฮ่า ฮ่า ขอบใจพี่สาวเป็นอย่างมากเจ้าค่ะ ทว่าของขวัญ ที่สําคัญเช่นนี้เป็นของที่ท่านแม่ของพี่สาวมอบให้แก่พี่ สาวมิใช่หรือ ข้าจะรับไว้ได้อย่างไร พี่สาวนำกลับไปเถิด “โอวหยางเหยียนเสี้ยวยิ้มบางๆ ขณะที่กล่าวก็ได้ผลัก ของคืนให้แก่โอวหยางหวั่นเอ๋อ
หากมองจากสีหน้า ก็คล้ายว่าสองพี่น้องต่างก็มีความ ถ่อมตนและความเอื้อเฟื้อ หาได้รู้ไม่ นั่นก็เป็นเพียงแค่ การแสดง
โอวหยางเหยียนเสี้ยวดวงตามีประกายโหดร้ายคล้าย กับอาวุธที่แหลมคมแวบผ่านเล็กน้อย ขณะที่ผลักของ คืนให้แก่โอวหยางหวั่นเอ๋อ กลับใช้มือตีไปที่มือของโอ วหยางหวั่นเอ๋ออย่างแรง โอวหยางหวันเอ๋อเก็บมืออีก ข้างไม่ทัน พลั้งมือทำกำไรหยกเนื้อดีทั้งคู่ร่วงลงพื้น ได้ ถ่ายทอดเสียงอันไพเราะของกระเบื้องเคลือบแตกเป็น เสี่ยงๆ
“เจ้า เป็นเจ้าที่ตั้งใจ…”หลิงหลงมองไปยังชิ้นส่วนที่อยู่ บนพื้นแตกเป็นเศษเล็กเศษน้อย แววตาโกรธแค้นมอง ไปยังใบหน้าที่ยิ้มแย้มของโอวหยางเหยียนเสี้ยว โดยไม่ คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างนายและบ่าวรับใช้พลางชี้ ไปทางโอวหยางเหยียนเสี้ยวและกล่าวขึ้น
“บังอาจ บ่าวรับใช้อย่างไรก็เป็นบ่าวรับใช้ เหตุผลใดที่ จักต้องปีนขึ้นมาบนหัวนาย? หรือว่าเจ้าทำเช่นนี้กับนาย เป็นปกติอย่างนั้นหรือ? ปีนขึ้นไปบนหัวนายเพื่อวางอำนาจบาตรใหญ่อย่างนั้นหรือ? “โอวหยางเหยียน เสียวมองไปที่หลิงหลงอย่างน่าเกรงขาม แม้ปากจะบอก ว่าสั่งสอนบ่าวรับใช้ แต่ผู้คนต่างก็มองออกว่าโอวหยาง เหยียนเสี้ยวกำลังชี้ที่ต้นหม่อนแต่ด่าต้นยวาย (อุปมาถึง การ ค่าอีกคน แต่ที่จริงกำลังว่าอีกคน )
“น้องสาว ปล่อยผ่านไปเถิด คนของข้า ข้า กอบรมสั่ง สอนเอง ไม่จำเป็นต้องให้น้องสาวเก็บมาใส่ใจ “ในแววตา ที่ไม่แสดงออกใดๆของโอวหยางหวั่นเอ๋อในที่สุดก็มีความ รู้สึกโมโหอยู่บ้างแล้ว พลันมองไปยังโอวหยางเหยียน เสี้ยวที่มีท่าทีอวดดีและเอ่ยขึ้น
ตั้งแต่ใบหน้าของตนเองถูกทำลายลง โอวหยางเหยียน เสี้ยวก็ได้เป็นที่โปรดปรานของผู้คนในวงศ์ตระกูล
ไม่มีผู้ใดที่ต้องการให้หญิงสาวผู้ที่สูญเสียใบหน้ากลาย มาเป็นความภาคภูมิใจของตระกูลตนเอง แม้ว่าในอดีต จะเคยมีชื่อเสียงมากแค่ไหนก็ตาม ดังนั้น ไม่ว่าโอวหยาง หวั่นเอ๋อจะเคยได้รับการยกย่องจากฮ่องเต้องค์ก่อนว่า เป็นสตรีหนึ่งในใต้หล้า ทว่าหลังจากใบหน้าถูกทำลายลง ก็ได้สูญเสียการถูกสรรเสริญเยินยอไปเช่นกัน
ไม่ว่าตระกูลโอวหยางจะโปรดปรานโอวหยางหวั่นเอ๋อที่ มีพรสวรรค์ผู้นี้อย่างไร แต่ว่าสำหรับหญิงสาวใบหน้าถือ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เช่นนั้นจึงทำได้แต่ทอดถอนใจ
“ฮ่าฮ่า พี่สาว จะปล่อยผ่านได้อย่างไรเล่า ถึงแม้จะ กล่าวว่าพี่สาวพลั้งมือทํากําไรข้อมือที่งดงามเช่นนี้หล่น แตก แต่ข้าเห็นว่าสาวใช้ผู้นี้ปากคอเราะร้าย เวลาปกติ จะต้องเป็นมีนิสัยหยาบคายอย่างแน่นอน พี่สาวมินิสัย ที่อ่อนโยนเช่นนี้ ข้าเกรงว่าสาวใช้ที่ไม่ได้รับการสั่งสอน ผู้นี้ ซักวันอาจจะรังแกผู้เป็นนายก็เป็นได้ พี่สาวอย่าได้ ปฏิเสธ ให้น้องสาวช่วยเหลือพี่สาวเถิด”
โอวหยางเหยียนเสี้ยวยิ้มบางๆ เพียงคำพูดไม่กี่ประโยค กลับทำให้เรื่องที่ตนทำกำไรหยกหล่นแตกนั้นราวกับไม่มี ความเกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย ทั้งยังกล่าวโทษโอวหยาง หวั่นเอ๋อทีมือไม่มั่นคงเองด้วยรอยยิ้มที่บางเบา ทว่าขณะ ที่ลงมือกลับทําอย่างโจ่งแจ้ง จึงได้หันไปตบหน้าของหลิง หลงด้วยความแค้นเคือง
“เพียะ”เสียงฝ่ามือดังกังวานออกมาจากห้องใต้หลังคา ของหญิงสาว หลิงหลงกุมใบหน้าด้านซ้ายของตนอย่าง เจ็บปวด
และจ้อมมองไปยังโอวหยางเหยียนเสี้ยวอย่างไม่ ยินยอม
โบราณกล่าวไว้ว่า ตีสุนัขจักต้องดูเจ้าของ วันนี้ โอว หยาวเหยียนเสี้ยวไม่เพียงแต่รังแกโอวหยางหวันเอ๋อตาม อำเภอใจ การกระทำทั้งหมดมิใช่อย่างที่น้องสาวควรจะ เป็น นอกจากนั้นยังตบหลิงหลงต่อหน้าโอวหยางหวั่นเอ๋อ นี่มิต่างจากการตบหน้าของโอวหยางหวั่นเอ๋อหรอกหรือ ซึ่งเดิมทีนางก็มิได้เห็นพี่สาวเช่นตนอยู่ใน สายตาอยู่แล้ว
“เห็นได้ชัดว่าเป็นคุณหนูสามเป็นผู้ที่ทำผิด เหตุใดต้อง ตีบ่าวเจ้าคะ”หลิงหลงกุมใบหน้าด้านซ้ายของตนที่เริ่ม รู้สึกแสบร้อน มองไปที่โอวหยาวเหยียนเสี้ยวพลางกล่าว อย่างไม่ยินยอม ดวงตากลมโตคู่หนึ่งมองไปทางโอว หยางหวั่นเอ๋อ ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกไม่ได้ รับความยุติธรรม
“เหอะ บ่าวรับใช้ช่างบังอาจยิ่งนัก คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะ กล้าพูดจามั่วซั่ว? “โอวหยางเหยียนเสี้ยวฟังอย่างโกรธ เคือง และมองไปยังหลิงหลงราวกับต้องการจะยกมือตน ขึ้นมาว่าจะตบลงไป
“น้องสาว ข้าบอกเจ้าไปแล้ว สาวใช้ของข้า ข้าจักอบรม สั่งสอนด้วยตนเอง ไม่ต้องการให้เจ้าเข้ามายุ่งวุ่ยวาย ดอก”โอวหยางหวั่นเอ่อมองไปที่โอวหยางเหยียนเสี้ยว ที่ทำราวกับจะตบหลิงหลงอีกรอบ ขมวดคิ้วและยืนขัด ขวางอยู่หน้าหลิงหลง พลางมองไปยังน้องสาวที่บิดา เดียวกันแต่ต่างมารดาของตนแววตาเต็มไปด้วยความ ต้องการที่จะขัดขวาง
“หึ เป็นบ่าวรับใช้ที่ต่ำช้านัก วันนี้ถือว่าเจ้าโชคดี หาก เจ้ายังกล้าเหิมเกริมอีก แม้ว่าจะพบท่านพ่อของข้าก็จัก ไม่ไว้ชีวิตเจ้าอย่างแน่นอน”
โอวหยางเหยียนเสี้ยวกล่าวอย่างไม่พอใจ พลางมองไป หลิงหลง
ไม่ทราบว่าเหตุใด แม้เห็นชัดได้ว่าตนเองเป็นฝ่ายได้ เปรียบ ทว่ากลับรู้สึกว่าอยู่ภายใต้สายตาที่ถูกเพ่งมอง จากโอวหยางหวั่นเอ๋อ ตำแหน่งของทั้งสองคล้ายว่าสับ เปลี่ยนอย่างไรอย่างนั้น ราวกับว่าตนเองต่างหากที่เป็นผู้ ที่ถูกรังแก
โอวหยางเหยียนเสี้ยวสะบัดศีรษะไปมาเพื่อสลัดทิ้ง ความรู้สึกเช่นนี้ของตนออกไปอย่างระอา รวมถึงเป็นการ ปลอบใจตนเองว่านี่คือความรู้สึกที่ไม่ถูกต้อง
ในไม่ช้าตนเองจะได้เป็นถึงพระสนมของฮ่องเต้แล้ว หลังจากนั้นก็จักสูงส่งไปกว่าผู้อื่นอีกหนึ่งขั้น
อย่าได้ไปอิจฉาริษยาความสามารถของโอวหยางหวั่น เอ๋ออีกเลย
มีความสามารถแล้วอย่างไร? มิใช่ว่ายังต้องไปแต่งงาน กับคนโง่ผู้หนึ่งหรอกหรือ
โลกใบนี้ เพียงมีรูปโฉมที่งดงาม จึงจะถือได้ว่าสำคัญ ที่สุด
โอวหยางเหยียนเสี้ยวส่งเสียง หึ เบาๆ คิดได้เช่นนี้แล้ว ก็ให้รู้สึกผ่อนคลายลงไปอย่างมาก พลันมองไปที่ โอวหยางหวั่นเอ๋อและกล่าวว่า
“พี่สาว วันนี้ข้าเหนื่อยแล้ว ก็ไม่อยากที่จะคุยเรื่อย เปื่อยกับพี่สาวแล้ว”
กล่าวจบ ก็ไม่แม้แต่ปฏิบัติมรรยาทขั้นพื้นฐานแก่หวั่นเอ๋ ถือโอกาสเดินออกไปท่ามกลางกลุ่มคนที่ติดตามมา
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ