เมียลับนายหัว

บทที่ 1 ย้อนอดีต 1



บทที่ 1 ย้อนอดีต 1

เด็กนักเรียนชั้นอนุบาลกำลังทำกิจกรรมอยู่ในสนาม วันนี้ คุณครูพาเด็กๆ มาออกกำลังกายและเรียนรู้เรื่องการปลูกต้นไม้ แต่ด้วยความเป็นเด็กจึงวิ่งเล่นกันเสียส่วนใหญ่

“โอ๊ย!” เสียงร้องเจ็บดังจากปากเด็กหญิงรสสุคนธ์หรือน้อง หวาน ที่ถูกเด็กชายอัศวินหรือโด่งแกล้งด้วยการดึงหางเปีย แรงๆ จนอีกฝ่ายหน้าหงาย และไม่เพียงแค่ร้องเจ็บ น้องหวานยัง ร้องไห้อีกด้วย

“โด่ง เธอแกล้งหวานทำไม” คนถามเดินมาหาเพื่อนที่ถูก แกล้ง และถามหัวโจก นำตัวมาขวางร่างน้องหวาน ปกป้องเพื่อน เต็มที่ แม้ว่าเด็กชายยศวินจะตัวใหญ่กว่า ทว่ากัญญาพัชรก็ไม่ กลัว

“ก็อยากแกล้ง” โด่งตอบกวน

“เธอเป็นผู้ชายนะ รังแกผู้หญิงไม่ดี แม่บอกว่าผู้ชายที่รังแก ผู้หญิงเป็นผู้ชายไม่ดี” เด็กหญิงกัญญาพัชรหรือน้องขนมต่อว่า เพื่อน

“แล้วมายุ่งอะไรด้วย เราไม่ได้แกล้งเธอซะหน่อย

“เราช่วยหวาน หวานเป็นเพื่อนเรา เธอห้ามแกล้งหวานอีก นะ ถ้าแกล้งอีกเจอดีแน่

หนูน้อยน้องขนมบอกอัศวินที่ลอยหน้าลอยตาไม่เชื่อฟัง
“เราจะแกล้ง แกล้งเธอด้วย

พูดจบก็ผลักหัวไหล่กัญญาพัชร แต่หารู้ไม่ว่า คนที่อัศวินกำลัง แกล้งไม่เหมือนรสสุคนธ์ที่ยอมให้แกล้งง่ายๆ กัญญาพัชรผลัก อัศวินและใช้กำปั้นน้อยๆ ชกไปที่หน้า แม้ว่าน้ำหนักในการชกจะ ไม่แรงมาก แต่ก็ทำให้อัศวินร้องไห้จ้า วิ่งไปฟ้องครู

“น้องขนมแกล้งโด่งทำไมครับ” นิรมลเดินมาพร้อมกับอัศวินที่

ตอนนี้สะอื้นไห้

“โด่งมาแกล้งน้อนขนมก่อนค่ะ แล้วก็แกล้งหวานด้วย หวานก็ ร้องไห้” กัญญาพัชรบอกคุณครู

“ใช่ค่ะคุณครู โด่งแกล้งหนูค่ะ แล้วก็แกล้งขนมด้วยค่ะ” น้อง หวานพูดเสริม

“โด่งทําอย่างนั้นหรือเปล่าครับ” ครูถามโด่งที่พยักหน้า “เป็น

เพื่อนกันอย่าแกล้งกันนะครับ ต้องรักกัน ช่วยเหลือกัน โด่งทำผิด

โด่งต้องขอโทษขนมกับหวานนะครับ

“เราขอโทษ” น้องโด่งเอ่ยเสียงเบา กัญญาพัชรยิ้มเอื้อมมือมา จับมือ โด่ง

“เราไปเล่นกันเถอะ” ความเป็นเด็กยังไม่รู้เรื่องรู้ราว เมื่อกี้ยัง ทะเลาะกัน ตอนนี้พากันไปวิ่งเล่นในสนามรวมกับเพื่อนๆ นิรมล ยิ้มเมื่อเห็นความไร้เดียงสาของนักเรียนที่ตนดูแล โดยเฉพาะ กัญญาพัชรที่มีความแสบและความน่ารักไปในตัว เป็นเด็กหญิง ที่ไม่ให้ใครมารังแก และไม่เคยไปรังแกใครก่อน แถมยังชกและ เตะเก่งด้วย เธอเคยถามว่าใครสอน ค่าตอบที่ได้คือ มารดา
ลูกไม้หล่นไม่ไกลตัน…

มือถือยี่ห้อดังถูกวางอยู่ตรงขาตั้งมือถือที่ปรับระดับได้ระดับ ความสูงถึงสองเมตร เจ้าของมือถือกดตั้งระบบถ่ายวิดีโอไว้ ก่อนรีบวิ่งมายืนประจำที่เตรียมตัวถ่ายวิดีโอพร้อมกับกัญญาภ รณ์และกัญญาพัชรหลานสาว

“พร้อมนะ..ไป” กัญญาภรณ์บอกชุติมาและกัญญาพัชร ลูกสาว จากนั้นเสียงเพลงก็ดังขึ้น ทั้งสามกำลังร้องเพลงโคฟ เวอร์เพลงยอดฮิตที่ดาราและคนดังต่างพากันทำคลิปลงยูทูป นั่น คือเพลงซุปเปอร์วาเลนไทน์ ศิลปินสามสาววง ซุปเปอร์ วาเลนไทน์

สองสาวหนึ่งเด็กหญิงร้องและเต้นท่าเต้นตามที่ซักซ้อมไว้ จน มาถึงท่อนสำคัญของเพลง ทั้งสามก็ผลัดกันร้องทีละคน เริ่มจาก เด็กหญิงกัญญาพัชรวัยสี่ขวบ สวมชุดเดรสยีนลายการ์ตูน ผม หยักศกยาวเลยว่ามาเล็กน้อยถูกเกล้าสูงมีที่คาดผมมงกุฎสวม ไว้กลางศีรษะ ปล่อยผมหน้าม้าไว้เช่นเคย กัญญาภรณ์ยืนอยู่ข้าง ซ้าย ส่วนชุติมายืนอยู่ข้างขวา

“เจนค่ะเจนค่ะ หนูชื่อเจนมากับนุ่นและก็มากับโบว์”

เด็กหญิงตัวน้อยเต้นไปตามท่วงท่าที่ชุติมาสอน ตามองมือถือ และยิ้มอย่างมีความสุขก่อนส่ายสะบัดไปตามจังหวะ มืออูมๆ ทำท่าทาง อยู่ตรงบริเวณแก้มทั้งสองข้างอย่างน่ารัก

“นุ่นค่ะนั่นค่ะหนูชื่อนุ่นมากับเจนและก็มากับโบว์” ท่อนนี้กัญญาภรณ์เป็นคนร้อง เธอสะบัดเอวพลิ้วไหวอย่างสวยงามราวกับว่าเป็นนักเต้นมืออาชีพ

“โบว์ค่ะ โบว์ค่ะหนูชื่อโบว์มากับนุ่นและก็มากับเจน” เจ้าของ ท่อนนี้คือชุติมา ก่อนที่ทั้งสามจะร้องเพลงพร้อมกัน เต้นท่วงท่า เหมือนกัน จนกระทั่งจบเพลง

“น้าขอไปดูก่อน” ชุติมาเดินไปหยิบมือถือมาเปิดดูคลิปที่อัด ไว้ “โห…เพอร์เฟ็กสุดๆ

“ไหนๆ ขอดูหน่อย” กัญญาภรณ์มายืนข้างชุติมา ก้มหน้าดู คลิปที่อัดไว้เมื่อครู่ “เพอร์เฟ็กจริงด้วย”

“แม่ น้อนขนมหิวข้าว” มีเพียงคนเดียวที่ไม่ได้เข้าไปดูคลิป เนื่องจากท้องร้องประท้วงหิว กัญญาพัชรมีปัญหาเรื่องออกเสียง ง.งู ซึ่งออกเสียงไม่ได้ คำว่าน้องจึงเป็นคำว่านอน เวลาเรียกแทน ตัวเสียงที่ออกมาคือ น้อนขนม

“น้าทำไข่พะโล้ไว้ เดี๋ยวน้าไปตักให้นะ” ชุติมาบอกหลาน

“น้อนขนมไปเอากะมังให้ค่ะ” กัญญาพัชรรีบวิ่งเข้าไปในครัว โดยมีชุติมาเดินตามไป เด็กหญิงหยิบชามข้าวใบโตที่ใหญ่กว่า ชามปกติและทำจากสแตนเลสที่ตัวเองเรียกว่า กะมังที่ย่อมาจาก กะละมังมาวางไว้ใกล้หม้อหุงข้าว

“เมื่อไหร่จะเลิกกินในชามใบนี้สักที รู้ไหมว่ามันใหญ่มาก ชุติมาถามหลาน

“น้อนขนมชอบ เหมือนไอ้ด่านไงคะ มันก็กิน ในกะมังใบใหญ่ คนเป็นน้าสายหัวและยิ้มกับคำพูดของหลานสาว เป็นเพราะเธอแท้ๆ กัญญาพัชรถึงได้ยึดชามสแตนเลส ใบนี้เป็นชามข้าว ประจำตัว วันนั้นเธอนั่งกินข้าวอยู่หน้าบ้านกับหลานสาว ป้ายุ่ง ข้างบ้านนาข้าวมาให้ไอ้ต่างหมาบ้านฝั่งตรงข้ามที่เจ้าของบ้านไว้ วาน ให้ป้ายุ่งเอาข้าวมาให้หมาตัวเอง เป็นเพราะเจ้าของบ้าน กลับบ้านไม่เป็นเวลาจึงห่วงหมาของตน กัญญาพัชรเมื่อเห็น กะละมังข้าวที่ป้ายังวางไว้ก็พูดตามประสาเด็ก

“ไอ้ด่านกินข้าวเยอะจัง กินชามเบ้อเริ่ม

“ไอ้ด่างมันกินไง กินเหมือนขนมนะ แต่มันกินที่เดียวใส่ กะละมัง ไม่เหมือนขนมที่กินหลายชามก็ต้องตักหลายครั้ง

“ถ้างั้นนอนขนมก็กินทีเดียวเหมือนไอ้ด่าน น้าจะได้ไม่ต้อน เหนื่อยตกหลายครั้น” พูดจบเด็กหญิงก็วิ่งเข้าไปในบ้านกลับมา พร้อมกับชามสแตนเลสที่เอาไว้สำหรับทาย่า ทำขนมและแช่ผัก มาให้ชุติมา “นายเทข้าวใส่กะมังให้น้อนขนมหน่อย

“ใส่ทำไมคะ” ชุติมาถามหลาน

“น้อนขนมจะกินเหมือนไอ้ด่านค่ะ กินในกะมัง กินจุกินทีเดียว” ชุติมาอมยิ้มกับคำพูดช่างจ้อของหลานสาว และนับตั้งแต่นั้น กัญญาพัชรก็มีชามข้าวประจำตัว

“กินจุแบบนี้ระวังอ้วนนะ อ้วนแล้วไม่สวยนะจะบอกให้

“น้อนขนมไม่กลัวอ้วน น้อนขนมกลัวอดตาย” เด็กหญิงพูดไป เรื่อย ชุติมาสายหัวก่อนส่งชามข้าวให้หลานสาวที่รีบวิ่งไปนั่งกิน ตรงโต๊ะหน้าทีวี ชุติมามองหลานสาวแล้วหยิบมือถือขึ้นมาถ่าย รูปเก็บไว้หลายรูป ทั้งหน้าตรง ด้านข้างทั้งข้างซ้ายและขวา ยืนยิ้มกับภาพอยู่ในมือถือ

“ยืนยิ้มแบบนี้จะส่งไปให้เขาอีกล่ะสิ” กัญญาภรณ์ถามอย่าง ทัน

“ใช่น่ะนี่ไม่ได้ส่งให้กว่าแล้วกระตุ้นนายหัวพล่านซะหน่อย สะใจพี่ไม่เหรอ”

“ก็เหมือนกัน ไม่ส่งไปนานแล้ว ป่านครั้งเห็นแต่ข้างๆ เหมือนก่อน ได้ดิ้นเหมือนหมาโดนน้ำร้อนลวก

ตั้งครั้งตอนกัญญาภรณ์ภาพลูกสาวให้สิงหนาททุกสามเดือน มาห่างตอน สาวขวบกว่า มาส่งให้สาวอีกครั้งตอนสองขวบ สามเดือน ส่งให้อีกภาพ อีกเจ็ด เดือนส่งภาพหนึ่ง แล้วจากนั้นได้อีก

ทุกครั้งกัญญาภรณ์ส่งน้องบ้านพจน์ทุกครั้งเพื่อถามหาตน ทว่าพจนไม่ว่ากัญญาภรณ์ อยู่คุยกันแต่ละครั้งลูกสาวโตเป็นฝ่ายโทรหาด้วย เบอร์ใหม่ พอคุยเสร็จหักทิ้ง ตัวเองอยู่ที่ใด หายเข้ากลีบเมฆพร้อมลูกสาวและชุติมา

ความรู้สึกของสิงหนาทตอนนี้เหมือนปลากำลังว่ายอยู่ใน คลองเกือบแล้งน้ำ จะตายตายไม่ได้ อยู่อยู่แบบทรมาน เห็นหน้าลูกแต่ได้ใกล้และอุ้มชู มันคือความทรมานอันเจ็บ ปวด กัญญาภรณ์เรื่องดี เธอไม่สงสารสิงหนาท กลับสะใจที่เขาเป็นเช่นนี้

คิดพรากลูกไปจากตนเหรอ…ไม่มีทาง

ขณะที่ชุติมากำลังส่งภาพไปให้สิงหนาทด้วยวิธีเดิม คือ สร้างแอปโคลนขึ้นมาในมือถือ ก่อนสมัครไลน์ใช้เข้าระบบด้วย เฟสบุ๊กที่สร้างขึ้นมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ ใช้วิธีนี้เขาไม่มีทาง สืบหาคนส่งได้ พอส่งเสร็จก็ทำการบล็อกทันที สิงหนาทเปิดอ่าน ข้อความได้แต่ไม่สามารถโต้ตอบกลับมาจนกว่าชุติมาจะปลด บล็อก ซึ่งชุติมาจะปลดบล็อกก็ต่อเมื่อส่งภาพให้พ่อของน้องขนม ดู แล้วที่รู้ว่าสิงหนาทคลั่งยามได้ดูหน้าลูกเป็นเพราะ กัญญาภรณ์ มีสายสืบคอยดูความเคลื่อนไหวของสิงหนาท ที่รายงานทั้งเสียง และส่งภาพให้ดู ระหว่างที่ชุติมากำลังส่งภาพให้สิงหนาท กัญญาภรณ์เดินมานั่งใกล้บุตรสาวที่กินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย พรางนึกถึงเรื่องราวในอดีต เรื่องที่ทำให้ตนต้องพบเจอกับ สิงหนาท


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ