บทที่ 1 ประหารยกครัว
บทที่ 1 ประหารยกครัว
แยกถนน เวลาย่ารุ่ง เดิมทีนี้เป็นช่วงเวลาที่เงียบสงบ
ที่สุดของวัน
ทว่าวันนี้ ความสงบของถนนสายการค้าทั้งสาย กลับถูก
กองกำลังขนาดใหญ่จากมุมฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของ
วังหลวงทําลายจนสิน
รถคุมนักโทษหลายสิบคันถูกควบคุมโดยองครักษ์หลวง
เกือบหมุน เคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ออกจากวังบูรพา
ถนนยาวไปสิบลี ศีรษะคนเบียดเสียดชะเง้อชะแง่สอง
ข้างทางแน่นขนัดไปด้วยชาวบ้านที่มามุงดูทหารคุ้มกัน
แน่นหนา กันคนออกเป็นสองฝั่ง ไม่อนุญาตให้พวกเขาเข้าใกล้รถ
คุมนักโทษ
ท่ามกลางบรรยากาศหนาวเย็นและหนักถึง ฝูงชนเริ่ม
กระซิบกระซาบ
“มีเรื่องอะไรกันเล่า? ขบวนใหญ่โตปานนี้ นักโทษ
ประหารมาจากไหนมากมาย?” “นักโทษประหารอะไร เมื่อครู่เจ้าไม่
เห็นว่ารถคุมนักโทษคนแรกด้านหน้าโน้นมีใครนั่งอยู่ข้างใน ข้าจะบอก
ให้เป็นองค์รัชทายาท!” “จะเป็นไปได้อย่างไร? เมื่อวานตอนบ่า ยอ่อนๆ ข้าไปขายผัก ตลาดเหนือ ยังเห็นรถม้าขององค์รัชทายาทกับ
ดัง นอ๋อง (1) กำลังกลับจวนหลังเลิกประชุมอยู่ไกลๆ
อยู่เลย ได้ยินว่าท่านหญิงสวนหยางชนะศึกที่ชายแดน
อีกคร้ งแล้ว ฮ่องเต้ พระทัย ยังตบรางวัลให้เป็น
พะเนิน!” “เอ๋อันนี้ เจ้าก็พูดถูก เรื่องก็ยังคงเกี่ยวกับตัวดังจนอ๋อง
นี่แหละ” “อย่างไรเล่า?” “ได้ยินว่า คงจวินอองไม่ใช่สายเลือดแท้ๆ
ขององค์
รัชทายาท แต่เป็นโอรสขององค์หญิงฉางๆ อะไรสัก
อย่างในราชวงศ์ก่อน! ซื้อข้านึกไม่ออกแล้ว แต่เรื่องเป็นราวๆ นี้ แน่! พวกเจ้าก็ไม่ลองคิดดูพอเรื่องนี้ แดงขึ้นมา
จะมีโทษทัณฑ์ใด? ซุกซ่อนกากเดนของราชวงศ์ก่อนเอา
ไว้! นีเท่ากับคิดกบฏ! ไม่ว่าจะตกอยู่บนหัวใคร ก็มีแต่
โทษหนักอย่างยึดทรัพย์ประหารยกครัวทั้งนั้น! เห็น รวมแล้วสามร้อยหกสิบแปดชีวิต กระทั่งคนที่รับผิดชอบ
ขบวนรถคุมนักโทษพวกนี้ไหม? วังบูรพาบนๆ ต่างๆ
เทเศษอาหารหลังบ้านก็จะโดนประหารที่มีทั้งหมด ถนนข้างหน้านั้นมีติดประกาศออกมาแล้ว ล้วนแต่โทษตาย
สักคนก็ไม่เว้น!” “องค์รัชทายาทนี เป็นโอรสแท้ๆ ของฮ่องเต้เชียวนะ
คน
ต่างพูดว่าแม้เสือจะดุร้ายแต่ก็ไม่กินลูกตัวเอง… ” “วว! เจ้าอยาก ตายหรือไง ถึงกล้าวิพากษ์วิจารณ์ฮ่องเต้ลับหลัง? เจ้ามีหัวกัน?” “อ้อ!
แต่เรื่องนี้ คิดๆ ดูไปก็แปลก เจ้าเข้าใจอะไรผิด
หรือเปล่า องค์รัชทายาทเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ของ
ราชวงศ์เรา ภายภาคหน้าก็คือคนที่จะได้เป็นฮ่องเต้
แล้วจะไปช่วยเลี้ยงลูกชายขององค์หญิงอะไรนั้นใน
ราชวงศ์ก่อนทำไม …. นี่มันฟัง เสียที่ไหน!” “ใครจะไปรู้ล่ะ! สรุป
ก็คือข่าวนี้ แน่ยิ่งกว่าแช่แป้ง เจ้า
ผู้นำขบวนหน้าสุดนั้น เห็นไหม? นั่นน่ะ ที่ใส่ชุดทางการ
สีแดง นั่นก็คือหวงล่างซุน [2] ของฮ่องเต้! เขาเป็นคน
บอกความลับนี้ กับฮ่องเต้ด้วยตัวเอง หวงล่างซุนนั้นเป็น
ใคร เป็นลูกชายแท้ๆ ขององค์รัชทายาทเชียวนะ เรื่องนี้
ท่าจะจริงถึงแปดส่วน ว่ากันว่าฮ่องเต้เห็นแก่เรื่องที่เขารายงาน น ประเสริฐ ทั้งวังบูรพาถึงได้มีเลือดเนื้อก้อน
หนึ่งเหลือรอดมาได้อย่างไรล่ะ เพื่อแสดงความภักดี
วันนี้ เขากับใต้เท้าเหยียนหลังแห่งกรมอาญาถึงได้มาเป็นผู้คุมการประหารด้วยกัน” “บุตรฟ้องบิดา บิดาฆ่าบุตร เรื่องใน
ราชวงศ์นีมัน
ช่าง…” “ชูวว! รับเลิกพูดเถอะ นักสืบจากในวังมาโน่นแล้ว
ท่ามกลางเสียงจ้อกแจ้กจอแจของฝูงชน แท่นประหาร
จากหัวถนนยาวไปจนสุดสีแยกท้ายถนน ฝูงชนพากัน
ล้อมอยู่รอบลานประหาร กระทั่งยังยากจะไหลผ่านไปได้
สิบห้านาทีแรกของยามเหม่า (3) หวงล่างชุนนามว่า ฮุย ด้วยฐานะหนึ่งในเจ้าหน้าที่ที่ทำการคุมประหารได้
ทําการอ่านพระราชโองการของฮ่องเต้
เหตุด้วยองค์รัชทายาทแอบซุกซ่อนกากเดน ในราชวงศ์
ก่อน คิดวางแผนก่อกบฏ จึงถูกตัดสินโทษตาย ให้
ประหารยามอู่[4]
วังบูรพาบนๆ ต่างๆ ทั้งหมด ล้วนต้องโทษในข้อหาร่วม
รับรู้แต่ไม่ยอมรายงาน เพราะว่า คนที่เกี่ยวข้องกับคดี
นี้ มีมากเกินไป จึงต้องรีบเริ่มดำเนินการโดยเร็วองค์รัชทายาท
อันทีผมเผ้ากระเซิง สภาพแ
ถูกลากขึ้นไปบนแท่นประหาร รอการมาถึงของยาม อย่างสงบ คนอื่นๆ ถูกลากลงมาจากรถคุมขังเป็นกลุ่มๆ
กลุ่มละแปดคน แล้วประหารต่อหน้าธารกํานัล ดาบใหญ่ของเพชฌฆาตจะฟันลงหนึ่งครั้งทุกๆ ครึ่งค่อ สีเลือดสาดกระเซ็น ซากศพกองเกลือน บรรยากาศของฝูงชนที่กระสับกระส่ายและไม่เข้าใจ เหตุการณ์ในตอนแรกสงบลงแล้ว ทุกคนล้วนกลัน หายใจ แต่ละครั้ง คมดาบของเพชฌฆาต น บ ต่าง แลกมาซึ่งร่างทีสันสะท้านด้วยความอกสั่นขวัญแขวน
ของผู้คนมากมายนักโทษประหารถูกนำตัว นไปกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า
ก่อนจะ
เปลี่ยนเป็นศพที่ศีรษะกับร่างแยกจากกัน แล้วถูกลากลง
มาทิ ง
นับแต่ฟ้าสางจนกระทั่งถึงเที่ยงวัน ถนนทั้งสายต่างคลัง
ไปด้วยกลิ่นคาวเลือดเข้มข้น ภายในเมืองหลวงที่สงบสุข กลัวลุกลามไปอย่างช้าๆ มองดูศีรษะของผู้คนในวังบูรพากลงหลุนๆ ลงพื้น
รุ่งเรือง คล้ายจะเป็นเมืองที่ตายแล้ว ภายใต้แสงแดดอัน สดใส กลับมีบรรยากาศประหลาดและความมืดทึบ น่า
ฮุยเหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็ม สีหน้ากระวนกระวาย ปลายฤดูใบไม้ร่วงเดือนสิบ ลมหนาวโชยพัด แต่เขากลับเหงื่อชุ่มกาย”ใต้เท้าเหยียนหลิง นี่ก็ใกล้เคียงวันแล้ว คงให้ข้า
ลาโป
ก่อนได้กระมัง?” เห็นว่านักโทษกลุ่มสุดท้ายถูกนำตัว ขึ้นแท่นประหาร ฉู่ฉีฮุยถึงได้กล้อมแกล้มเปิดปากพูด
พวกกบฏ อย่างไรเสียก็เป็นบิดาของข้า ข้า
ฮ่องเต้ งเขามาคมการประหาร ก็เพื่อยืมโอกาสนี้ ให้เขา
แสดงความภักดีเขาไม่กล้าไม่มา แต่พอนึกถึงเรื่องที่ตน
หักหลังบิดาและพี่น้อง ใจยังคงรู้สึกหวาดผวา โดย
เฉพาะ…
ยังมีสวนหยาง น้องสาวร่วมบิดาต่างมารดาคนนั้นก็ไม่ ได้ติดร่างแห่ที่ทอดไว้นึกถึงจุดนี้ คล้ายว่าเส้นขนทั่วทั้ง
ร่างของเขาจะลุกซันเหยียนหลังจวิน ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะยาวแถวข้างเขา
ออกไปหลายตัวกำลังจิบนาชาอย่างสบายอกสบายใจ เสีพสำราญราวกับว่าไม่ได้ถูกกลิ่นคาวเลือดรบกวนเลย
แม้สักน้อย เวลานี้ เองถึงค่อยหรี่ตาลงเล็กน้อย เงยหน้าขนมองฟ้าที่มีดวงอาทิตย์ร้อนแรงห้อยสูงอยู่ มุมปากยก
ขึ้นเป็นเส้นโค้งงาม พิมพ์ความว่า “เวลาก็พอสมควร
แล้ว เชิญท่านชายตามสบาย!” “ประเสริฐ! ประเสริฐ” อยถอน หายใจด้วยความ
โล่งอก รีบประสานมือบอกลา ผละจากแท่นประหารที
เหลืออยู่แค่นักโทษอย่างองค์รัชทายาท อัน เร่งฝีเท้า
เดินลงไปจูงม้า” ใต้เท้า ยามอู่แล้วขอรับ!” ผู้ช่วยกรมอาญาผู้หนึ่
งก้าว
ออกมาข้างหน้า เอ่ยเดือนเหยียนหลังจนด้วยเสียงทุ้ม
ต่า “สมควรลงทัณฑ์นักโทษแล้ว” “อืม!” เหยียนหลังจวินตอบรับ
เสียงเบา แต่สีหน้าไม่
แสดงอารมณ์ยังคงหลุบตาจิบชาต่อ ผู้ช่วยคนนั น บ า
สั่ง รับเอาไม้ลงทัณฑ์มา กระแอมเสียงเล็กน้อย ยกมือ
เตรียมจะทง
ขณะนั้นเอง สายลมพลันผันเปลี่ยน ด้านหลังของฝูงชน
ออกันอยู่ มีเสียงฝีเท้ามาห้อกระชันฟังกังวานดังลอย
มาเวลานี ถนนสายประหนึ่งอเวจีบนโลกมนุษย์ก็ไม่ปานแม้เสียงสัก แอะก็หาไม่ ทว่าเสียงฝีเท้าของม้าศึกที่ควบ
มาอย่างเร่งร้อนนั้น กลับลงบนหัวใจของทุกผู้ทุกคน
ด้วยเสียงทีชัดเจน
เหล่าผู้ชมถอยออกเป็นสองฝั่งอย่างไม่รู้ตัว เพ่งมองไป ตามเสียง เห็นเป็นมาตร่างใหญ่ตัวหนึ่งพุ่งมาด้วย
ความเร็วประดุจสายฟ้า
บนหลังม้ามีสตรีอ่อนเยาว์ในชุดเกราะอ่อน ผมจึงถูกมัด
รวบเป็นหางม้าอย่างง่ายๆ สะบัดไหวตามลมมาตลอด
ทาง คิวตาเย็นชาติดจะขมวดมุ่น ดวงหน้าเกิดมาได้ อย่างงดงามหยาดเข็ม ดังเหมยแดง ผลิบานบน
หน้าผายอดเขาน่าแข็ง โดดเด่นเป็นสง่าท่ามกลางหิมะที
เริงระบำตามสายลม กระแทกเข้าสู่สายตาผู้คนให้เมามายจนยากจะ
ถอดถอน
แววตาสะกดใจ ผู้พบพานใดๆ หลงไหลตีนตะลึง
รอถึงตอนที่ทหารซึ่งควบคุมอยู่โดยรอบลานประหารรู้ตัว
อีกทีนางหนึ่งคนกับหนึ่งมาก็พุ่งทะยาน บุกกระโจน
ข้ามกำแพงมนุษย์ชั้นนอกสุดเข้าไปได้เป็นที่เรียบร้อย
“สวน… สวนหยาง?” ฉู่ฉีฮุยทีน นม้าไปครึ่งทางแล้ว
ได้สติก่อนใครเพื่อน เท้าลื่นพรีดร่วงตกลงมา เหงื่อเย็น
ผุดเต็มใบหน้า ท่าทางผวาหวาดกลัว
ทันทีที่คู่สวินหยางควบม้าบุกเข้าสู่ลานประหาร สายตาแหลมคม กวาดมอง พร้อมกันนั้นเองก็รับรู้ได้อย่างแม่น
ถึงการมีอยู่ของเขา สองขาหนีบลำตัวมาแน่น ถีบตัว
โผนทะยาน
การเคลื่อนไหวของนางแข็งแรงมีพลัง ท่วงท่าคล่อง
แคล่วปราดเปรียว วินาทีที่ถีบตัวลอยขึ้นกลางอากาศ
ทวนหิมะสีแวววาวที่อยู่ในมือขวามาโดยตลอดก็กระทบ เยียบ วินาทีถัดไปที่ตัวคนลงถึงพีน คมทวนก็ไป เบื้อง
เข้ากับแสงอาทิตย์เจิดจ้า เกิดเป็นประกายคมปลาบเย็น
หน้าของอู่ฮุยอย่างมั่งคง
“สวนหยาง ข้าเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเจ้านะ เจ้า…เจ้ามัน
อกตัญB เจ้าจะแตะต้องข้าไม่ได้!” ฮุยหน้าไร้สี
เลือด ถูกบีบให้ร่นถอยหลังก้าวแล้วก้าวเล่า”พี่ชาย?” ทวนในมือ
ของ สวนหยางจ่ออยู่ที่หน้าอก
ของเขา ไม่คลาดเคลื่อนไปสักนิด ก้าวเท้าไล่ต้อน จน
กระทั่งเขาจนมุมอยู่ที่ด้านล่างแท่นประหาร หมดสนทนทางหนีอย่างสมบูรณ์”มือเจ้าเปื้อนเลือดของคนในวัง
บูรพาตังมากมายเท่าไร ยังจะกล้าเสนอหน้ามานับญาติ กับข้า?” “ข้า… ข้าเองก็จนใจ!” น้องสาวคนมีนิสัยเช่นไร ฉู่ฉีย ชัดแจ้งแก่ใจดีอีกอย่างสติของเขาก็กระเจิดกระเจิงไป ตั้งแต่ตอนที่นางปรากฏตัวขึ้นเมื่อครู่นี้ แล้ว ตอนนี้ จะยืน ให้มันยังทำไม่ได้ขาพลันอ่อนยวบทรุดลงไปกองกับพื้น
มือก็คว้าทวนของนางไว้ไม่ยอมปล่อย อ้อนวอนด้วย
น ามูก ตาไหลพราก “สวนหยาง ข้าก็แค่ไม่อยากตาย เจ้า เจ้า อยากจะโกรธ ก็ไปโกรธน้องสอง โน่น หาก
ไม่มีเขา เรื่องราวก็คงไม่ต้องมาถึงจุดนี้ ! เพราะน้อง
สอง! เพราะเขา! ล้วนเป็นเพราะเขาไม่ดี!
น่าเสียงในสะอื่นของฮุย ราวกับคำสาปบทหนึ่งที่ ของนางไม่ยอมหยุด นางรู้สึกจุกแน่นอยู่ในอก ปวดร้าว ราวจะแตกสลาย หัวใจพลันสั่นไหวไปตัวหนึ่ง ฉวยโอกาสทีนางไม่ทันสนใจ นัยน์ตาของอู่ฮุยพลันลุก
ลอยมากระทบโสตของสวินหยาง กัดกินจิตวิญญาณ
โซนไปด้วยความหวัง ผลักทวนที่จ่ออยู่ตรงอกของตน ออกอย่างแรง หมุนกายพลิกตัวขึ้นไปบนแท่นประหารวิ่งไปทางเหยียนหลังจวนที่นั่งสงบอยู่หลังโต๊ะยาวเพราะว่าเขาลุกลน
จนเกินไป มือเท้าไม่คล่องแคล่ว วิง
ไปได้เพียงสองก้าวก็ล้มคะมาลงกับพี่น
นัยน์ตาของสวนหยางมีความเย็นเยือกแวบผ่าน รวบ
รวมสติกลับมาในพริบตา ใช้ปลายเท้าแตะพานเล็กน้อย
ลอยตัวตาม นไปที่ด้านบนของแท่นประหาร
ฮุยลุกขึ้นมาอย่างหัวหกก้นขวิด ล้มลุกคลุกคลานวิ่ง
ไปข้างหน้า
ตอนนี เอง เหยียนหลังจในที่ทำทีมาแต่เดิมว่าเรื่องราวไม่
ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับตนถึงค่อยขยับชุดทางการ หลังโต๊ะยาวใต้เท้าหยียนหญิง!” ฮุยเหมือนคว้าได้ฟางเส้นสุด
บนตัวอย่างสง่างาม ลุกขึ้นยืนแล้วเยื้องย่างออกมาจาก
ท้ายที่จะช่วยให้เขารอดชีวิต จับหมับเข้าทีชายแขนเสือ
หลบอยู่ด้านหลังเขา
สวนหยางยกทวนประจัญอยู่เบื้องหน้า บุรุษผู้นั้นกลับ
ไม่หลบไม่หนี
เพราะว่าหลายปีมานี ประจำการอยู่ชายแดน โอกาสกลับเข้าวังหลวงมีจำกัด สวนหยางไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์
กับคนผู้นี้ มากนัก แต่ก็เคยเห็นหน้าค่าตากันอยู่บ้างตาม งานเสียงในวังหลวง ซึ่งก็มีกลุ่มคนมากมายกันขวางอยู่ มักจะรู้สึกว่าในความกระจ่างปลอดโปร่งของคนผู้นี้ ให้
อารมณ์ไม่อาจคาดเดาได้กับผู้คนสัญชาตญาณในใจของสวน หยางร้องเตือน ทว่าทวน
ในมือกลับไร้ซึ่งความลังเล จ่อตรงไปที่คอหอยของชายผู้
นัน
เหยียนหลงจนกลับไม่มีท่าว่าจะลงมือสักนิด ทําเพียง
มองนางด้วยสายตาสงบ
ฉู่ฉีฮุยที่หลบอยู่ด้านหลังเขากลับขวัญเสีย กระตุกชาย
แขนเสื้อเขา ก เอ่ยปากร้อนรน “ใต้เท้าเหยียนหญิง นางต้องการชิงตัวนักโทษ! ช่วยข้าด้วย! ท่านช่วยข้า
ช่วยข้าที! นั่งเด็กคนนี้ มันบ้าไปแล้ว! นางจะฆ่าข้า
ด้วย!” “เรืองดูแลการประหารในวันนี้ อยู่ในหน้าที่ของข้า” เหยียนหลังจนยืดหลังตรง ดวงหน้าหล่อเหลางามสง่า ท่า ทางปลอดโปร่งตลอดสาย เวลานี้ เพิ่งจะเปิดปากพูด ด้วย เสียงราบเรียบไร้คลื่นลมว่า “ท่านหญิงต้องการ ฆ่าคน? ซึ่งตัวนักโทษ?”
จากที่ไม่หวั่นไหว ไม่มี ม ไม่พูด ตอนนี้เริ่มเกิดเป็น อารมณ์
คนผู้นี้ ตลอดเวลาเอาแต่วางมาดเป็นบัณฑิตผู้หนึ่ง แต่ สวนหยางยังคงเห็นอยู่ชัดๆ ว่ามือของเขาพลิกหมุน ฮุยได้แล้วจากนั้น ขณะที่เขากำลังก้าวอย่างมั่นคงผ่านร่างของ เพราะต้องทําตามหน้าที่ ข้าจะต้องรีบกลับไปย้ายทหาร
อย่างชำนาญ ครู่เดียวก็ดึงแขนเสื้อให้หลุดจากมือของ
นางไป วินาทีที่หัวไหลผ่านกัน ยังมีเวลาทันพยักหน้า
บอกความแก่นาง “เชิญท่านหญิงตามสบาย! เพียง
จากที่ว่าการมาช่วยเหลือ
ระหว่างเอ่ยวาจา อาภรณ์ พลิวสะบัดไหว เดินจากไป
ไกลได้หลายก้าวแล้ว
สวนหยางตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง หันศีรษะกลับไปมอง เขาก็พลิกกาย นมัาไปแล้ว
หน่วยองครักษ์ที่มาจากไกลๆ มุ่งเข้าโอบล้อมแท่นประหารไว้ทุกทิศ
ข้ามผ่านผู้คนที่กันกลาง สวนหยาง
คล้ายจะจับได้อยู่รางๆ ว่ามุมปากของเขายกนเล็กน้อย
ตอนที่เขาหันศีรษะกลับไป ยังคงใช้ เสียงราบเรียบดัง
อ่านทำนองเสนาะ เอ่ยว่า “ท่านหญิงฐานะสูงศักดิ์
เป็นขุนนางอันมีความดีความชอบต่อราชสำนัก ข้า
ต้องกลับวังเพื่อไปขอราชโองการเสียก่อน ท่านชาย ที่นี ท่วงท่าสูงสง่าดั้งเดิม ซึ่งห่างออกไปเรื่อยๆ วาจาที่เขาทิ้งเอาไว้กลับทิ้งความหวาดหวั่นไว้ในใจของ โดยผลการท่านหญิงสวนหยางเชี่ยวชาญการรบ ทั้งยังเป็นพระราช แต่หวงจางชนก็มิใช่ว่าได้รับการยกเว้นหรือ? ไม่แน่ว่า
ขอมอบให้ท่านชั่วคราวแล้ว
จบคำ ก็เอแส้ฟาดม้า ทะยานข้ามฝูงชนออกไปด้วย
ทุกคน ภายใต้สถานการณ์ตึงเครียด ไม่มีใครกล้าลงมือ
นัดดาแท้ๆ ของฮ่องเต้ถึงแม้ทั้งวังบูรพาจะถูกลงทัณฑ์
ท่านหญิงสวนหยางคนนี้ ก็อาจจะเป็นข้อยกเว้นด้วยก็เป็นได้
ฉีฮุยตกใจหัวใจแทบวาย ลุก ลุกลนพลางกวาดสาย
ตาลอกแลก ขณะที่กำลังสินหวัง ก็พลันหมุนตัวพุ่งไป หาองค์รัชทายาท อันที่ถูกมัดไว้ให้คุกเข่ารออยู่กลาง
แท่นประหาร
ก่อนทีสวนหยางจะตามจับได้ทัน เขาก็ลนลานควัก
กริชส์ นออกมาจากแขนเสื้อ จ่อเข้าที่คอของคนผู้นั้นเอ่ยเสียงกันว่า “เจ้าอย่าเข้ามา ถ้าเจ้าขยับเข้ามาอีก
ข้า… ข้าจะฆ่าท่านพ่อ!
ทวนพุ่งพรวดออกไปแล้วดึงกลับ ช่วงเวลาไม่ถึงหนึ่งกระ
พริบตา เลือดจานสาดกระเซ็น แทงทะลุอกของสองคน
ที่ซ้อนกันอยู่
องค์รัชทายาท อันผู้ไร้ซึ่งกำลังและหวงอ่างซุนฮุย
ต่างเลือดนองไหลทะลัก จบชีวิตลง ด้วยทวนในมือของ
บุตรีและน้องแท้ๆ ของพวกเขา
(1) วี นอ๋อง เป็นชื่อตำแหน่ง ที่ใหญ่รองลงมาจากอ๋อง ผู้รับตำแหน่งนี้ อาจเป็นพระโอรสของฮ่องเต้หรือ
พระโอรสขององค์รัชทายาทก็ได้
(2) หวงล่างชุน เป็นชื่อตำแหน่ง หมายถึงหลานชาย
คนโตของฮ่องเต้
[3] ยามเหมา คือช่วงเวลาประมาณ ตีห้าถึงเจ็ดโมง
เช้า (5.007.00 น.)
[4] ยาม คือช่วงเวลาประมาณ สิบเอ็ดโมงถึงบ่าย
โมง (11.0013.00 น.)[5] เค่อ เป็นชื่อเรียกหน่วยบอกเวลาของจีน
หนึ่งเคยมี
สิบห้านาที
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ