วัยโจ๋ ไฟแรง

บทที่ 4 คอไก่ที่ขว้างมาบนหัว



บทที่ 4 คอไก่ที่ขว้างมาบนหัว

ทุกคำพูดของเซี่ยเสว่ ก็เหมือนกำลังฉีกบาดแผลของผมเป็น ครั้งๆ เรื่องที่ถูกคนรังแกแบบนี้ ถึงจะโดนเป็นร้อยครั้งก็ไม่มีทาง นอยู่ …….

เซี่ยเสว่

ผมไม่พูดไม่พา ผมเจ็บใจจนแทบจะทนไม่ไหว “ครั้งต่อไป” เซี่ยเสว่พูดชัดถ้อยชัดคำว่า “ครั้งต่อไป นายต้อง ตอบโต้ ต้องสู้”

ผมไม่รู้ว่าจะพูดยังไง

“ถ้านายไม่ทํา” เซี่ยเสว่บอกว่า “ฉันจะทำแทนนายเอง”

ผมอึ้งไป

“ถ้านายคิดว่าการโดดผู้หญิงคนนึงปกป้องเป็นเรื่องที่ดีมาก ล่ะก็ งั้นก็เอาหัวมุดลงไปในทรายซะเลยดีกว่า” เซี่ยเสถอน หายใจ “ฉันทนดูต่อไปไม่ได้จริงๆ นายทนมาถึงตอนนี้ได้ยังไง พวกเขากำลังเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของนายอยู่นะ”

ผมมองดูใบหน้าที่โมโหของเซี่ยเสวี บนโลกนี้น่าจะมีคนที่ ยุติธรรมแบบนี้น้อยมากแล้วล่ะมั้ง แล้วก็ยังเป็นเด็กผู้หญิงที่ หน้าตาสวยอีกด้วย

ถ้าให้เซี่ยเสว่ออกรับหน้าแทนผมจริงๆ ต่อไปจะเป็นยังไงล่ะเธอทั้งสวย ใจดี อยู่ในห้องก็อัธยาศัยดี มีผู้ชาอมรอบตัวเขาอยู่ ไม่น้อย ส่วนโจวหยางนั้นมีฝีมือ จอมวางแผน คิดจะทําอะไรก็ได้ เป็นผู้นําของคนในห้อง ถ้าสองคนนี้มาเผชิญหน้ากันจริงๆ ก็ คงจะตัดสินได้ยากมากว่า ใครสุดยอดกว่ากัน แต่ถ้าให้ผู้หญิงคน นึงมาออกรับหน้าแทนผม มันก็คงน่าสมเพชเกิดไป

“ได้ยินรึยัง” เซี่ยเสวถามอีกครั้ง แล้วครั้งนี้เสียงของเธอก็ดัง ขึ้นไปอีก แม้แต่พวกโจวหยางก็ได้ยินกันหมด

ผมตัวแข็งทื่อแล้วพยักหน้า พลังบางอย่างพรั่งพรูออกจากร่าง ของผมอย่างช้าๆ เหตุการณ์ในตอนนี้กับตอนมัธยมต้นนั้นไม่ เหมือนกัน อย่างน้อยก็มีคนยืนอยู่ข้างผม

“ดี” เซี่ยเสว่ยิ้ม รอยยิ้มของเธอนั้นสวยกว่าดอกไม้เป็นร้อย เท่า ทำให้หัวใจของผมนั้นเต้นแรงไม่หยุด

ผมจะต่อต้าน ผมจะตอบโต้ ผมพูดกับตัวเองในใจว่า “ถึงเวลา

ที่ต้องปล่อยมือออกไปสักครั้งแล้ว”

“งั้นก็ตามนี้ละกัน” เซี่ยเสวยืนขึ้น เอามือทั้งสองข้าง ใส่เข้า กระเป๋า พูดอย่างน่ารักว่า “ฉันรอนายอยู่นะ

ผมพยักหน้า ในใจรู้สึกหอมหวานขึ้น ถ้าตอนอยู่มัธยมมีคน ให้พลังกับผมแบบนี้ ผมก็คงไม่ต้องขี้ขลาดนานขนาดนั้น

“บาย”

เซี่ยเสาโบกมือ กำลังจะหันไป ผมนึกอะไรบางอย่างออก ก็รีบ บอกว่า “ฉันไม่ได้ให้เธอออกหน้าแทนฉันนะ”
เซี่ยเสน่หันกลับมามองผมด้วยความสงสัย เมื่อผมไม่ได้พูด ชัดนัก กลัวว่าเธอจะเข้าใจผิด ก็เลยรีบพูดเสริมไปว่า “ฉันหมาย ถึงว่า……..

ตอนพูดสี่ค่าต่อมานั้น เลือดร้อนในตัวผมมันกำลังเดือดพล่าน อยู่ ราวกับว่าได้ไล่ไอ้ความขี้ขลาดนั้นออกไป

“ฉันจัดการเอง”

สีหน้าของเซียเสวี่ยิ่งอึ้งเข้าไปใหญ่ แต่ไม่นาน ก็เปลี่ยนเป็น รอยยิ้มที่หวานละมุนน่ารักมากขึ้น “อ่าห้ะ” เซียเสพยักหน้าไม่ หยุด แล้วก็ค่อยหันหลังเดินไป

ผมมองแผ่นหลังของเธอ รู้สึกโล่งใจ การตัดสินใจแบบนี้ จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่เรื่องยากขนาดนั้น

เซี่ยเสว่เพิ่งจะเดินไป แล้วพวกโจวหยางกับหลี่เจก็เดินมา

ใจของผมมันอึดอัดขึ้น แล้วก็มีความตื่นเต้นขึ้นด้วย ก้มหน้า ลงตามจิตใต้สำนึก “ไอ้เหี้ย” ผมแอบด่าอยู่ในใจ ความกล้าเมื่อ กี้ล่ะ ไม่ง่ายเลยกว่าจะตัดสินใจได้ มันจะล่มสลายไปง่ายๆ แบบนี้ เลยหรอ คิดๆ ดูแล้ว ก็เงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว แล้วก็สบตากับโจ วหยางพอดี

โจวหยางกับหลี่เจ๊ยืนอยู่ด้านหน้าโต๊ะเรียนของผม ลมหายใจ ของผมแรงขึ้นเล็กน้อย กังวลว่าวินาทีต่อไปตัวเองจะโดนโจว หยางกดลงกับโต๊ะ เหมือนกับหลายครั้งในตอนมัธยมต้น แต่ยัง ดีที่โจวหยางไม่ได้ทำแบบนั้น แล้วก็ถามว่า “เมื่อกี้เสี่ยเสว่พูด อะไรกับนาย”
“ไม่มีอะไร” ผมตอบกลับอย่างเฉยชา

“ฉันได้ยินเธอบอกว่า ‘ตกลงตามนี้ รอนายอยู่ อะไรพวก นั้น” โจวหยางขมวดคิ้ว

“ไม่มีอะไร” ผมพูดอีกครั้ง

“ดูแล้วกระดูกนายคงคันอีกแล้วสิคะ” โจวหยางหัวเราะดูถูก แล้วก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น

ผมยืนขึ้นอย่างกะทันหัน ไม่ให้โอกาสนี้กับเขา รีบเดินไปทาง ประตูห้องเรียน ถึงแม้ว่าตัดสินใจจะตอบโต้ แต่ตอนนี้เห็นได้ชัด ว่าสถานการณ์ไม่ดีเท่าไหร่ ถ้าตัวคนเดียวแล้วต่อยกับโจวหยาง และหลี่เจ๋ล่ะก็ คงจะโดนกระทืบจนฟันร่วงแค่นั้น

“แม่มึงสิ คิดจะหนีหรอ” เหมือนว่าโจวหยาง จะไล่ตาม

ไหนๆ ก็โดนโจวหยางรังแกมาสามปีแล้ว ความกลัวที่มีต่อเขา นั้นก็ยังคงครอบครองหัวใจส่วนใหญ่ของผมอยู่ แล้วขาก็อดไม่ ได้ที่จะเพิ่มความเร็วขึ้น

ทันทีที่ได้ยินเสียงของหลี่เจ๋จากด้านหลังดังขึ้น “โจวหยาง หยุดไล่ตามได้แล้ว พรุ่งนี้พวกเราค่อยเก็บไอ้หมอนั่น

เหมือนโจวหยางจะด่าอะไรสักอย่าง ในที่สุดก็ไม่ได้ไล่ตามผม แล้ว แล้วก็กลับไปอยู่ข้างๆ พวกหลี่เจ๋

ผมวิ่งพุ่งออกจากห้องเรียน ก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เวลาสำคัญ แบบนั้นแต่ก็ยังเลือกที่จะหนี แต่ก็แข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนที่ยืนให้ โดนตีเยอะมากแล้ว
ระหว่างทางทีผมเดินกลับหอพักคนเดียวนั้น พอนึกย้อนถึงคำ พูดของเซี่ยเสว่ นึกย้อนถึงฉากเมื่อกี้แล้ว จู่ๆ ในหัวก็มีข้อความ หนึ่งโผล่ขึ้นว่า : หลี่เจ็บอกโจวหยางว่าไม่ต้องตามแล้วโจวหยาง ก็ไม่ได้ตามต่อ ดูแล้วโจวหยางก็ไม่ใช่ลูกพี่ใหญ่ของพวกเขา กลุ่มนั้น คนที่ออกคำสั่งได้จริงๆ นั้นก็ยังคงเป็นหลี่เจ๋นั่นอยู่

แต่ยังไงตั้งแต่ตำบลตงกวนจนถึงเมืองเป่ยหยวน โจวหยางก็ ไม่ได้มีซีนมากขนาดนั้นแล้ว แต่ถึงจะนึกแบบนี้ แล้วมีประโยชน์ อะไรล่ะ ถ้าโจวหยางตั้งใจจะเล่นงานผม หลี่เจก็ยืนข้างเขาอยู่ดี ผมส่ายหน้า ก็ยังคงมีความท้อแท้อยู่เล็กน้อย

พอกลับถึงหอพัก พวกเขากำลังอยู่ล้อมเป็นวง เล่นหัวเราะ สนุกด้วยกัน ผมก็เหมือนเป็นคนล่องหนยังไงอย่างงั้น สำหรับ พวกเขาแล้วก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไรเลยสักนิด

แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน อยู่ใครอยู่มัน ใครก็ไม่ต้องสนใจใคร ผม ถอดรองเท้าขึ้นเตียง เริ่มคิดขึ้นต่อไปในหัว

ถึงแม้จะตัดสินใจที่จะสู้กับโจวหยางภายใต้กำลังใจของเซีย เสว่ แต่ไม่มีถ้าไม่มีแผนที่เพอร์เฟคจะไปสู้ได้ยังไงล่ะ

ถ้าพูดถึงเรื่องรูปร่างล่ะก็ ผมเทียบโจวหยางไม่ได้แน่นอน เขา ทั้งอ้วนทั้งสูง สู้กับผมสองคนก็ยังไม่มีปัญหาเลยด้วยซ้ำ ถ้าจะ ต่อยกันจริงๆ คงทำได้แค่ต่อยแบบไม่เตรียมตัว ต่อยเขาในแบบ ที่คาดไม่ถึง ไม่ให้เขาไม่ได้มีเวลาตอบโต้ตั้งแต่แรก แต่ว่า จะ สร้างโอกาสแบบนี้ยังไงดีล่ะ…….

ผมครุ่นคิดอย่างจริงจัง ขั้นตอนในการคิดนั้นมันทรมานมากถึงแม้ว่าผมจะอ่านสามสิบหกกลยุทธ์มาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่มีสัก กลยุทธ์นึงเลยที่จะใช้ในสนามได้ โดยเฉพาะกับร่างที่ผอมบาง และอ่อนแอแบบนี้ คิดแล้วคิดอีก จนในที่สุดก็หลับไป

ไม่มีวิธีเลย แต่ผมจะไม่ให้โจวหยางได้รังแกผมอีกแน่นอน ผม สาบาน ผมสาบาน

ผมที่หลับไปแล้ว แต่หมัดนั้นก็ยังกำไว้แน่น

วันรุ่งขึ้น ผมไปเรียนอย่างมีชีวิตชีวาเป็นร้อยเท่า

ตั้งแต่ที่ผมมาอยู่โรงเรียนมัธยมปลายเฉิงหนาน นี่เป็นครั้ง แรกที่ผมหลับได้สนิทขนาดนี้ ถ้าคุณตัดสินใจที่จะทำอะไรสัก อย่างแล้ว จิตใจก็จะผ่อนคลายลงทั้งหมด

พอเข้าไปในห้องเรียน ผมก็เจอกับเซียเสร่ เธอนั่งอยู่ตรงกลาง ของห้อง รอบตัวนั้นมีผู้ชายสองสามคนล้อมอยู่ กำลังพยายาม หยอกล้อเธอทุกวิถีทางอยู่

พวกเราสบตากัน ผมเผยยิ้มให้เธอไปทีนึง แล้วเซี่ยเสวก็เผย รอยยิ้มให้ผมเหมือนกัน

รอยยิ้มนี้ ทำให้ผมรู้สึกเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง

ผู้ชายที่อยู่ข้างๆ เธอมองตามสายตาของเธอด้วยความสงสัย แล้วสุดท้ายก็มองมาคนไม่สำคัญที่ผม

พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมเชี่ยเสถึงยิ้มให้ผม แต่ละคนเผย สีหน้าที่คิดยังไงก็คิดไม่ออกออกมา
ผมเดินไปที่ที่นั่งของผม ตามองไปที่โจวหยางที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โจวหยางนั้นอยู่มุมเยื้องกับข้างหลังของผม เมื่อก่อนผมจะก้ม หน้าแล้วนั่งลง แต่ครั้งนี้ ผมกล้าที่จะมองไปที่เขา

โจวหยางกำลังยิ้มเยาะแล้วมองผม แล้วก็สะบัดหมัดมาที่ผม

ผมเผยรอบยิ้มที่เหยียดหยามออกมา นั่งลงบนที่นั่งของตัวเอง แน่นอนว่า ความรู้สึกแบบนี้นั้นสบายใจมาก แต่ว่าผล ตอบแทน……ผลตอบแทนนั้นก็มาอย่างรวดเร็ว

คาบแรกคือคาบภาษาอังกฤษ ผมตั้งใจฟังมาก แต่ด้านหลัง หัวนั้นก็โดนตบไปทีนึง ของสิ่งนั้นตกลงมาตามไหล่ของผมแล้ว หล่นลงพื้น

ผมมองไปที่พื้นอย่างสงสัย นั่นคือกระดูกไก่น่าขยะแขยงชิ้นนึง ที่เคี้ยวแล้ว ข้างบนนั้นยังมีน้ำลายเยอะมากติดอยู่

กระดูกไก่……ผมหันกลับไป แล้วก็เห็นว่าโจวหยางกำลังกิน คอไก่ที่เป็นอาหารฟาสต์ฟูดอยู่ เคี้ยวใหญ่โต ยังทำหน้าตา

ทะเล้นใส่ผมอีกด้วย

ผมจ้องมองเขาอยากเคียดแค้น แล้วก็หันกลับมาฟังครูสอน ตอ

“ติ๊ง” เสียงนึง แล้วก็เป็นกระดูกไก่อีกชิ้นถึงตกมาบนหัวของ

ผม

ผมหันกลับไปทันที แล้วก็ต้องโจวหยางอีกครั้ง บนหน้าที่ยัง เจ็บอยู่ก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะเทือนขึ้น
โจวหยางเขย่าคอไก่ที่อยู่ในมือ ทำท่าทางที่น่าต่อยออกมา แล้วก็ยังหัวเราะ “ฮ่าๆๆ” อีกด้วย แต่แค่ไม่มีเสียงก็เท่านั้น

ปฏิกิริยาของผมเร็วมากจนดึงดูดความสนใจของคนที่อยู่ รอบๆ พวกเขามองมาที่ผมกับโจวหยางอย่างไม่เข้าใจ และใน ตอนโจวหยางขว้างกระดูกไก่มาอีกครั้งนึง คนในห้องก็เผย สีหน้าที่เข้าใจทันทีออกมา แล้วก็ต่างพากันปิดปากแล้วหัวเราะ

ผมมองสายตาของตัวเองไม่เห็น แต่ผมคิดว่ามันน่าจะโมโห มากแน่นอน ผมใช้รูปปากบอกกับโจวหยางว่า “อย่ามาบังคับ ฉัน” ในขณะเดียวกันก็เขย่าหมัดไปด้วย

โจวหยางเต้นแร้งเต้นกา ท่าทาง โอเวอร์ ท่าทางดูภูมิใจสุดๆ

ไม่นานครูภาษาอังกฤษก็เห็นความวุ่นวายของแถวข้างหลัง เธอใช้แปรงลบกระดานเคาะไปที่โต๊ะพูดหน้าห้องเบาๆ แล้วพูด ว่า “เงียบหน่อย เลิกคาบแล้วค่อยเล่นกัน

ดูสิ ในสายตาของผู้ใหญ่ ท่ามกลางพฤติกรรมการรังแกของ เด็กนั้นก็กลายเป็นการเล่นสนุกไปซะแล้ว

เพราะฉะนั้นในหลายๆ ครั้ง การไปฟ้องครูนั้นก็ไม่ใช่ พฤติกรรมที่ฉลาด ขอแค่ไม่ต่อยกัน ก็ไม่มีใครมาสนใจจริงๆ

เซี่ยเสวก็สังเกตเห็นสถานการณ์ของแถวหลังได้อย่างรวดเร็ว ในตอนที่คุณครูหันกลับไปเขียนกระดานนั้น เธอก็แอบๆ เปลี่ยน ที่นั่งกับหลิวจื่อหง นั่งมาที่ข้างๆ ผม แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า “โจว หยางรังแกนายอีกแล้วใช่ไหม”
ในใจของผมนั้นมีไอเดียขึ้นแล้ว เพราะฉะนั้นผมเลยยิ้มแล้ว บอกกับเธอว่า “ไม่เป็นไร”

จากนั้นผมก็ ค่านั้นเสริมไปว่า “ผมจัดการเอง

แต่เซี่ยเสวกลับไม่ได้ยิ้ม หน้าของเธอเต็มไปด้วยความเป็น ห่วง “แต่เขารังแกนายแบบนี้ นาย…….

“ไม่เป็นไร รอดูเถอะ” ผมเผยรอยยิ้มอีกครั้ง จากนั้นก็หันหน้า มองไปทางโจวหยาง

สีหน้าบนหน้าของโจวหยางนั้นกลับน่าเกลียดไปหน่อย

ไม่ได้มีความผ่อนคลายและล้อเล่นเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ กลับแทนที่ด้วยความโกรธและความเหี้ยมโหด

น่าแปลก ทั้งๆ ที่เขาเป็นคนรังแกผมแท้ๆ ทำไม……จู่ๆ ผมก็

นึกขึ้นได้ทันทีว่า เป็นเพราะเซี่ยเสานั่งข้างๆ ผม

เป็นแบบนี้นี่เอง แล้วมุมปากของผมก็ยกยิ้มขึ้น จากนั้น ผมก็ยื่นมือออกไป จับไปที่ผมของเซี่ยเสวี —— ใช้ได้ โจวหยางมองเห็นฉากนี้ในตาอย่างชัดเจน

“นายทำอะไร” เซียเสวมองผมด้วยความประหลาดใจ

“เปล่าน่ะ” ผมกระซิบว่า “เป็นการขอบคุณน่ะ ถ้าไม่มีเธอ ทั้ง ชีวิตนี้ฉันคงไม่มีความกล้าที่จะตอบโต้แล้วล่ะ

เซี่ยเสว่เผยสีหน้าที่อึ้งทึ่งออกมา “จริงหรอ นายตัดสินใจ
…..……..” ผมทำมือ “ตู่” ไปทีนึง กะพริบตาแล้วพูดว่า “รอดูก็ พอแล้ว”

ยังพูดไม่ทันจบ หัวของผมก็โดนกระดูกขว้างมาอีกชิ้นนึงแล้ว ไอ้สารเลว โจวหยางนั่น คอไก่แค่ชิ้นเดียวเคี่ยวได้ละเอียดขนาดนี้ เชียว แบ่งเป็นชิ้นนับไม่ถ้วนแล้วขว้างใส่ผม


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ