ยอดนักสู้สยบฟ้า

บทที่ 2 ผมมาหาสวีเทียนเฉิง



บทที่ 2 ผมมาหาสวีเทียนเฉิง

“คุณเป็นใครกันแน่?” หลินเสบู่สบตากับสายตาดุดันของเย่ เทียน นึกไม่ถึงเลยว่าเธอจะเกิดความรู้สึกหวาดกลัวอยู่นิด ๆ ใจฝ่ออยู่นิด ๆ

“ท่านถามอะไรคุณก็ตอบสิ! คุณไม่มีสิทธิ์มาถามกลับ!” หลิน ขุยเอ่ยเสียงต่ำ ดวงตาทั้งคู่เบิกกว้างจ้องมองออกไป แฝงไป ด้วยความดุร้ายอย่างเต็มเปี่ยม ทำให้หลินเสว่ตกใจจนแทบจะ ผงะไป

“แก กล้าพูดแบบนี้กับคุณนายน้อย เชื่อไหมว่าฉัน…” สวีผู่ที่ เปิดปากจะด่าเปิงก็ถูกหลินเสบู่ขัดขวางเอาไว้

“คุณอยากมาหาใครคะ?”

เย่เทียนหรี่ตาน้อย ๆ พูดทีละคำอย่างเยือกเย็น “ตระกูลสวี สวีเทียนเฉิง!”

เฮือก!

สวีพู่กับลูกน้องหลายคนสูดลมหายใจเย็นเข้าไปหนึ่งเฮือก

ชื่อนี้ไม่มีใครพูดถึงมาเกือบหนึ่งปีแล้ว!

ไม่ใช่เพราะว่าลืมไปแล้ว
แต่ไม่มีใครกล้าพูดถึง!

ท่านหญิงเคยออกคำสั่งไว้ว่า ไม่ว่าใครก็ห้ามพูดถึงคนคนนั้น อีก ไม่อย่างนั้นจะลงโทษตามกฎตระกูล!

คําสามคํานี้เป็นคําต้องห้ามของตระกูลสวีเ

ทุกคนพินิจพิเคราะห์เย่เทียน

คนคนนี้เป็นใครกันแน่? กล้ามากขนาดนี้?

ไม่เพียงแต่เอ่ยปากว่ามาหาสวีเทียนเฉิง แต่ยังมาในเวลา แบบนี้อีก?

หลินเสว่ตะลึง ดวงตาเป็นประกาย เธอไม่กล้าสบตากับเย่ เทียน สีหน้าไม่ค่อยน่ามอง

“ตระกูลสวีไม่มีคนที่ชื่อสวีเทียนเฉิง” หลินเสว่แทบจะกัดฟัน พูดออกมา “สวีฝู ส่งแขก!”

“ครับ คุณนายน้อย!” สวีฝูตอบรับออกมา รีบเรียกกำลังคนมา ล้อมเย่เทียนไว้ “แก ในเมื่อแกไม่ไสหัวไป เช่นนั้นก็อย่าหาว่า ฉันไม่เกรงใจนะ ลงมือได้ กูจะตัดลิ้นของมัน”

สวีฝูมีสีหน้าโกรธ ถ้าหากเรื่องนี้ได้ยินไปถึงหูของท่านหญิง ละก็ ต้องเป็นเรื่องแน่ ๆ
เมื่อเผชิญหน้ากับลูกสมุนของตระกูลสวี สีหน้าของเย่เทียน ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิด ไม่มีความอยากจะหลบโดยสิ้น เชิง

“กล้าดีนี่!”

หลินขุยตวาดเสียงดังแล้วจึงเดินขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าว ขวางอยู่ ด้านหน้าของเย่เทียน

เดิมเขาก็เป็นคนร่างกำยำสูงใหญ่ พอตะโกนแบบนี้แล้วก็ ทำให้ทุกคนตกใจกันในทันที

พลังอันกล้าหาญองอาจหาใดเปรียบทั้งร่างของหลินขุย กดดันจนทุกคนหายใจไม่ออก!

สวีฝูก็ตกใจไปยกหนึ่ง สีหน้าก็ยิ่งไม่น่ามองเข้าไปอีก “สวะ! ลงมือซะสิ กลัวมันทำไม? ลงมือ…”

พูดยังไม่ทันจบก็มีเสียงดัง ‘เจี๊ยะ’ ดังออกมาเสียงหนึ่ง

มือที่ใหญ่ราวกับพัดใบลานตบเข้าลงหนัก ๆ บนใบหน้าของ สวีฝู สวีฝูร้องอย่างน่าเวทนา โดนตบจนปลิวออกไป!

“โหวกเหวกโวยวายน่ารำคาญ!”

หลินขุยเก็บกวาดเสร็จก็ทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถอยหลังไปหนึ่งก้าว กลับไปยืนด้านหลังของเย่เทียนใหม่อีกครั้ง

ทุกคนเงียบกันเป็นเป่าสาก

ฝ่ามือเดียวก็ตบคนให้ปลิวได้ ดูเหมือนจะไม่ได้ใช้แรงมาก

ด้วย…

นี่คือสิ่งที่แรงของมนุษย์ทำได้เหรอ…

คนคุ้มกันพวกนั้นมองดูกันอย่างที่มที่อ

เย่เทียนเดินเข้าไปข้างในต่อ

“คุณ… สวีเทียนเฉิงตายไปแล้ว คุณไม่เจอเขาหรอก!” หลิน เสรีบขัดขวางไว้ เห็นเพียงเย่เทียนหันกลับมา

เพียะ!

เสียงดังกังวาน บนใบหน้าของหลินเสบู่มีรอยฝ่ามือเพิ่มขึ้นมา

รอยหนึ่ง

เย่เทียนใช้พลังเพียงน้อยนิดแต่ก็ยังตบจนเธอหน้ามืดตาลาย มุมปากมีเลือดซึมออกมา

“ตบนี้ ผมตบแทนเทียนเฉิง”
พูดจบก็เดินเข้าไป!

หลินขุยส่งผ้าเช็ดหน้าสีขาวหนึ่งผืนไปให้

เย่เทียนเช็ดฝ่ามือที่ตบคนไปตามประสงค์ ทั้งผ้าเช็ดหน้าไป ด้านหลัง ตกลงตรงหน้าเท้าของหลินเส พอดี…

หลินเสบู่หน้าขาวซีด ปิดปากอยู่นานแล้วจึงเรียกสติกลับมา ได้ รีบตามเข้าไป

“แม่มันเถอะ กล้ามาหาเรื่องที่ตระกูลสวี แถมยังกล้าตบกูอีก! กูไม่สนแล้วว่ามึงเป็นใคร วันนี้มึงตายแน่!”

สวีผู่ที่มึนหัวบ้านหมุนอยู่ด้านนอกอยู่เป็นนาน ในที่สุดก็มี ปฏิกิริยาตอบสนอง

ด่ากราดไปรอบหนึ่ง กำลังคิดจะเรียกคนมา

กลับเห็นหลินขุยที่กกหูกระตุก แวบเข้ามาหาเขาด้วยความ รวดเร็วเหมือนภูตผีปีศาจปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเขาทันที

“แกพูดว่าใครตายแน่นะ?” น้ำเสียงของหลินขุยเย็นยะเยือก ถึงขีดสุด

“ฉัน… ฉัน… ฉันพูดผิดหรือไง?” สวีฝูหวาดกลัว พอนึกขึ้นได้ก็ รีบกุมใบหน้าที่เพิ่งถูกตบไปเมื่อกี้ แต่ปากก็ยังแข็งอยู่ “ถ้าหมอนั่นกล้าเอ่ยถึงชื่อสวีเทียนเฉิงสามพยางค์นั่นต่อหน้าท่าน หญิงละก็ ดัดลิ้นก็ยังถือว่าเบาะ ๆ! ฉันขอเตือนพวกแก ทางที่ดี พวกแก…

ยังไม่ทันพูดจบกลับเห็นหลินขุยยื่นมือออกมา จับคอของเขา เอาไว้ ยกเขาขึ้นมาทั้งตัว

“ตระกูลสวี? วงศ์ตระกูลไม่ใหญ่ แต่อารมณ์ร้ายไม่ใช่ย่อย

เลย! แต่ว่านะ กล้ามาล่วงเกินคุณท่าน ต่อให้เอาตระกูลสวีมา

เป็นสิบเป็นร้อยตระกูลก็ต้องไปตายกันทั้งหมด!”

สายตาของหลินขุยเยียบเย็น รังสีสังหารคมปลาบ!

เย่เทียนเป็นพระเจ้าของเขา เขาไม่ยอมให้ใครมาดูหมิ่น

“แคก ๆ” สวีผู่ต่อสู้ดิ้นรนสุดชีวิตแต่กลับดิ้นไม่หลุดโดยสิ้น เชิง หายใจลำบากเข้าไปทุกที สีหน้าก็ขาวซีดเข้าไปทุกที ๆ

“เมื่อกี้พูดอะไรนะ? อยากจะตัดลิ้น? ดี ฉันจะสนองให้!” หลิน ยหัวเราะเสียงเย็นออกมาครั้งหนึ่ง!

ส่งเสียงอยู่ในหูของสวีฝูราวกับยันต์หมายชีวิตก็ไม่ปาน

เพิ่งคิดที่จะดิ้นรน ในช่องปากกลับมีความเจ็บปวดอย่าง รุนแรงแล่นขึ้นมา
หลินขนคลายมือ สวีผู้ร่วงลงไปกระแทกกับพื้นดังตบ จับปาก ที่มีเลือดสด ๆ ไหลออกมาอย่างเจ็บปวดทรมาน แต่กลับพูดไม่ ได้แม้แต่ประโยคเดียว

หลินขุยใช้กำลังที่มือเพียงน้อยนิดก็ทำลายลิ้นของเขาไปเสีย แล้ว

“หากไม่ใช่เพราะเป็นทหารจึงต้องสืบหาต้นสายปลายเหตุให้

ดีเสียก่อน ตระกูลสวีคงจะถูกทำลายจนราบเป็นหน้ากลองไป

นานแล้ว!”

พลังที่ออกมาจากร่างหลินขุยแหลมคม เขาหันกลับไปมองสวี ผู่อย่างหยิ่งยโส เดินเข้าไปในคฤหาสน์

ด้านนอกประตูคฤหาสน์มีเสียงร้องอย่างน่าเวทนาดังขึ้นมา…

คฤหาสน์ตระกูลสวี ถึงแม้ว่าจะเป็นสิบวันก่อนถึงงานแต่งงาน แต่ตอนนี้ก็แขวนโคมประดับประดาไว้แล้ว

สวีเทียนหมิงเป็นลูกชายคนโตของตระกูลสวี เป็นถึงเสี่ยใหญ่ เบอร์หนึ่งของหรงเฉิง

งานแต่งงานของเขาจะต้องยิ่งใหญ่ไม่มีใครเทียบได้อย่าง แน่นอน

เย่เทียนเดินเข้าไป โต๊ะอาหารในห้องโถงใหญ่มีคนนั่งอยู่ไม่น้อย ดูเหมือนจะเป็นญาติพี่น้องสายตรงของตระกูลสวี

เตรียมจะทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากันหนึ่งมื้อ

ที่นั่งตรงกลางว่างเปล่า น่าจะเว้นไว้ให้ท่านหญิงของตระกูล

สวี

ทุกคนพูดคุยหัวเราะกัน ไม่มีใครสนใจเย่เทียนโดยสิ้นเชิง

เย่เทียนมาถึงตรงกึ่งกลางของห้องโถงใหญ่ ด้านบนจัดแสดง ป้ายวิญญาณไว้เป็นแถว ๆ

เย่เทียนกวาดตามองอยู่หลายครั้ง ดวงตาหรี่ลงทันที

ด้านบนไม่มีป้ายวิญญาณของสวีเทียนเฉิง!

“เฮ้ย ๆ พี่เขย เราสองคนต้องดื่มกันหนึ่งแก้ว ต่อไปก็เป็น ครอบครัวเดียวกันแล้ว ต่อไปท่านจะต้องดูแลช่วยเหลือน้อง ภรรยาให้มากหน่อยถึงจะดี!”

บนโต๊ะอาหาร หลินฮุยชูแก้วขึ้น ยืนขึ้นมาด้วยสีหน้าประจบ เอาใจ

กำลังจะคารวะสุราพอดี กลับพบว่าในห้องโถงใหญ่มีคน แปลกหน้าเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคน
“แกเป็นใคร? เข้ามาในนี้ได้อย่างไร? เจ้าสวีฟูนั่นมัวทําอะไร อยู่?

ทุกคนหันขวับมาถึงจะเห็นว่าในห้องโถงใหญ่มีเย่เทียนเพิ่ม ขึ้นมาหนึ่งคน

“แน่นอนว่าต้องเดินเข้ามา” เย่เทียนหันกลับมา สายตาหยุด ชะงักอยู่บนร่างของชายหนุ่มที่สวมสูทสีไวน์แดงอยู่ข้าง ๆ โต๊ะ

“คุณคือสวีเทียนหมิงสินะ?”

สวีเทียนหมิงขมวดคิ้วน้อย ๆ ถือว่าตัวเองเป็นคุณใหญ่ตระกูล สวี ทั้งยังเป็นคนคุมหางเสือในอนาคตของตระกูลสวี การที่ใคร ต่อใครรู้จักเขานั้นถือเป็นเรื่องที่ปกติมาก

แต่น้ำเสียงของผู้มาเยือนไม่ได้ดีนะ

สวีเทียนหมิงอายุไม่มาก แต่หน้ากลับบวม แสดงให้เห็นว่าดื่ม สุราอย่างหนักมาหลายปี

เขามองมาที่เย่เทียน เอ่ยด้วยดวงตาทั้งคู่ที่หรี่ลงเล็กน้อยว่า “ฉันคือสวีเทียนหมิง? แต่แกรู้ไหมว่าที่นี่คือที่ไหน? ประตูบ้าน ตระกูลสวีใช่ที่ที่แกสามารถเข้าออกได้ตามใจเหรอ?”

“พี่เขย ดูการแต่งตัวของหมอนี่สิ จะเป็นใครได้นอกจาก ขอทาน ต้องเกรงใจเข้าไปทำไม? ไล่ออกไปตรง ๆ ก็จบแล้ว?” หลินฮุยเอ่ยปากอีกครั้ง

เจ้าหมอนี่อาศัยอำนาจบารมีของพี่เขย จองหองหนักยิ่งกว่า สวีเทียนหมิงเสียอีก

“เสี่ยวฮุยพูดถูก” สวีเทียนหมิงพยักหน้าเบา ๆ “แก ไม่ว่าแกจะ เป็นใคร รีบถือโอกาสตอนที่ฉันยังไม่โมโหรับไสหัวออกไปซะ สวีฝู ส่งแขก! สวีฝู?”

สวีเทียนหมิงเรียกอยู่สองครั้งสองครา แต่สวีฝูก็ยังไม่มา ปรากฏตัวอีก แต่กลับเป็นหลินขุยที่เดินก้าวขายาว ๆ อย่าง รวดเร็วเข้ามา

“ไม่ต้องเรียกแล้ว คนใบ้ไม่มีปัญญาตอบกลับหรอก”

ทุกคนต่างมองกันไม่พูดไม่จาอย่างตื่นกลัว คิ้วของสวีเทียนห มิ่งขมวดน้อย ๆ รอยยิ้มที่มุมปากกลายเป็นโหดเหี้ยมขึ้นมา

“ดีมาก ดูเหมือนตระกูลสวีของผมจะมีเมตตาเกินไปสินะ ไม่ ว่าใครก็กล้ามาขี้รดหัวตระกูลสวีของผมได้เนี่ย”

ได้ยินคำพูดนั้นคนอื่น ๆ ที่อยู่บนโต๊ะล้วนแต่หนาวยะเยือกที่ แผ่นหลัง

มองไปที่เย่เทียนกับหลินขุยด้วยสีหน้าสงสารอยู่บ้างมีคนจะซวยแล้ว

แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาผิดหวังก็คือเย่เทียนและหลินขุยมี สีหน้าไม่ใส่ใจมาตั้งแต่ต้นจนจบ แม้แต่ตาก็ไม่กะพริบ

“พี่ พี่เป็นอะไรครับ?”

หลินฮุยร้องอย่างตื่นตระหนกขึ้นมากะทันหัน ทุกคนจึงมอง ตามไป ทันใดนั้นก็สูดลมหายใจเย็น ๆ เข้าไป

เห็นเพียงหลินเสวกุมใบหน้าเอาไว้ รอยฝ่ามือบนใบหน้านั้น มองเห็นได้อย่างชัดเจน มุมปากมีคราบเลือดอยู่ เช็ดน้ำตา อย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม

‘จุ๊ๆ’ ถึงแม้ว่าสวีเทียนหมิงจะไม่ได้ดีต่อคู่หมั้นคนนี้สักเท่า ไหร่ แต่นี่ไม่เท่ากับว่าตบหน้าของเขาหรอกเหรอ?

ตบแม้กระทั่งหน้าของตระกูลสวี

กล้ามากนะ!

“ถ้าแกเป็นคนตบละก็ ถ้าอย่างนั้นวันนี้แกก็ทิ้งแขน ขา และ หัวของแกไว้ที่นี่เถอะ…

อย่างที่คิดไว้ ใบหน้าของสวีเทียนหมิงเยือกเย็นขึ้นมา รังสี

สังหารสูงสะเทือนฟ้า!
ทุกคนเงียบเป็นเป่าสาก ครั้งที่แล้วที่สวีเทียนหมิงโกรธมาก ขนาดนี้

คนที่ตายก็คือคุณชายอีกคนของตระกูลสวี!


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ