พ่อนมหยิ่งผยอง

บทที่ 5 ขึ้นโรงพัก



บทที่ 5 ขึ้นโรงพัก

จางฝั่งยื่นมือมาตบไหล่ของหลี่เสว่ ยิ้มแล้วพูดว่า “อย่ากังวลไป เลย ไม่มีเรื่องอะไรหรอกน่า วางใจเถอะ ผมมีเพื่อนคนหนึ่ง ทำงานอยู่ในสถานีตำรวจ พวกเขาไม่ทำให้ผมลำบากหรอกนะ”

หลี่เสาสายศีรษะ ยิ่งสิ้นหวัง เผชิญหน้ากับตระกูลที่มีอิทธิพล ขนาดนี้อย่างตระกูลซู เพื่อนคนหนึ่งจะช่วยเหลืออะไรได้? ไม่ซ้ำ เติมเพื่อเอาตัวเองรอดก็นับว่าไม่เลวแล้ว

ในตอนนี้เองกลุ่มคนกระจัดกระจายออกช้า ๆ นายตำรวจแต่ง ตัวเต็มยศกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาในกลุ่มคน คนที่เดินนำมาเป็นชาย วัยกลางคนรูปร่างอ้วนเตี้ย ก็คือคนที่เรียกว่าพี่จ้าว ข้าวเทียน เหลย!

“นี่มันเกิดเรื่องอะไรกัน ใครเป็นคนทำ!”

จ้าวเทียนเหลยเพิ่งจะเข้ามาในสถานที่เกิดเหตุก็มองเห็นซู ที่นอนไม่ได้สติอยู่บนพื้น สายตาก็ฉาบด้วยความเดือดดาลอย่าง ที่สุดในทันที มองกวาดไปที่กลุ่มคนอย่างโหดเหี้ยม จนหลาย คนถอยหลังไปหลายเซนอย่างไม่ได้ตั้งใจ

พนักงานรักษาความปลอดภัยของโรงพยาบาลรีบเดินหน้าขึ้น มาบอกเล่าเหตุการณ์หนึ่งรอบในทันที ชี้ไปที่จางฝั่งบ่อย ๆ เห็น ได้ชัดว่ากําลังชี้ตัวการก่อคดี

“นี่เป็นเรื่องที่แกทําอย่างนั้นเหรอ?”
จ้าวเทียนเหลยเดินมาถึงด้านหน้าของจางผิง แม้ว่าจะเห็นได้ ชัดเจนว่าส่วนสูงจะต่ำกว่าจางผิงไม่น้อย แต่กลับมีท่าทางวางโต

“ใช่ ผมเอง”

จางผิงตอบอย่างตรงไปตรงมา สีหน้าเรียบเฉย

“ทำผิดกฎหมายแล้วยังยโสโอหัง? กล้าต่อยคุณชายซูจน กลายเป็นแบบนี้ ฉันจะให้แกได้รู้ว่าคำว่าตายสะกดอย่างไร นิ้ว ตัวมันไป!”

ในห้องพิจารณาคดี จ้าวเทียนเหลยเดินเตร่ไปมา มองดูจางฝั่ง ที่มีสีหน้าไม่ใส่ใจที่นั่งบนเก้าอี้พิจารณาคดีฝั่งตรงข้าม ในใจของ เขาก็ไม่ได้โมโหเพียงเรื่องเดียวแล้ว

เมื่อกี้ซูเทียนพ่อของซูอู่โทรมาหาเขาด้วยตัวเอง เรียกร้องจะ ต้องให้ลงโทษผู้ต้องสงสัยอย่างเฉียบขาด ตระกูลซูกระทั่งยอม ใช้ทรัพยากรของตัวเอง ขอเพียงทำให้จางผิงได้ติดคุกสักแปดปี สิบปี

แต่ว่า ตอนนี้สิ่งที่ทำให้ปวดหัวก็คือ ตั้งแต่พาเจ้าหนุ่มนี่เข้ามา คุมขัง ไม่ว่าเขาจะซักถามอย่างไร อีกฝ่ายถ้าไม่เงียบก็พูดแค่ ประโยคเดียวคือ ผมจะโทรศัพท์

“เจ้าหนุ่ม ฉันแนะนำให้แกยอมรับโทษ จะได้ไม่ต้องมาเสียใจ ทีหลังตอนที่โดนลงโทษไปแล้ว!”

จางผิงเหลือบตามองเขาครั้งหนึ่งแล้วพูดว่า “ผมได้พูดไปแล้วให้ผมโทรศัพท์แค่สายเดียวแล้วผมจะพูดหมดเลย ทําไมเหรอ แค่โทรออกสายเดียวก็ไม่ได้? คุณกำลังละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ของผมนะ”

“สิทธิส่วนบุคคล?”

จ้าวเทียนเหลยหัวเราะให้กับเรื่องตลกร้าย กะอีแค่คนตัวเล็ก

ๆ นับเป็นก้นสุนัขยังไม่ได้ ยังกล้าเรียกร้องสิทธิส่วนบุคคล

“แกจะโทรศัพท์ใช่ไหม ให้แก่โทรก็ได้ ฉันอยากจะรู้สึกว่าแก จะโทรหาใครได้!”

จ้าวเทียนเหลยให้ลูกน้องแก้มัดจางผิงออกจากเก้าอี้พิจารณา คดี พลางโยนโทรศัพท์มือถือของจางผิงไปให้เขา และไม่ได้จาก ไปไหน เขาอยากจะรอดูว่าไอ้ขี้ครอกที่จะถ่วงเวลาไปได้นานแค่ ไหน โทรศัพท์เหรอ? ไอ้สวะที่แม้แต่เงินรักษาชีวิตลูกตัวเองยัง ต้องหยิบยืมคนอื่นแบบนี้ โทรศัพท์ไปจะมีประโยชน์อะไร

จางผิงไม่ได้ใส่ใจจ้าวเทียนเหลยที่มีสีหน้าดุร้าย สนใจเพียง การเปิดเครื่องมือถือของตัวเอง คิดอยู่ว่าเรื่องเล็ก ๆ เช่นนี้ไม่ ต้องถึงขั้นติดต่อลุงเฉียนหรอก ถึงแม้ว่าวันนี้จ้าวหยวนซานจะทิ้ง เบอร์โทรศัพท์ไว้ให้เขา แต่เขาไม่ได้ใส่ใจนัก เพียงแค่เอา กระดาษนั่นยัดไว้ในกระเป๋า รื้อตั้งนานกว่าจะหาเจอ

จ้าวเทียนเหลยเห็นแบบนั้นก็ร้อง ‘ฮี’ เสียงเย็น พูดจาเสียดสี ว่า “ไอ้หนุ่ม เสแสร้งแกล้งทำไปมันไม่มีประโยชน์หรอกนะ”

แต่ว่าเขาที่กำลังมองดูจางยิ่งที่กำลังต่อสายโทรศัพท์อยู่ก็อึ้ง ขึ้นมาทันที
“ฮัลโหล ใช่จ้าวหยวนซานไหมครับ? ตอนนี้ผมถูกจับกุมอยู่ที่ สถานีตำรวจ”

“ให้เวลาคุณสิบนาที ถ้าหากมาไม่ทันภายในเวลานี้รับผิด ชอบผลลัพธ์เองแล้วกัน!!

พูดจบจางผิงก็วางสายโทรศัพท์ โยนโทรศัพท์ไปให้จ้าวเทียน เหลย ยิ้มน้อย ๆ แล้วพูดว่า “ตอนนี้เรียบร้อยแล้วครับ พวกเรา รอสักหน่อยก็ได้ละ

“รอพ่อมึงสิ!”

จ้าวเทียนเหลยร้องตะโกนด้วยความเดือดดาล ปาโทรศัพท์ จนแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย พูดด้วยความโกรธจนระงับ อารมณ์ไม่อยู่ “แกล้อฉันเล่นหรือไง? จ้าวหยวนซานเหรอ? ไม่หัด ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตัวเองเลยว่าเป็นแบบไหน อยากจะ สร้างความสัมพันธ์กับประธานจ้าว!? ฝันเหรอ!”

“ฉันจะบอกแกให้นะ ถ้าหากแกยังไม่ยอมพูดอีก วันนี้ฉันจะ เอาแขนแกออกข้างหนึ่ง!

พูดจบ จ้าวเทียนเหลยก็ถูกแขนเสื้อเดินมาทางจางผิง “ผมแนะนำว่าคุณอย่าวู่วามดีกว่านะ”

จางผิงอารมณ์สบาย ๆ มองจ้าวเทียนเหลยที่เดินเข้ามาก็เตือน ด้วยความหวังดี

แต่สายตาที่มองไปยังจ้าวเทียนเหลยกลับเป็นอีกอย่าง
“ดีนี่ ไอ้หนุ่ม ตอนนี้ยังปากแข็งอยู่อีก ดี รออีกสักพักฉันจะดูว่า แกยังจะเสแสร้งยังไงอีก!”

พูดจบเขาก็ใช้สายตาส่งสัญญาณให้กับเพื่อนร่วมงานไม่กี่คน ที่อยู่ข้าง ๆ แล้วพูดว่า “ออกไป ปิดประตูด้วย ไม่ว่าจะได้ยินอะไร ก็ห้ามเปิดประตู เข้าใจไหม?”

สองคนนั้นพยักหน้า จ้าวเทียนเหลยเคยทำเรื่องแบบนี้มา หลายครั้งแล้ว พวกเขาล้วนเคยพบเห็นมาก่อน

ปัง!

ประตูห้องปิดลง ในห้องพิจารณาคดีเหลือเพียงจ้าวเทียนเหล ยกับจางผิงสองคน แสงไฟสลัวรางส่องสะท้อนบนใบหน้าอ้วน ท้วมของจ้าวเทียนเหลย ดูมืดทีมน่ากลัว

“แกไม่พูดใช่ไหม? แกเสแสร้ง ใช่ไหม? ดี หวังว่าต่อไปแกจะ

ไม่ร้องจนน่าเวทนาเกินไปนะ

จ้าวเทียนเหลยยิ้มอย่างเหี้ยมโหด หักข้อนิ้วดังกร๊อบ เขา มั่นใจในกำลังของตัวเองมาก อย่ามองว่าเขาทั้งอ้วนทั้งเตี้ย ใน ความเป็นจริงนั้นเขาเป็นมือดีทางด้านการต่อสู้ การลงโทษชาย หนุ่มร่างผอมบางอ่อนแอตรงหน้าก็เหมือนกับการละเล่น

“แก… แกจะทำอะไร!”

จางผิงแสร้งทำสีหน้าท่าทางหวาดกลัว ค่อย ๆ ถอยหลังไป ดู ราวกับโดนทําให้ตกใจไม่น้อย

สีหน้าของจ้าวเทียนเหลยยิ่งดูดุร้ายขึ้น กล่าวว่า “ไอ้หนุ่ม ต่อให้ตอนนี้แกนึกเสียใจก็ไม่มีประโยชน์แล้ว วันนี้ฉันจะให้แกได้รับ รู้ชื่อเสียงของเสือเหลย!”

พูดจบก็เห็นร่างกายอ้วนท้วมของเขาวาดเป็นเส้นโค้งกลาง อากาศ คาดไม่ถึงว่าจะใช้จังหวะย่างก้าวที่เป็นเอกลักษณ์ของม วยเคลือยกายเข้ามาใกล้จางผิง ในเวลาเดียวกัน ได้ยินเพียง เสียงลมผ่านหน้า หมัดของเขาก็มาถึงปลายจมูกของจางฝั่ง เหมือนกับสปริงเส้นหนึ่ง

ลำพังแค่หมัดนี้หมัดเดียวก็ไม่เสียชื่อเสือเหลยของเขาแล้ว

แต่จางผิงกลับมีรอยยิ้มเยือกเย็นปรากฏออกมาให้เห็น ต่อ หน้านักอย่างเขาแล้ว ของกระจอกงอกง่อยของจ้าวเทียนเหลย นี่อ่อนแอราวกับเด็กมีเรื่องต่อยตีกัน

ความรู้ลึกซึ้งกว้างไกลในศิลปะการต่อสู้แห่งหัวเซียในการ เหาะขึ้นไปเป็นเซียนในตำนาน ในตอนนี้ยังพิสูจน์ไม่ได้ แต่การ ใช้หนึ่งกำหมัดหนึ่งลำแข้งในการผ่าก้อนหินตัดก้อนทองนั้นไม่ ได้พูดเกินไปเลยสักนิด หลังจากบรรลุถึงระดับที่คงที่แล้ว ภาพของหนึ่งหมัดของนักนั้นเทียบกับกระสุนปืนแล้วยัง มากกว่าหลายเท่า พลาน

ถึงแม้จางผิงจะยังไม่บรรลุถึงระดับนั้น แต่ฝีมือของเขาก็ไม่ได้ อยู่ในระดับที่คนธรรมดา ๆ จะมาเทียบได้ตั้งนานแล้ว ไม่เช่นนั้น เป็นถึงคุณชายกลุ่มนายทุนระดับโลกคนหนึ่ง ไม่รู้มีคนตั้งกี่คนที่ ต้องการจะลักพาตัวเขาไปหาประโยชน์

ผลัวะ! กร๊อบ!
ชั่วเวลาต่อมา เสียงกระดูกแตกดังกังวาน ใบหน้าที่ดุร้ายของ จ้าวเทียนเหลยพลันแข็งค้าง ในแววตามีความหวาดผวาทะลัก ล้น ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงกำลังส่งออกมาจากแขนของเขา อย่างต่อเนื่อง

แถมจางสิ่งที่ควรจะถูกซัดจนกลิ้งอยู่บนพื้นในความคาดเดา ของเขา ก็กำลังยื่นมือซ้ายของตัวเองมาจับมือขวาของเขาไว้ อย่างแน่นหนา มองเขายิ้ม ๆ ท่าทีสบาย ๆ นั้นราวกับว่าเขาแค่ กำลังจับลูกเจี๊ยบไว้เท่านั้น

“แก… ปล่อยฉันนะ!”

สีหน้าของจ้าวเทียนเหลยเปลี่ยนเป็นขาวซีด เหงื่อเย็น ๆ ซึม ทะลุแผ่นหลังออกมา

ด้านนอกของห้องพิจารณาคดี เพื่อนร่วมงานทั้งสองของจ้าว เหลยเทียนยืนอยู่ทั้งสองข้างของประตูใหญ่ไม่ขยับเลยสักนิด ทันใดนั้นชายที่มีอายุน้อยหน่อยกระดิกหู ได้ยินเสียงร้องตะโกน อย่างน่าเวทนามาจากในห้อง หมุนตัวไปจะเปิดประตูใหญ่ของ ห้องพิจารณาคดี แต่กลับโดนเพื่อนร่วมงานชายที่มีอายุมาก หน่อยดึงรั้งเอาไว้

“นี่! เสี่ยวจาง ทำอะไรนะ! นายคิดว่าหัวหน้าจ้าวจะเกิด เหตุสุดวิสัยจริง ๆ เหรอ? ฉันจะบอกนายให้นะว่ามันเป็นไปไม่ได้ ไม่แน่นะตอนนี้เจ้าหนุ่มนั่นอาจจะโดนลงโทษจนน่าเวทนาไม่รู้เท่า ไหร่ต่อเท่าไหร่!”

เสี่ยวจางมองเหล่าหวางมีความไม่แน่ใจอยู่บ้าง “ไม่หรอกมั้งนายไม่ได้ยินเหรอว่าเสียงร้องของหัวหน้าจ้าวน่าเวทนาขนาด ไหน?”

“ไอ้หยา นี่นายไม่เข้าใจเหรอ ในนี้มีความรู้ตั้งเยอะ ถ้าหัวหน้า จ้าวไม่ส่งเสียงร้องละก็จะพิสูจน์ได้ยังไงว่าตัวเองจำเป็นต้อง ลงมือเพราะป้องกันตัวน่ะหา?”

เหล่าหวางพูดพลางล้วงเอาโทรศัพท์ออกมาจากอ้อมอกเพื่อ บันทึกเสียงสถานการณ์

ทันใดนั้นก็มีคนเคาะประตูใหญ่อย่างแรง “เปิดประตู! เปิด ประตูเร็วเข้า!”

เสี่ยวจางรีบเปิดประตูใหญ่ทันที ยังไม่ได้รอให้เขาเดินเข้ามาก็ รู้สึกได้ว่ามีเงาคนพุ่งเข้ามาโจมตีที่หน้าอกของเขา สำนึกได้จึง ต่อยไปหนึ่งหมัด

แต่ทว่าเสี่ยวจางตะลึงงันอยู่กับที่ทันที เห็นคนที่โดนตนต่อย จนร่วงไปกับพื้นได้อย่างชัดเจน เขาพูดอย่างติด ๆ ขัด ๆ ว่า “หัว… หัวหน้าจ้าว? ท่านเกิดอะไรขึ้นครับ?”

กำลังของจ้าวเทียนเหลยเป็นที่ยกย่องของทุกคนในสำนักงาน ตำรวจ นึกไม่ถึงว่าจะมีคนที่ทำให้เขาหนีหัวซุกหัวซุนออกมาข้าง นอกได้อย่างเสียภาพลักษณ์!?

เสี่ยวจางตะลึงอึ้งค้าง


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ