นางบำเรอในมือมาร

ตอนที่ 4



ตอนที่ 4

“เดี๋ยวซิครับคุณดา จะให้เกียรตินั่งคุยกันสักครู่ได้ไหม ครับ”

“ขอเป็นโอกาสหน้าได้ไหมคะ วันนี้ดาไม่สะดวกแล้วน่ะ ค่ะ ต้องขออภัยจริงๆ

“ครับ..ผมเข้าใจ หวังว่าโอกาสหน้าคงจะเป็นของผม”

ดวงตาคมเข้มที่ส่งมามันฉายแววปรารถนาไว้อย่าง ชัดเจนคือสิ่งที่เธอเห็น ทว่าประสบการณ์ที่สั่งสมมากว่า 5 ปี ในฐานะที่เป็นแม่เล้า และ 4 ปีก่อนหน้านั้นในฐานะของ ลูกเล้า มันทำให้เธอแยกแยะออกว่า แววตาที่ปรารถนา กับแววตาที่อยากลองของยากๆ สักครั้งมันเป็นอย่างไร และทั้งสองอย่างนั้นไม่ได้มีอยู่ในแววคมเข้มนั้นเลยสัก นิด สิ่งที่เธอเห็นมันกลับเป็นแววถือดีอยากเอาชนะเสีย มากกว่า

ร่างอวบอิ่มที่เดินจากไปทิ้งอะไรบางอย่างไว้ให้เขา ฉุกคิด เพราะความไม่สะดวกของเธอนั้นเหมือนจะยิ้มรอ ท่าอยู่ในมุมหนึ่ง มุมประจำของบิดาคือสิ่งที่นุติกระซิบ บอก ผู้หญิงคนนั้นทิ้งผู้ชายอย่างเขาเพื่อยอมรับความไม่ สะดวกในสิ่งที่บิดาเขาหยิบยื่นอย่างนั้นหรือ มุมปากยก ยิ้มอย่างถือดี เมื่อฉุกคิดได้ว่า

“ลินลดา เธอบินได้สูงดีทีเดียว”
“ลิล..ลล..ลิลลี่ เอ๊ย! อยู่ข้างบนหรือเปล่าลูก

เสียงยายเรียกดังมาจากใต้ถุนเรือนทำให้ลลิลละ สายตาขึ้นจากหนังสือเรียน ก่อนจะลุกขึ้นยืดแขนยืดขา เพราะคร่ำเคร่งนั่งอ่านหนังสือมาตั้งแต่เช้า เรือนไม้ยกพื้น สูง ไม้กระดานตีห่างไว้ให้ลมระบายได้จากด้านล่างและ เผื่อเนื้อไม้ยืดตัวหดตัวยามฤดูกาลที่เปลี่ยนไป ทําให้เธอ สามารถมองลอดลงไปเพื่อตรวจดูว่าเจ้าของเสียงปราณี ที่เอ่ยเรียกนั้น ตอนนี้อยู่ตรงจุดไหน

“ลิล..อยู่หรือเปล่าลูก”

“อยู่จ้ะยาย กําลังรีบแล้วจ้า..” เสียงหวานขานรับก่อนจะ รีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น

“ไม่ต้องรีบลูก เดี่ยวได้ตกบ้านขาแข้งหักกันบ้างหรอกเดินดีๆ”

สายตาฝ้าฟางตามวันเวลามองลอดขึ้นไปบนขั้นบันไดที่ คาดคิดว่าหลานสาวเพียงคนเดียวของแกกำลังจะรีบเดิน หรือไม่ก็อาจจะวิ่งลงมาเลยก็ได้ และก็เป็นไปตามคาด ช่วงขาเรียวยาวที่มองเห็นทําให้แกอดที่จะร้องปรามอีก ครั้งไม่ได้

“ลิลลี่ เดินช้าๆ ลูก ไม่ต้องวิ่งลงมา วิ่งลงบันไดผีบ้านผี เรือนจะหักขาเอานะลูก”
“จ๊ะจ้า.. ไม่วิ่งแล้วจ้า เดินช้าแล้วจ้า

สาวรุ่นใบหน้าสะสวยที่มองเห็น ไม่ได้แตกต่างไปจาก ลูกสาวเพียงคนเดียวของแกเลยสักนิด ยิ่งโตยิ่งเหมือน กัน คำโบราณที่ว่า “ลูกผู้หญิงเหมือนแม่มักจะอาภัพ” นั่น คือสิ่งที่ใครๆ ก็มักจะย้ำเตือนเสมอในยามเจ้าตัวน้อยนี้ยัง อยู่ในวัยเยาว์ ทว่าวันเวลาพ้นผ่านที่ลินจงสามารถทำงาน ส่งเสียเลี้ยงดูลูกสาวและตัวแกมาได้นั้น ก็ทำให้คำพูด ของหลายๆ คนต้องหยุดลง เพราะนี่ก็ปีสุดท้ายแล้วที่ล ลิลจะเรียนจบปริญญาตรี

“ยายเรียกลิลมีอะไรหรือจ๊ะ”

“ช่วยยายก๋าผักหน่อยลูก ประเดี๋ยวลุงชดเขาจะมารับ เอาไปตลาดนัด ยายเก็บช้าไปหน่อยกลัวจะก๋าได้ไม่ทัน เวลา”

ลลิลมองมือเหี่ยวย่นที่กำลังกำใบกระเพรา โหระพา และมะกรูดตะไคร้ แยกไว้เป็นกำๆ ก่อนที่ฝ่ามือขาว นวลที่ดูบอบบางนั้นจะรีบหยิบจับในสิ่งที่ยายบอกอย่าง ทะมัดทะแมง ผักสวนครัวต่างๆ ที่ปลูกอยู่ในสวนหลังบ้าน แม้จะมีพื้นที่ไม่มากนักแต่รายได้ก็เพียงพอสำหรับที่สอง ยายหลานจะประทังชีวิตไปได้อย่างไม่ลำบากลำบนอะไร ดวงตาคู่สวยหลุบต่ำมองสิ่งอยู่ในมือ พืชผักเหล่านี้ยาย สอนว่าเธอต้องรู้จักกินรู้จักใช้อย่างประหยัด เพราะถ้า ไม่ใช่เพราะผักเหล่านี้ยายก็คงจะไม่มีกำลังที่จะเลี้ยงเธอ มาจนโตได้ และลูกสาวของยายล่ะทำอะไรอยู่…

ลลิลหรือลิลลี่ ชื่อที่ผู้เป็นแม่ตั้งให้เพื่อให้คล้องจองกับ ชื่อลินจงหรือลินลดา ชื่อใหม่ที่แม่ตั้งเองสําหรับเอาฤกษ์ เอาชัยกับธุรกิจร้านอาหารที่ไปได้ดี จนทําให้มีเงินส่งเสีย เลี้ยงดูลูกสาวเพียงคนเดียวและมารดาให้อยู่ได้อย่างสุข สบาย แต่น่าแปลกที่ยายเพียงนำเงินเหล่านั้นมาสำหรับ จ่ายค่าเทอมและอุปกรณ์การเรียนของเธอเท่านั้น ส่วน ค่าใช้จ่ายภายในบ้านรวมทั้งค่ากินอยู่ล้วนแต่มาจากราย ได้ของพืชผักสวนครัวที่ยายและเธอช่วยกันปลูกทั้งสิ้น เพราะอะไรเธอไม่รู้ คำถามที่ไม่เคยเลยสักครั้ง ยายจะ ตอบ จนสุดท้ายเธอต้องเป็นฝ่ายเลิกถามไปเสียเอง

ฝ่ามือที่สอดเข้าในช่วงเอวและแนบใบหน้าลงที่อกอุ่น ของยาย ทําให้ดวงตาของยายมุกดาเริ่มจะฝ้าฟางเพราะ ม่านน้ำตาอีกครั้ง มือเหี่ยวย่นกอดรัดหลานสาวเพียงคน เดียวไว้แนบอก เจ้าตัวน้อยแสนซนที่ทำกิริยาแบบนี้จะ เป็นเรื่องใดไปได้ถ้าไม่ได้คิดถึงคนเป็นแม่ ยายมุกดา กระชับฝ่ามือที่อาจจะคิดว่าบอบบางนักทว่ามันกลับกร้าน ไปเพราะหยิบจอบหยิบเสียมมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย อ้อม กอดของผู้เป็นยายกระชับแน่นขึ้นเมื่อคิดได้ว่า

“ความลำบากเพียงนี้ลลิลต้องผ่านมันไปให้ได้ หากแม้ ลําบากกายยังทนได้ ต่อไปในภายภาคหน้าเรื่องลำบาก ใจก็จะทานทนได้เช่นกัน ลินจง เอ๊ย.. เมื่อไรแกถึงจะเลิก…แกจะต้องรอจนลูกแกรู้อย่างนั้น


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ