ซาตานทวงสิทธิ์วิวาห์

ตอนที่ 3 ดินเนอร์หลังความระทึก



ตอนที่ 3 ดินเนอร์หลังความระทึก

สายตาที่กดมองพื้นตลอดเวลา ต้องกะพริบอย่างตระหนก เรื่องราง สวยชวนเซไปสองก้าวเมื่อจู่ๆ ลิฟต์ก็สั่นอย่างรุนแรง หลังจากนั้นภายใน ลิฟต์ก็มืดสนิท นาตาตกใจจนเกือบลืมหายใจแล้วเป็นลมพับไปทันที ทว่า ไฟในลิฟต์ก็สว่างจ้าขึ้นมาอีกครั้ง

“เกิดอะไรขึ้นคะ”

แทนค่าตอบ ชายหนุ่มก็ขยับไปกดปุ่มสัญญาณเสียงโทรศัพท์ของ ลิฟต์ เขากด จนมีเสียงตอบกลับมา

“ช่วยด้วย ลิฟต์ค้าง”

“ใจเย็นๆ นะครับ จะรีบส่งช่างซ่อมบำรุงไปช่วยเดี๋ยวนี้ครับ”

หญิงสาวใจเต้นรัวกับสถานการณ์คับขันแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน เธอ หวาดกลัวไปต่างๆ นานา ร่างเล็กจึงขยับไปชิดร่างสูงใหญ่หวังจะหาที่พึ่ง พังโดยอัตโนมัติ

“ไม่ต้องกลัวนะ เดี๋ยวก็มีคนมาช่วยเรา

ใบหน้าที่พยักน้อยๆ แม้จะไร้คำพูดตอบกลับแต่ก็ทำให้วินเซนโซ ใจชื้นขึ้นมาอีกนิด เขาแน่ใจว่ากำลังห่วงเธอมาก ผู้หญิงกับห้องสี่เหลี่ยม แคบๆ อยู่ด้วยกันนานๆ ไม่ค่อยได้ ใช่ว่าจะมีประสบการณ์โดยตรงเป็น เพื่อนสาวของเขาต่างหาก ลินดาเคยติดอยู่ในลิฟต์เกือบครึ่งชั่วโมง แต่ เมื่อออกมาได้เธอก็ต้องเข้ารับการรักษากับจิตแพทย์ ไม่มีใครรู้ว่าลินดา กลัวลิฟต์ กลัวห้องสี่เหลี่ผมแคบๆ เธอไม่เคยบอกใคร ตลอดเวลาก็ใช้ลิฟต์ได้ตามปกติไม่เคยมี ปัญหา แต่วันนั้นคงเป็นเวลาที่นานแสนนานสำหรับเธอ จึงทำให้ลินดาไม่ กล้าขึ้นลงด้วยลิฟต์อีกเลย ไม่ว่าจะสูงแค่ไหนลินดาจะใช้บันไดเพราะกลัว ลิฟต์จะขัดข้อง ยกเว้นในยามจำเป็นจริงๆ ที่ต้องมีคนขึ้นลิฟต์ไปด้วยเธอ ถึงยอมขึ้น

เวลานี้ดวงตาสีบรูเน็ตจึงมองใบหน้าซีดๆ ของหญิงสาวอย่างจับจ้อง ด้วยความเป็นห่วง คนตัวเล็กไม่มีปฏิกิริยาใดๆ มากกว่าจะยืนเงียบ มี เพียงสีหน้าเท่านั้นที่ซีดลงเรื่อยๆ อย่างน่าเป็นห่วง

“นั่งลงเถอะ เวลาลิฟต์ค้างเราต้องนั่งลง

นาตาเงยหน้าขึ้นมองเขาก่อนร่างสูงจะนั่งลงก่อนเธอจึงค่อยๆ นั่งตาม พัดลมระบายอากาศหยุดทำงาน นี่คงเป็นเหตุที่ควรนั่งลงกับพื้น

“กลัวทีแคบหรือเปล่า”

“ไม่ค่ะ แต่กลัวจะไม่ได้ออกไป” เธอยอมบอกเขาถึงความกลัว หน้า ชัดๆ ของเธอก็ทำให้วินเซนโซ่อยาก โอบกอด เขาไม่ได้ทำอย่างที่คิด ได้ แต่มองเธอด้วยความเป็นห่วง

“ค้างบ่อยไหมคะ” เธอถาม

“ไม่รู้สิ ต้องถามคนใช้ลิฟต์ประจำ” ว่าแล้ววินเซนโซก็หยิบมือถือออก มาเพื่อจะโทรหาเพื่อน โดมินิค ทว่าสัญญาณมือถือกลับไม่มีเลยสักขีด “ช่างเป็นใจจริงๆ เลยนะ” เขาบ่น

“ทำไมหรือคะ” นาตาชะโงกหน้าไปมองมือถือของเขาอย่างอยากรู้

อยากเห็น
“โทรศัพท์ไม่มีสัญญาณ”

หญิงสาวหยิบโทรศัพท์มือถือของตนออกมาดูบ้าง

“ของฉันก็เหมือนกันค่ะ”

ทั้งคู่นั่งเงียบไปได้สักพัก นาดาก็ขยับจนต้นขาของทั้งคู่ชนกัน ตา สบตาแวบหนึ่งฝ่ายหญิงสาวก็หลบวูบแก้มระเดื่อสีขึ้นมาในบัดดล แก้มเธอ แดง ปลายจมูกเล็กมีเหงื่อซึมออกมานิดๆ ยิ่งมองก็ยิ่งลงความเห็นว่าน่ารัก น่าปรารถนามากแค่ไหน

“อีกนานไหมคะกว่าเราจะได้ออกไปจากลิฟต์ ฉันเริ่มกลัวแล้วนะคะ”

ชายหนุ่มอมยิ้มนิดๆ คนที่บอกเริ่มกลัวก็เริ่มนั่งไม่สุขเช่นกัน เขาคว้า มือเล็กมาบีบนวดพบว่ามือของเธอเย็นเฉียบ วินาทีนั้นนาดาไม่ได้ชักมือ กลับแม้จะขวยเขินไปบ้างที่ถูกเขาจับมือ ทว่าสัมผัสนั้นก็เต็มไปด้วยความ อบอุ่นที่ซานลึกไปถึงหัวใจที่กำลังเต้นรัวด้วยความหวาดกลัว

“ซบที่อกฉันมั้ย อย่างน้อยเธอจะได้แน่ใจว่าฉันจะไม่ทิ้งเธอไปไหน”

“เรายังออกไปไม่ได้ แล้วคุณจะทิ้งฉันได้ยังไงล่ะคะ” เธอย้อนถาม เสียงพร่า

“แต่อย่างน้อยอกของฉันก็น่าจะทำให้เธอคลายความกลัวไปได้บ้าง ลองดูสิ” ว่าแล้วลำแขนทั้งสองข้างของเขาก็อ้ากว้าง แล้วการรอคอยก็สิ้น สุดเมื่อมาดายอมอิงแอบศีรษะแนบทรวงอกอุ่นๆ ของเขาราวกับต้องมนตร์ เสน่ห์
“เราจะได้ออกไปจากที่นี่ใช่มั้ยคะ” น้ำเสียงของเธอยังไม่คลายกังวล ตราบใดที่ยังต้องนั่งอยู่ในนี้โดยไม่มีพัดลมระบายอากาศ ออกซิเจนก็ย่อม จะลดน้อยลงเรื่อยๆ

“ได้สิ ฉันไม่มีทางให้เราทั้งคู่ตายอยู่ในนี้แน่ๆ

ลมหายใจอุ่นจัดที่เปารดศีรษะของเธอตอกย้ำให้รู้ว่าเขาจะอยู่กับเธอ จนกว่าจะได้ออกไปด้วยกัน อ้อมอกอุ่นให้เธออิงแอบเอาหูแนบทรวงอก ข้างซ้าย ได้ยินเสียงหัวใจเต้นตึกตัก น่าแปลกที่เขายังควบคุมจังหวะการ เต้นของหัวใจให้เป็นปกติแม้ยามอยู่ในสถานการณ์แบบนี้

“ไม่ต้องกลัวนะน้ำค้าง ฉันจะปกป้องเธอเอง

ประโยคนั้นซ่านเข้าไปถึงทรวงอกที่มีหัวใจดวงน้อยๆ กำลังเต้นระรัว มันน่าจะเต้นอ่อนลงหรือเปล่า ไม่ใช่เต้นรัวเร็วขนาดนี้ นี่เธอตื่นเต้นแทนที่ ความหวาดกลัวแล้วหรือไร กลิ่นอาฟเตอร์เชฟผสมน้ำหอมผู้ชายกลิ่นหอม เย็นๆ ชวนให้สูดดมแทนออกซิเจนที่เหลือ ได้ยินเสียงลมหายใจที่กรุ่นกลิ่น ความสดชื่นของเขา ร่างของเธอถูกโอบกอดด้วยวงแขนกายอบอุ่น

เวลาผ่านไปได้หลายนาทีทีเดียวกวาลิฟต์จะเปิดออก และภาพที่คน ภายนอกเห็นก็คือภาพของร่างเล็กที่แนบนิ่งอยู่กับอกอุ่นของคนตัวโต นา ดากระพือขนตางอนงามมองแสงสว่างจากเบื้องหน้าด้วยอาการของคน อ่อนแรง ก่อนจะเบิกตากว้างขึ้นเมื่อเห็นชายฉกรรจ์แต่งกายด้วยชุดแบบ เดียวกันยืนมองเธออยู่ เมื่อสำนึกสั่งให้ต้องรีบร้อนลุกขึ้นอย่างประหม่า ชายหนุ่มก็ยิ่งโอบรัดร่างเล็กอย่างหวงแหน โดยที่เธอไม่ทันรู้สึก นาดาหัน ไปสบตาเขาแวบหนึ่งคล้ายจะพูดบางอย่างกว่าเธอกลับต้องนิ่งเงียบเมื่อ สบตาทีความหมายคู่นั้น วินเซนโซ่ประคองนาตาลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากลิฟต์ ได้อย่างปลอดภัย

ฝ่ายซ่อมบำรุงอาคารสถานที่เป็นอันต้องก้มหน้าทันทีที่เห็นสายตาคม ปลาบมองมาอย่างดุดันน่ากลัว บางคนที่เพิ่งเข้าทำงานไม่ถึงปีก็ยังไม่เคย คุ้นกับใบหน้าหล่อเหลาและดุดันของคนตรงหน้า แต่เมื่อเพื่อนๆ ร่วมอาชีพ ก้มหน้าอย่างยอมรับผิดก็จำต้องทำให้เหมือนพร้อมกับสำนึกว่าชายตรง หน้าต้องเป็นผู้ทรงอิทธิพลที่สุดบนตึกนี้อย่างแน่นอน

“ทําไมลิฟต์ค้าง” คำถามแรกเมื่อเขาเผชิญหน้ากับฝ่ายซ่อมบำรุง

อาคาร

“ไม่ทราบครับ ปกติก็ใช้ได้ดีไม่เคยมีปัญหา” คำแก้ตัวก็คือค่าแก้ตัว ไม่ใช่ความรับผิดชอบใดๆ ที่วินเซนโซต้องการ และเขาจะต้องจัดการเรื่อง นี้เพื่อไม่ให้เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง

“ถ้าพวกนายไม่รู้แล้วใครจะรู้ ในเมื่อพวกนายไม่รู้ ฉันก็ไม่เห็นความ

จําเป็นให้ทํางานต่อ

“ท่านครับ พวกผมผิดไปแล้ว ลิฟต์เคยใช้งานได้ดีมาตลอด ไม่คิดว่า จะ” ซวย! ต้องเรียกว่าซวยของแท้ ลิฟต์กันค้างตอนที่บิ๊กบอสอยู่ในนั้น พอดี แบบนี้ไม่เรียกว่าซวยแล้วจะเรียกว่าอะไร

“เป็นฝ่ายซ่อมบำรุงถ้าไม่รู้หน้าที่แล้วฉันจะเลี้ยงไว้เพื่ออะไร หรือต้อง รอให้เกิดก่อนถึงจะแก้ไข วัวหายแล้วค่อยล้อมคอกหรือไง ทำงานกันแบบ นี้ไปทําที่อื่นเถอะไป!” วินเซนโซ่โกรธมากเพราะในสถานการณ์ที่ไม่น่าไว้ วางใจเช่นนั้นมีนาดาอยู่ด้วย หากเกิดอะไรขึ้นไม่ได้เกิดกับเขาแค่คนเดียว เหตุนี้อารมณ์ฉุนเฉียวจึงคูณสองด้วยความเป็นห่วงร่างเล็กที่ยัง โอบประคองไว้ไม่ห่าง

“คุณวินหวนคะ ฉันว่าอย่าโกรธพวกเขาเลยค่ะ มันเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องแบบนี้หรอกนะคะ” เธอออกตัวช่วยฝ่ายซ่อม บำรุงกลุ่มนี้ ไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องขึ้นคนพวกนี้ก็เหมือนกัน มันเป็น เหตุสุดวิสัยที่เธอกับเขาดันเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นพอดิบพอดี

“แล้วพรุ่งนี้ฉันจะสะสางเรื่องนี้อีกที ไปกันเถอะ” แต่คนอย่างวินเซน โซ่ไม่เคยกลับค่า เขาไม่อยากให้เธอเข้าข้างคนทำงานพลั้งพลาดจึง กระตุกข้อมือเล็กให้เดินตามไปติด ร่างเล็กซอยเท้าตามร่างสูงโดย อัตโนมัติ นึกเห็นใจที่ชะตากรรมของชายกลุ่มนั้น

รถคัน โก้หรูหรามีคนขับรถส่วนตัวกำลังเปิดประตูห้องผู้โดยสารใน ตอนท้ายออกกว้างอย่างรอคอย วินเซนโซ่ให้นาดาขึ้นไปก่อนเมื่อเธอลังเล เขาก็ใช้ตัวเองเบียดเธอเข้าไป

“ไปโรงแรม…” เขาบอกชื่อโรงแรมกับคนขับรถ หลังจากนั้นรถคันโก้

สีดำมันปลาบก็เคลื่อนออกจากจุดนั้น

“คุณจะพาฉันไปไหนคะ” เธอแทบจะดีดตัวออกห่างเมื่อรู้ว่าเขาจะพา เธอเข้าโรงแรม มือเล็กตะปบที่เปิดประตูพร้อมจะงัดมันเพื่อหนีออกจากรถ คันนี้

“เธอกำลังคิดอะไรอยู่ คนสวย” ชายหนุ่มเลิกคิ้วเข้มขึ้น สีหน้าแวว ตาเต็มไปด้วยความท้าทายจองหอง มันน่าจะมีติดตัวเขามาตั้งแต่เกิด เพราะครั้งแรกที่เธอเข้าไปในห้องทำงานกว้างก็ได้เห็นความจองหองอยู่ใน สีหน้าและแววตาของเขาเข้าแล้ว คนรวยมักจะทำอะไรไม่เห็นหัวใคร หรือ จะจริง?
“ก็คุณบอกว่าจะไปโรงแรม

“เราจะไปดินเนอร์ด้วยกันไง” แล้วเขาก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนได้กลิ่น ลมหายใจสดชื่นที่เธอชอบมัน “หรือเธอคิดว่าฉันจะพาขึ้นเตียงหลังจากที่ เพิ่งหลุดออกมาจากห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ นั่น

“เอ่อ…คือ…”

แล้วเธอก็ยังอ่อนแรงจนฉันไม่แน่ใจว่าจะรับแรงตราตรึงจากฉันได้ มากแค่ไหน” เห็นแก้มแดงระเรื่อแทนสีหน้าซีดๆ ก็อยากแกล้งให้อายไป นานๆ

“คุณคิดอย่างนั้นจริงๆ หรือคะ” เธอหลุดปากออกไปแล้วก็เพิ่งนึกขึ้น ได้ ก่อนจะหุบปากฉบซ้ำยังเม้มปากแน่นเหมือนไม่อยากให้เขามองเห็น “ฉันก็แค่…” แล้วทีนี้ก็เริ่มหาข้อแก้ต่างให้กับตัวเอง

“คิด” คนขี้แกล้งก็อยากเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างน่ารัก เหมือนตุ๊กตาที่แสดงออกถึงอารมณ์อันมากมายของตัวเองได้

“มะ… ไม่นะคะ” เสียงหวานละล่ำละลักบอก มือพร้อมเกี่ยวที่เปิด ประตูราวกับคนใจกล้า

“ไม่อะไร ไม่ดินเนอร์กับฉัน หรือไม่ขึ้นเตียงกับฉัน” ใบหน้าของเขายัง ลอยอยู่ใกล้ๆ ปลายจมูกแทบชนกันอยู่รอมร่อ นาดาผงะหงายจนศีรษะ กระแทกเข้ากับประตูรถ ณ ตอนนั้นเธอเปิดประตูแต่มันกลับเป็นกำแพง หนาที่ไม่มีวันเปิดออกเสียแล้ว

“คุณวิน!” เพราะตระหนกตกใจก็เลยเรียกชื่อเล่นของเขา และนั่นก็ ทำให้ใบหน้าคมจัดกดยิ้มนิดๆ ทว่ากลับทำให้โลกทั้งใบสว่างสดใสมากมายก่ายกอง

“เธอเปิดมันไม่ออกหรอก ถ้าฉันไม่ต้องการให้เธอออกไป

ปลายนิ้วของนาตาพยายามงัดที่เปิดประตูแต่จัดเท่าไหร่ก็ไม่ออก มัน ไม่เป็นตามต้องการหมายความว่าเธอกำลังติดกับดักหรือนี่ สาวน้อยหัน ขวับไปมองคนที่ขยับมานั่งเบียดทั้งที่มีพื้นที่ว่างเหลือเฟือ ต้นขาแนบต้นขา ก็มากไปแล้ว นี่ใบหน้าคมจัดยังโน้มต่ำลงมาหาจนได้กลิ่นลมหายใจ สดชื่น รอยยิ้มที่จุดบนมุมปากของเขาทำให้ใจสาวเต้นโลด มันเจ้าเล่ห์และ มีมนตร์สะกด ความหล่อร้ายของเขากำลังทำให้เธออยากกลั้นหายใจ

“อย่ามองฉันเหมือนไอ้โจรโรคจิตอย่างนั้นน้ำค้าง ฉันเป็นคนดี รับรองได้” ว่าแล้ววินเซนโซก็ถอยหลังกลับหลังจากแกล้งเธอได้สมใจ อาจ จะยังไม่หนำใจแต่มากกว่านี้คงทำกระต่ายกระโดดหนีไปก่อน

นาดามองเขาอย่างระแวดระวังอีกทั้งยังนั่งเบียดประตูรถจนแทบจะ กลืนเป็นเนื้อเดียวกัน สายตามองมุมปากสีเข้มที่กดลึกเป็นรอยยิ้มก่อนจะ ลอบมองมือใหญ่ที่วางอยู่บนเบาะรถตรงช่องว่างระหว่างกัน คิดในแง่ดี เขาอาจจะดูเจ้าชู้แต่อาจจะเป็นคนดีอย่างที่ปากว่า ตอนอยู่ในลิฟต์ก็ดูเป็น สุภาพบุรุษปลอบโยนเธอให้หายหวาดกลัว ไม่ได้บังคับขืนใจแต่อย่างใด เป็นเธอเองที่อิงแอบแนบอกกว้างของคนที่เอ่ยปลอบขวัญและกอด ปลอบโยนตลอดเวลา

คนรับรอง ความดี’ ของตัวเองอมยิ้มกรุ้มกริ่ม แสร้งมองออกไปนอก รถพอนาดาเผลอมองบ้างสายตาคมกริบก็ลอบมองเธอ ผู้หญิงที่จะมาเป็น เมียเป็นแม่ของลูกและเขาไม่ใช่คนเลือกทั้งสวยหวาน ทั้งน่ารัก และขี้ตกใจ ตาคมกวาดมองไปยังอกอิ่มยามเจ้าตัวเผอเรอขยับไปมาเสื้อที่เธอสวมก็ขยับตาม คงไม่รู้สินะ หน้าอกหน้าใจกันตัวเสื้อออกมายั่วยวนสายตาหมาป่าขนาดไหน กำลังหิว เสียด้วย เห็นแล้วน้ำลายสออยากเธอให้จมเขียวละเลียดกลืนกินเธอ อย่างช้าๆ เพื่อซึมซับรสชาติของเนื้อนางแสนนุ่ม

เพราะขัดเป็นที่ต้องเข้าโรงแรมไปพร้อมกับเขา นาตาจึงเสมองออก ไปนอกรถและหยุดสายตาไว้แค่ภาพที่แล่นผ่าน โดยไม่มองคนข้างๆ ซึ่ง กำลังกลืนกินเธอทางสายตา ถ้าเธอจะหันมามองเขาสักนิดก็คงงัดประตูรถ อีกหนเป็นแน่ แต่หากตอนนี้ตากลมคู่สวยกำลังมองภาพภายนอก แม้แต่ เงาสะท้อนของร่างสูงที่กระจกก็ยังไม่อยากเห็นกลัวหัวใจเต้นเร็วเหมือน เมื่อ

“เธออายุเท่าไหร่น้ำค้าง” เป็นวินเซนโซ่ที่หยุดความเงียบงันเสียเอง

22 ค่ะ ฉันบอกคุณไปแล้วไงคะ”

“ใช่ แต่ฉันอยากได้ยินอีก”

“ทำไมคะ หรือคุณขี้ลืม

“ฉันจําได้ทุกอย่างที่เป็นเธอตั้งแต่เราเจอกันครั้งแรก ที่ถามก็เพราะจะ ได้แน่ใจ

นาตาขยับตัว รู้สึกว่าเขาจะพูดอะไรแปลกๆ ไม่ลืมแต่ถามเหมือน ลืม แล้วอายุเธอจะทำให้เขาแน่ใจในเรื่องอะไรกัน

“เรื่องอะไรหรือคะ”

“เรื่องเธอ”
เรียวปากสีเข้มไม่คิดจะแก้ปมในใจให้นาดาหายงง วินเซนโซ่เพียง แต่กำลังคิดถึงช่องว่างระหว่างวันที่ควรจะแคบลงตั้งแต่รู้จักว่าที่เจ้าสาว ของเขา ดูเหมือนว่าเธอจะยังไม่รู้เรื่องอะไร คงไม่รู้ว่ากำลังจะถูกผู้ใหญ่จับ คลุมถุงชนให้กลายเป็นอาหารจานเด็ดของหมาป่าผู้หิวโซ ยังไม่รู้ก็ดี เขา จะได้ทำความรู้จักกับเธอให้มากขึ้นกว่านี้อีกสักนิด บางทีอาจจะมีโอกาส ลิ้มรสเนื้อหวานๆ ก่อนจะเขมือบเธอเข้าไปทั้งตัว

หญิงสาวผู้น่าสงสารยังไม่รู้เท่าทันความคิดเจ้าเล่ห์ของหมาป่าหนุ่ม หล่อ เวลานี้เธอคิดแต่เพียงว่าอยากให้เวลาของวันนี้หมดๆ ไปจะได้กลับ บ้านและถอยห่างออกจากเขาเสียที

เมื่อถึงโรงแรมหรูระดับห้าดาวซึ่งมีแต่คนรวยๆ เท่านั้นที่จะเหยียบ เข้าไปได้ นาดาเดินตัวเกร็งเคียงข้างวินเซนโซเข้าไปในส่วนภัตตาคาร อาหารเลิศหรู การเข้าห้องอาหารหรูๆ ไม่ทำให้นาดาเกร็งได้เท่ากับการ เดินเคียงข้างผู้ชายที่เปรียบเสมือนแกนแม่เหล็กดึงดูดสาวๆ เธอรู้สึกได้ถึง สายตาหลายคู่มองตาม รู้สึกแผ่นหลังกระตุกเพราะแรงสะท้านลุกฮือของ เส้นขน แถมยังรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรกับการเดินเคียงข้างเขาแบบนี้

นี่เธอไม่ได้อยากมากับเขาหรอกนะ แต่เธอปฏิเสธเขาไม่ได้จริงๆ

“สั่งอาหารเลย ฉันกินอะไรก็ได้ทั้งนั้น

“คุณสั่งเถอะค่ะ ฉันกลัวว่าจะสั่งมาไม่ถูกปากคุณ
วินเซน โซ่จึงเป็นคนสั่งอาหารรวมถึงเครื่องดื่มสําหรับคนสองคน นา ดาตาโตเมื่ออาหารที่เขาสั่งถูกทยอยมาเสิร์ฟ แต่ละอย่างเธอไม่คิดว่าเขา จะกินได้ อาหารรสชาติจัดจ้านในแบบไทยๆ ฝรั่งส่วนมากไม่ถูกปาก เขา คงเป็นอีกส่วนที่ชอบอาหารรสเผ็ดกระมัง

“แม่ฉันเป็นคนไทย คงไม่แปลกถ้าฉันกินอาหารรสเผ็ดได้” เขาเอ่ย

ยิ้มๆ

“ค่ะ” เธอตอบรับสั้นๆ แล้วตักอาหารเข้าปากเรื่อยๆ แต่ค่อนข้างรีบ ร้อนพอถูกทักเลยสำลักกับข้าวขึ้นจมูก

“ฉันไม่ใช่ยักษ์ใช่มาร ที่เธอจะต้องรีบหนีไปให้ไกลหรอกน่า ค่อยๆ กิน สำลักแล้วเห็นไหม” ว่าแล้วแก้วน้ำก็ถูกจ่อที่ริมฝีปากอิ่ม นาดารีบรับมา ดื่มก่อนจะแสบจมูกไปมากกว่านี้ ดื่มน้ำแล้วก็ดีขึ้นแต่กลับมีความเขินอาย เข้ามาแทนที่ แก้มใสจึงแดงระเรื่อจนต้องก้มหน้างุดหลบหนีสายตาคมกับ วาวราวกับกําลังยิ้มได้ของเขา

“เธอเรียนจบหรือยัง” ชวนคุยเรื่องทั่วไปประดับความรู้สึกนิด

“เพิ่งจบค่ะ”

“จบอะไร”

“บริหารค่ะ”

“แล้วคิดจะทำงานที่ไหน มองๆ ไว้แล้วหรือยัง” ทั้งที่รู้ว่าบ้านเธอมี กิจการให้ดูแล แต่เขาก็ยังถามและแกล้งทำไม่รู้ ในเมื่อนาดายังไม่รู้จักเขา เธอก็ควรยังไม่รู้ต่อไป

“จะช่วยงานคุณพ่อค่ะ” ครอบครัวของเธอมีแค่สองคนพ่อลูก ถ้าไม่ช่วยงานพ่อแล้วจะดิ้นรนไปทำงานที่อื่นทำไม พ่อของเธอก็อายุ มากขึ้นทุกวัน ท่านแบกรับภาระหนักอึ้งมาตลอดไม่มีลูกชายรับช่วงต่อมีแต่ ลูกสาว ดังนั้นลูกสาวคนเดียวอย่างเธอก็ควรจะช่วยแบกรับภาระของพ่อไว้ บ้าง

“พ่อของเธอมีธุรกิจ?”

“ค่ะ คุณพ่อมีธุรกิจเกี่ยวกับนำเข้าและส่งออก ฉันคิดว่าคงจะช่วยงาน ท่านได้บ้าง

“เธอต้องช่วยท่านได้อยู่แล้วน้ำค้าง วินเซนโซ่พูดเป็นนัย “แล้วเธอมี คนรักหรือยัง”

คำถามต่อไปซึ่งเธอไม่รู้ทำไมเขาถึงสนใจแต่เรื่องส่วนตัวของเธอ นาดา ออกจะหงุดหงิดที่ต้องมานั่งเปิดเปลือยเรื่องราวของตัวเองให้ชายแปลก หน้าฟัง ถึงจะรู้จักกันและช่วยเหลือกันเล็กน้อยในลิฟต์ แต่เขาก็ยังเป็นคน แปลกหน้าสําหรับเธอ เรื่องที่เขาสนใจก็มีแต่เรื่องส่วนตัวของเธอซึ่งเป็น เรื่องผิดปกติ ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนมาล้วงลับตับแตกกับเธอแบบนี้

“ฉันว่าเรารีบกิน แล้วก็รีบกลับกันเถอะนะคะ” เธอตัดบท เผลอแสดง สีหน้าไม่พอใจออกไป ทำเอาคนที่ตั้งคำถามถึงกับเลิกคิ้วขึ้นสูง

“ทําไม มีนัดต่อเหรอ”

“เปล่าค่ะ แต่ฉันต้องไปเอารถที่บริษัทคุณขับกลับบ้าน ช่วงนี้รถติด มากด้วยนะคะ ฉันไม่อยากกลับถึงบ้านดึกมากเดี๋ยวคุณพ่อจะเป็นห่วงค่ะ

เหตุผลของเธอฟังขึ้นทีเดียว และวินเซนโซก็อดเป็นห่วงเจ้าของร่าง อิ่มที่ต้องขับรถกลับบ้านกลางค่ำกลางคืนไม่ได้ด้วย ดังนั้นเมื่อเธอร้องขอเรื่องนี้เขาก็เลยเห็นด้วยพร้อมนึก เสียดายที่ต้องหยุดเวลาดินเนอร์กับเธอไว้เท่านี้ ยังมีเวลาอีกถมเถที่เธอจะ ต้องกลับมาสู่อ้อมอกของเขาอีกครั้ง

หลังจากกลับไปเอารถที่จอดไว้บนลานจอดรถของบริษัท โทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ซึ่งกำลังครองตลาดทางภาคพื้นเอเชียนเอาไว้หนา แน่นพอๆ กับฝั่งยุโรป นาดาก็ขับรถออกมา โดยไม่รู้ว่ามีรถคันใหญ่แล่น ตามมาตลอดทางจนถึงบ้าน รถสีดำคันโก้จอดอยู่นอกรั้วบ้านหลังใหญ่ ก่อนที่คนในรถจะต่อโทรศัพท์ทางไกลข้ามทวีปถึงมารดา

“คุณแม่ครับ ผมเจอเธอแล้ว”

บ้านใหญ่หลังเดิมในวันนี้กลับให้ความรู้สึกแปลกๆ มันเงียบเหงา เหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง คนเดียวที่เธอจะมองหาทุกครั้งเมื่อกลับบ้าน ก็คือบิดา หญิงสาวเดินตรงไปยังห้องทำงานของบิดา ปกติแล้วท่านจะขลุก อยู่ในนั้น งานของท่านเยอะจนบางวันต้องหอบกลับมาทำที่บ้าน นาดาก็ไม่ เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมประธานบริษัทถึงต้องทำงานหนักขนาดนี้ เธอเคย ขอช่วยแต่บิดาก็ให้ทำแค่เอกสารง่ายๆ เช่นรายงานหลังจากที่ท่านสรุป ตรวจเช็กด้วยตัวเอง เธอเคยถามท่านว่าทำไมต้องทำเอง หน้าที่นี้น่าจะเป็น ของเลขานุการของท่าน คำตอบที่ได้รับก็คือ

เราจะไม่มีทางรู้ช่องโหวถ้าไม่ลงมือทำเองบ้าง

วันนี้คุณพ่อของเธอก็คงจะอยู่ในนั้น ประตูไม้สักทองแกะสลักงดงาม ถูกผลักเข้าไป แล้วนาดาก็ต้องเบิกตากว้างก่อนจะซอยเท้าไปพยุงร่างหนา ใหญ่ของคุณพ่อ

“คุณพ่อคะ คุณพ่อ!” เธอทั้งร้องเรียกทั้งเขย่าร่างบิดา แต่ท่านก็ไม่ลืมตาขึ้นมา “ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยเรียกรถพยาบาลที เธอร้องตะโกนซ้ำๆ แบบนั้นจนกระทั่งจันทราแม่บ้านที่ทำงานกับบิดามา นานนับสิบปีวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา

“โทร.ตามแล้วค่ะ ทำใจดีๆ นะคะคุณหนู

ไม่ว่าแม่บ้านสาวใหญ่จะปลอบใจคุณหนูนาตายังไง คุณหนูคนสวยที่ เคยเปรียบเสมือนดอกไม้ประจำบ้านพจนะนนทกิจก็ยังคงร่ำไห้และร้อง เรียกผู้เป็นพ่ออย่างน่าเวทนา

ภายในโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังที่มีเครื่องไม้เครื่องมือเพียบพร้อม นาดาวิ่งตามร่างของบิดาที่ถูกเข็นเข้าห้องฉุกเฉินตามติดด้วยจันทราซึ่งขอ ตามคุณหนูมาด้วยความเป็นห่วง

“คุณพ่อ!” เธอร้องเรียกบิดาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ประตูห้องฉุกเฉิน จะปิดกั้นทุกสิ่งทุกอย่างจากสายตา “ป้าจนขา คุณพ่อจะไม่เป็นอะไรใช่มั้ย คะ

“ใช่ค่ะคุณหนู” จันทราบีบมือนุ่ม ให้กำลังใจ “คุณท่านต้องไม่เป็น

อะไรค่ะ เชื่อป้านะคะคุณหนู

นาดาสะอึกสะอื้นเนื้อตัวสั่นเทิ้ม น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลสู่พื้น เธอ

พยายามดีในแง่ดีแต่ทว่า ในความเป็นจริงกลับทำได้ยากยิ่งนัก อาการ

ป่วยของบิดาดูหนักหนาสาหัส เธอไม่คิดว่าบิดาจะอาการหนักจากโรค

ประจำตัวตามประสาคนสูงวัยที่มักจะมีไขมัน คอเลสเตอรอลในเส้นเลือด

สูง หรือความดันสูง ท่านรักษาตัวมาโดยตลอดไปหาหมอตามนัดไม่เคย

ขาดและได้ยามากินพร้อมกับควบคุมอาหารการกินเพื่อสุขภาพทุกอย่าง

แล้วทำไม… ทำไมคุณพ่อของเธอถึงอาการหนักขนาดสลบนิ่งอยู่ที่พื้น
“คุณพ่อทานข้าวเย็นหรือยังคะ” เธอถามจันทรา

“ทานตามปกติค่ะ กลับมาคุณท่านก็ยังดีๆ นะคะ ไม่มีอะไรผิดปกติ สองพ่อลูกมักจะทานข้าวด้วยกันเสมอ นอกจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่อยู่ อีก ฝ่ายจึงต้องทานข้าวเย็นเพียงลำพัง กรณีของบิดาไม่สามารถรอทานข้าว พร้อมเธอได้ทุกวัน เมื่อถึงเวลาทานยาหลังอาหารเย็นก็ต้องทาน และต้อง ไม่ทานข้าวหลัง 4 โมงเย็น เพื่อควบคุมน้ำหนัก

“แล้วอะไรทำให้คุณพ่อเป็นแบบนี้คะป้าจีน คุณพ่อดูแลตัวเองอย่างดี ตามที่คุณหมอสั่งทุกอย่าง ท่าไมคุณพ่อถึงเป็นแบบนี้ได้คะป้าจัน

“ใจเย็นๆ นะคะคุณหนู นั่งก่อนค่ะ บางทีอาจจะไม่ร้ายแรงอย่างที่คิด คุณท่านอาจจะแค่เป็นลมไป

“น้ำค้างก็ขอให้เป็นอย่างนั้นค่ะ แต่น้ำค้างเป็นห่วงคุณพ่อเหลือเกิน ค่ะป้าจนขา”

“โถ… ทูนหัวของป้า” นาดากับจันทรานั่งลงบนเก้าอี้หน้าห้องฉุกเฉิน หญิงสาวยิงศีรษะกับบ่าของแม่บ้านสูงวัย เธอยังเป็นห่วงคนข้างในใจจะ ขาด ไม่เคยเห็นท่านเป็นแบบนี้ กลัวเหลือเกิน กลัวว่าบิดาจะเป็นอะไรไป เธอไม่ยอมหรอก ท่านจะต้องไม่ทิ้งเธอไปไหน

เกือบหนึ่งชั่วโมงคุณหมอก็ออกมา นาดาผุดลุกขึ้นพรวดแทบจะวิ่งไป เกาะแขนคุณหมอ

“คุณพ่อเป็นยังไงบ้างคะคุณหมอ

“คนไข้มีอาการคล้ายเส้นเลือดในสมองแตกนะครับ จะต้องทำการ เอ็กซเรย์และส่งเข้าห้อง ICU ตอนนี้เลย
“แล้วจะมีทางรักษาหายหรือเปล่าคะคุณหมอ

“หมอจะทำให้เต็มที่และดีที่สุดนะครับ ขอตัวก่อน แล้วคุณหมอก็ ย้อนกลับเข้าไปในห้องฉุกเฉิน

นาดามีเวลาแค่หันไปจับแขนจันทราเมื่อรู้สึกคล้ายหน้าจะมืด ประตู ห้องฉุกเฉินก็เปิดพร้อมบุรุษพยาบาลเซ็นเตียงคนไข้ย้ายไปห้อง ICU

“คุณพ่อ…” คนเป็นลูกร้องเรียกเสียงสั่นก้าวตามไปติดๆ เธอได้แต่ ภาวนาขออย่าให้บิดาเป็นอะไรเลย ท่านเป็นคนดี ท่านจะต้องหาย คุณหมอ จะต้องรักษาได้ และเธอก็พร้อมจ่ายเงินเพื่อรักษาชีวิตของบิดาเอาไว้

เวลาที่สุดแสนจะบีบคั้นหัวใจดวงน้อยอย่างหนักก็ต้องสิ้นสุดลง เมื่อ คุณหมอออกมารายงานผลการตรวจอีกครั้ง

“เราพบว่าคนไข้มีภาวะเส้นเลือดฝอยในสมองแตก และเพิ่งจะหมด สติไปไม่นาน ถือว่าโชคดีมากครับ เพราะถ้ามาช้าโรคนี้อาจจะทำให้เสีย ชีวิตได้ง่ายๆ”

“หมายความว่าคุณพ่อปลอดภัยแล้วใช่มั้ยคะ”

“ยังต้องรอดูอาการก่อนนะครับ ถ้าเลือดไหลมากขึ้นจะต้องเจาะกระ โหลกดูดน้ำออกเพื่อให้ความดันในกระโหลกศีรษะลดลง แต่…

“แต่อะไรคะ”

“การผ่าตัดมีความเสี่ยงสูงครับแต่มีโอกาสหาย ถ้าไม่ผ่าตัดก็ไม่มี โอกาสหายและอาจจะต้องถึงแก่ชีวิต”

นาดานิ่งไป หมายความว่าถึงจะผ่าตัดบิดาของเธอก็ยังมีสิทธิ์จากเธอ ไป แต่ถ้าไม่ผ่าตัดบิดาของเธอก็พร้อมจะจากเธอไป เปอร์เซ็นต์การรอดชีวิตเธอไม่ถาม เธอตัดสินใจตอบหมอไปว่ายอม ให้ผ่าตัดถ้าเลือดยังไม่หยุดไหล แม้จะมีความเสี่ยงสูงแต่ถ้าไม่เสียงก็ไม่ รอด

“เส้นเลือดฝอยในสมองแตก หลายคนก็ยังรอดชีวิตนะครับ และ หลายคนก็โชคดีที่ฟื้นขึ้นมาพูดได้ เพียงแต่อาจจะเป็นอัมพาต

“คุณหมอช่วยคุณพ่อด้วยนะคะ เสียเงินเท่าไหร่น้ำค้างก็ยอม

คุณหมอพยักหน้าและเดินกลับเข้าห้อง ICU จันทราน้ำตารื้นสงสาร คุณท่านและคุณหนูจับใจ ทำไมคุณท่านต้อง โชคร้ายแบบนี้ทั้งที่ดูแลตัวเอง อย่างดีมาตลอด แล้วจันทราก็นึกถึงอดีต ช่วงนั้นเธอกลับบ้านต่างจังหวัด เจอเพื่อนบ้านเข้าโรงพยาบาลด้วยโรคนี้ แต่เพื่อนบ้านมีฐานะดีมีเงินเก็บ มากพอจะให้หมอรักษาจนหาย

“ใจเย็นๆ นะคะคุณหนู เพื่อนป่าที่บ้านติดกันเป็นโรคนี้ ตอนนี้นั่งรถ เข็นแต่ก็ยังช่วยเหลือตัวเองได้ เหมือนเราที่โชคดีเพราะบ้านกับโรง พยาบาลไม่ไกลกัน เดินทางแค่สิบกว่านาทีก็ถึง การมาถึงมือคุณหมอเร็วก็ เปรียบเหมือนการช่วยชีวิตที่เร็วขึ้นทันเวลา เชื่อป้านะคะ หมอที่นี่ก็เก่ง รักษาคนไข้ให้หายมาเยอะแยะ คุณท่านก็ต้องหายเชื่อป้านะคะ”

หญิงสาวพยักหน้าโอบกอดจันทราอย่างคนขวัญเสียที่พยายามทำตัว ให้เข้มแข็งมากที่สุด ครอบครัวของเธอมีแค่หนึ่งเดียวก็คือบิดา ถ้าขาด ท่านไปสักคนนาดาก็ยังไม่รู้จะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปยังไง

วันนี้รถเฟอรารี่สีแดงเพลิงมาจอดลงที่หน้าประตูรั้วอัลลอยด์สวยหรู คนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยมองเข้าไปในรั้วบ้านหลังใหญ่ วินเซนโซ่กำลังตัดสินใจจะเข้าไปหาคนในบ้านหลังนี้ดีหรือจะโทร.เข้าไป ก่อน ถ้าโทรไปก็คงโทร.เข้ามือถือของสาวน้อยหน้าหวานว่าที่เจ้าสาวของ เขา เพราะถ้าโทร.เข้าบ้านก็คงจะเป็นการเปิดเผยตัวตนมากไปหน่อย จะ อ้างว่ามีเบอร์มือถือแล้วทำไมจะมีเบอร์บ้านไม่ได้ ก็กลัวเธอจะสงสัยเหตุใด เขาจึงรู้เบอร์บ้านในเมื่อยังไม่รู้เลยว่าเธอเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ส่วนเรื่องขับ รถมาจอดถึงหน้าบ้านถูกหลังก็ยังบอกตรงๆ ได้ว่าคืนนั้นเขาสั่งให้คนขับ รถขับตามเธอเพราะเป็นห่วง เป็นการเรียกคะแนนไปในตัวด้วยซ้ำ

วินเซนโซ่ตัดสินใจลงจากรถแล้วกดกริ่ง ไม่นานก็มีเด็กหนุ่มวัย ประมาณ 19 วิ่งออกมา เด็กคนนั้นมองชายหนุ่มรูปหล่อร่างสูงกับรถเฟอรา รี่สีแดงเพลิงในฝันของใครหลายคน

“สวัสดีครับ มาหาใครหรือครับ”

“เจ้าของบ้านอยู่มั้ย”

“คุณทานกับคุณหนูไม่อยู่ครับ” หลังจากที่สำรวจความร่ำรวยของ ผู้ชายตรงหน้าจนแน่ใจว่าเขาคงไม่ใช่ผู้ร้ายมาจี้ปล้นแน่ๆ เด็กหนุ่มก็ตอบ ไปตามตรง

“พอจะรู้ไหมว่าไปไหน” หนุ่มหล่อตะล่อมถาม

“อยู่โรงพยาบาลครับ” เด็กหนุ่มตอบพาชื่อ

“ใครเป็นอะไร” ใจของวินเซน โซ่ร้อนรนขึ้นมาทันที เกรงว่าหญิงสาว จะประสบอุบัติเหตุอะไรสักอย่าง หรือเธออาจจะป่วยหนักจนต้องเข้าโรง พยาบาล เพราะหลังจากดินเนอร์สั้นๆ คืนนั้นเขาก็ไม่ได้ติดต่อเธออีกเลย มัวแต่ยุ่งๆ กับการตรวจสอบ โมเดลโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ในค่าย อีกทั้งยังเป็นคนดีไซน์รูป ทรงด้วยตัวเองจึงต้องตรวจเช็กอย่างพิถีพิถันมากสักนิด

“คุณท่านป่วยครับ คุณหนูก็เลยไปเฝ้าคุณท่านอยู่ที่โรงพยาบาล

“ไอ้บอย! ใครมา” มีคนบางคนส่งเสียงมาจากด้านหลังของเด็กหนุ่ม วินเซน โซ่เห็นคนรับใช้สาวร่างอวบอ้วนวิ่งกระหืดกระหอบมาหยุดข้างๆ เด็กหนุ่ม

“คุณคนนี้มาหาคุณท่านกับคุณหนูน่ะพี่แอ๊ว”

“ไม่อยู่ทั้งคู่ล่ะค่ะคุณ ยังไงก็โทรหาคุณหนูแล้วกันนะคะ” ว่าแล้วเธอ ก็เสียมารยาทด้วยการดึงมือเด็กบอยหนี ได้ยินเสียงบ่นครึมดังตามมา “เอ็งบอกอะไรเขาไปมั่งวะไอ้บอย ทีหน้าที่หลังอย่าพูดมากนะโว้ย คนสมัย นี้ไว้ใจกันได้ที่ไหนเล่า เห็นแต่งตัวดีๆ ก็เถอะ ไม่เคยดูข่าวหรือไงวะเอ็งน่ะ เข้าบ้านเลยไอ้น เกิดปากบอนนำความฉิบหายมาให้คุณท่านกับคุณหนูล่ะ แย่เลย

เมื่อไม่พบคนที่ตนถวิลหา วินเซนโซก็กลับขึ้นรถขับจากไป เขากดมือ ถือถึงใครบางคน

“ช่วยตรวจสอบให้ คุณอาภูวดลอยู่โรงพยาบาลอะไร ถ้าเป็นไปได้

ฉันอยากรู้อาการด้วย

“ครับคุณวิน”


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ