บทที่ 1
‘เลิกงานแล้ว กลับบ้านด่วน!’
ข้อความสั้นๆ ที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ ส่ง ผลให้ผู้ที่กำลังกวาดสายตาอ่านข้อความเหล่านั้นถึงกับ ขมวดคิ้วโก่งงามเข้าหากันด้วยความสงสัย และถึงแม้จะ ไม่มีชื่อผู้ส่งข้อความ แต่คนเป็นเจ้าของโทรศัพท์ก็รู้ดีว่า ใครเป็นคนส่งข้อความมาให้เธอ
“เอ… พี่เพิร์ลมีเรื่องด่วนอะไรกัน ถึงตามให้เรากลับบ้าน แบบนี้
นาราภัทร หรือคุณครูนารา ซึ่งเป็นที่รักของนักเรียน ชั้นมัธยมต้น ของโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัด พระนครศรีอยุธยา ได้แต่บ่นพึมพำเบาๆ ถึงพี่สาวที่ส่งข้อ ความสั้นๆ มาให้ โดยไม่ยอมพิมพ์ข้อความไปมากกว่านี้ ทำให้เธอนั่งไม่ติดเก้าอี้
“พี่เพิร์ลนะพี่เพิร์ล ทำให้เราอยากรู้ว่ามีเรื่องด่วนอะไร และเมื่อจิตใจพะวงอยู่กับข้อความเหล่านั้น อีกทั้งอยากรู้มากว่าพี่สาวต้องการให้เธอกลับบ้านเพราะเหตุใด จึงรีบกดโทรศัพท์โทรหาพี่สาวทันที
หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้
เสียงตอบรับอัตโนมัติที่ได้ยินมาจากปลายสาย ทำเอา นาราภัทรต้องกดวางด้วยความหงุดหงิดใจที่ติดต่อผู้เป็นพี่ ไม่ได้
“บ้าจริงๆ พี่เพิร์ลจงใจปิดเครื่องหนีเราหรือเปล่านี่
ทั้งหงุดหงิดทั้งโมโหพี่สาวที่ทำให้เธออยากรู้แล้วดันปิด เครื่องหนีซะดื้อๆ นาราภัทรจึงอ่านข้อความบนโทรศัพท์มือ ถืออีกครั้ง ตั้งใจจะโทรไปหามารดา เพื่อมารดาจะรู้บ้างว่า พี่สาวเธอมีเรื่องด่วนอะไรกัน
แต่พอเหลือบสายตามองดูเวลาบนนาฬิกาตั้งโต๊ะ ซึ่ง เหลือเวลาอีกแค่ห้านาทีก็ถึงชั่วโมงสอนในคาบต่อไปแล้ว จึงได้แต่ถอนหายใจยาว จำต้องเก็บเรื่องส่วนตัวเอาไว้ก่อน จากนั้นก็รวบรวมหนังสือและอุปกรณ์การสอนมาถือไว้ใน มือ ก่อนจะเดินออกจากห้องพักครู ตรงไปยังห้องเรียนที่มี เด็กนักเรียนเกือบสามสิบคน เพื่อรอให้เธอไปมอบความรู้ ให้กับพวกเขา
ในชั่วโมงเร่งด่วน ช่วงเย็นหลังเลิกงาน นาราภัทรต้องใช้ เวลาขับรถจากอยุธยาฯ มาถึงกรุงเทพฯ และผ่าด่านรถติด อีกหลายเส้นทาง กว่าจะมาถึงบ้านได้ก็ใช้เวลาร่วมสอง ชั่วโมง
โดยปกติแล้ว นาราภัทรจะกลับบ้านที่กรุงเทพฯ ในเย็น วันศุกร์ และกลับไปทำงานเป็นคุณครูในโรงเรียนเอกชน ที่อยุธยาฯ ในเย็นวันอาทิตย์ แต่วันนี้เป็นแค่ต้นสัปดาห์ เท่านั้น ทว่าเธอต้องวิ่งรถกลับบ้านเพราะข้อความสั้นๆ ของพี่สาว ซึ่งทำให้เธอร้อนรนจนแทบจะรอเวลาโรงเรียน เลิกไม่ไหว
“หวังว่าคุณแม่กับพี่เพิร์ลจะอยู่บ้าน รอเรากลับมาบ้านนะ
นาราภัทรกลอกตาไปมาและทำท่าครุ่นคิด ขณะก้าวลง จากรถแล้วเดินกึ่งวิ่งเข้าไปในบ้าน พอเห็นพี่สาวกับมารดา นั่งรออยู่บนเก้าอี้โซฟาภายในห้องโถง ก็รีบยกมือไหว้ มารดาทันที
“คุณแม่ สวัสดีค่ะ
“สวัสดีจ้ะลูก” คุณกุลธราทักทายลูกสาวคนเล็ก พร้อม กับอ้าแขนรับร่างบางระหงที่โผเข้ามาสวมกอดนางไว้แนบ แน่น
พอรับไออุ่นจากอ้อมกอดของมารดาอยู่พักใหญ่จนเป็นที่ พอใจแล้ว นาราภัทรก็ผละออก แล้วหันไปทักทายพี่สาว ซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับมารดา
“สวัสดีค่ะพี่เพิร์ล”
นิลนาราฝืนยิ้มบางๆ ให้น้องสาวพร้อมกับพยักหน้ารับ โดยไม่ได้กล่าวคำทักทายใดๆ กลับคืน
และรอยยิ้มที่มองออกว่าเจ้าตัวกำลังฝืนยิ้ม ส่งให้นารา ภัทรต้องขมวดคิ้วเข้าหากันยุ่งราวกับโบว์ผูกผม อีกทั้งใจ ไม่ดีกับอาการแปลกๆ ของพี่สาว
“พี่เพิร์ล ไม่สบายหรือเปล่าคะ ทำไมพี่เพิร์ลทำหน้าไม่สู้ดี นัก”
คราวนี้นาราภัทรเดินมาทรุดกายลงนั่งข้างๆ พี่สาว มือเล็ก เอื้อมไปจับมือทั้งสองของคนเป็นพี่มากุมไว้มั่น ตอนที่เอ่ย ถามออกไป
นิลนาราขอบตาร้อนผ่าว หลุบดวงตาลงแล้วปล่อยให้ หยาดน้าใสหยดแหมะลงไปโดนมือเล็กของน้องสาว ซึ่ง นั่นก็ทําให้นาราภัทรรีบเอ่ยถามซ้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียง ตกใจ
“พี่เพิร์ล ร้องไห้ทำไมคะ เกิดอะไรขึ้นระหว่างที่นาราไม่ อยู่บ้านคะ”
คนเป็นน้องใจร้อนอยากได้คำตอบเร็วๆ ทว่าผู้เป็นพี่สาว เอาแต่สะอื้นร้องไห้ ปล่อยให้หยาดน้ำตาอุ่นไหลเป็นทาง ท่วมพวงแก้มขาวซีด
“พี่เพิร์ลบอกนารามาเดี๋ยวนี้ อย่าเอาแต่ร้องสิคะ นาราใจ ไม่ดีเลย
เมื่อพี่สาวไม่ยอมบอก นาราภัทรก็ถามย้ำอีกครั้ง มือเล็ก จับต้นแขนพี่สาวเขย่าเบาๆ ให้อีกฝ่ายยอมทําตามที่เธอ ขอร้องสักที
ทว่านิลนารายังคงร้องไห้สะอึกสะอื้น แถมยังร้องไห้หนัก กว่าครั้งแรก ทําเอานาราภัทรหน้าซีดเผือดไปหมด พอหัน ไปมองมารดาก็ยิ่งใจหายมากกว่าเดิม เพราะตอน
นี้ดวงตาคูนั้นของมารดาเธอ มีน้ำปริ่มๆ และทำท่าจะหยด แหมะไม่แพ้กัน
“คุณแม่ พี่เพิร์ล มันเรื่องอะไรกันคะ ทำไมไม่พูด ไม่บอก นารา เอาแต่ร้องไห้แบบนี้ ทำให้นาราเครียดนะคะ
นาราภัทรหันไปตัดพ้อกับมารดาที พี่สาวที และเมื่อทนไม่ ไหว ก็จับตัวพี่สาวเขย่าเบาๆ ก่อนจะออกคำสั่งเสียงหัวน เล็กน้อย
“พี่เพิร์ล หยุดร้องไห้ก่อน แล้วบอกกับนาราว่ามีเรื่องอะไร เกิดขึ้น นาราสัญญาว่าจะช่วยพี่เพิร์ลแก้ไขสถานการณ์ พวกนี้เอง”
นาราภัทรไม่รู้เลยว่าวาจาที่ลั่นออกมาอย่างเป็นมั่นเป็น เหมาะ กำลังจะเป็นบ่วงแร้วที่รัดตัวเธอไม่ให้ดิ้นหลุดจาก เหตุการณ์ซึ่งกำลังรออยู่ข้างหน้า
ทางด้านนิลนารา ได้ยินน้องสาวให้คำสัญญาด้วยน้ำเสียง หนักแน่น ก็ยกมือปาดน้ำตา สูดสะอื้นเข้าปอดลึกๆ พลาง เอ่ยถามเสียงขาดหัวนปนสะอื้นกระซิก
“นารา…รับปากแล้วนะ…ว่าจะช่วยพี่…
นาราภัทรลอบถอนหายใจยาว มีลางสังหรณ์ว่าตนเอง กำลังก้าวขาข้างหนึ่งไปแย่เรื่องวุ่นวายในบางสิ่งบางอย่าง เข้าแล้ว
“ค่ะพี่เพิร์ล นารารับปากว่าจะช่วยพี่เพิร์ล ถ้าเรื่องเหล่านั้น ไม่เหลือบ่ากว่าแรงของนารา” ผู้เป็นน้องแบ่งรับแบ่งสู้ไม่ เต็มปากนัก
“นาราช่วยพี่ได้แน่นอนจะ
นิลนาราเอ่ยบอกด้วยความดีใจ คราวนี้รีบเช็ดน้ำตาให้ เหือดแห้ง หันมาจ้องมองน้องสาวเขม็ง ก่อนจะขอคำมั่น จากน้องสาวอีกครั้ง
“นารารับปากพี่นะว่าจะช่วยพี่
“เอ่อ…นาราขอทราบก่อนได้ไหมคะว่าพี่เพิร์ลจะให้นารา ช่วยยังไง”
“ถ้านาราไม่รับปาก พี่ก็จะไม่บอกนารา… นิลนาราเอ่ย บอกเสียงสั่น หยาดน้ำตาไหลเป็นทางยาวลงมาบนพวง แก้ม ไม่ต่างจากสั่งได้
บารากลับไปอยุธยาฯ ได้แล้ว ไม่ต้องมาสนใจปัญหาของ พี่หรอก พี่จะแก้ไขปัญหาของพี่เอง บางที…บางที… อาจ จะทำแท้ง…”
มาราภัทรรู้สึกราวกับถูกทุบหัวด้วยค้อนอันใหญ่โตกับคำ พูดในประโยคท้ายของพี่สาว หญิงสาวเบิกตาโตจนแทบ จะถลนออกมาจากเบ้า ทวนคำพูดเสียงดังลั่นห้อง
ทําแท้ง!
นิลนาราสะอื้นฮักจนตัวสั่นโยน พยักหน้ารับคำ แล้วจึง เอ่ยตอบเสียงแผ่วเบา ใช่…นาราเป็นคนสุดท้ายที่จะช่วย พี่ได้ แต่ถ้านาราใจจืดใจดำ ไม่ยอมช่วยพี่…พี่ก็คงจะต้อง ทําแท้ง
“อะไรกันคะ นารางงไปหมดแล้ว” นาราภัทรผุดลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปเดินมาอยู่หน้ามารดากับพี่สาว ก่อนจะออกคำ สั่งกับพี่สาวผู้อ่อนแอต่อ
“พี่เพิร์ล! เล่ามาให้หมดว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมๆ พี่ถึงท้อง คนเป็นน้องมึนงงอย่างหนัก จนตั้งคำถามโง่ๆ กับพี่สาว
นิลนาราลอบมองมารดาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยใบหน้าที่ นองไปด้วยหยาดน้ำตามองดูน้องสาว แล้วขอคำสัญญา จากอีกฝ่าย
“รับปากกับพี่ก่อน ว่าจะช่วยพี่ แล้วพี่จะเล่าความจริงให้ นาราฟังทั้งหมด”
“ก็ได้ค่ะ นารารับปากว่าจะช่วยพี่เพิร์ล คราวนี้พี่เพิร์ลจะ เล่าเรื่องทุกอย่างให้นาราฟังได้หรือยังคะ
นาราภัทรจำต้องรับปากกับพี่สาวในที่สุด ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ เลยว่าตนเองจะสามารถช่วยพี่สาวได้หรือเปล่า ขณะ เดียวกันก็รู้สึกเป็นกังวลอยู่ลึกๆ เพราะกลัวว่าเรื่องที่พี่สาว กำลังจะเอ่ยปากขอร้องนั้น จะเหลือบ่ากว่าแรงที่เธอจะช่วย ได้
หากนาราภัทรก็จำต้องละทิ้งความกังวลใจไปชั่วครู่ อีก ทั้งยังสังเกตและคอยจับจ้องใบหน้าของคนเป็นพี่ดีๆ หญิง สาวจะเห็นว่ามีรอยยิ้มผุดขึ้นตรงมุมปาก ขณะที่เธอได้ตก ปากรับคำว่าจะช่วยเหลือ
นิลนารายกมือปาดน้ำตาให้เหือดแห้ง ทว่ายังคงเอ่ยพูด ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาขณะขอความเห็นใจและขอความช่วยเหลือจากน้องสาว
“นาราจำตอนที่พี่ไปเรียนต่อโทที่อิตาลีได้ไหมจ้ะ
“ค่ะ นาราจำได้ค่ะ พี่เพิร์ลเพิ่งกลับมาจากอิตาลีได้ไม่ถึง ปี แต่ว่ามันเกี่ยวอะไรกับที่พี่เพิร์ล เอ่อ…ทะ…ท้องล่ะคะ” นาราภัทรเอ่ยถามไม่เต็มเสียงนักในท้ายประโยค เพราะ เกรงว่าคำถามของเธอจะทำให้พี่สาวโกรธเคืองและ กระทบกระเทือนจิตใจ
นิลนาราสูดสะอื้นเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยพูดต่อด้วยน้ำเสียง เศร้าๆ เช่นเคย “ตอนเรียนอยู่ที่อิตาลี มีผู้ชายคนหนึ่งมา ตามตื้อ คอยตอแยพี่ตลอดเวลาที่อยู่ที่นั่น
“พี่เพิร์ลไม่ได้รักเขาหรือคะ”
“ไม่จ้ะ พี่ไม่เคยรักเขา แต่เขารักพี่มาก คอยตามตื้อเช้า เย็น จะพาพี่ออกไปกินข้าว ไปดูหนังให้ได้ พี่ไม่อยากไป ไหนมาไหนกับเขา จึงต้องพยายามหลบหน้า บางวันเขาก็ มาเฝ้าถึงหอพัก ทำให้พี่ต้องอดข้าวเพราะออกจากหอพัก ไม่ได้
“แบบนี้เขาไม่เรียกว่าหลงรักแล้วค่ะ เขาเรียกว่าคลั่งรักมากกว่า” นาราภัทรตำหนิผู้ชายคนที่เธอไม่เคยเห็นหน้า ไม่แม้แต่รู้จักชื่อของอีกฝ่ายด้วยซ้ำไป
นิลนาราพยักหน้า ตีหน้าเศร้า ขณะบอกเล่าน้องสาวต่อ “พี่ไม่คิดว่าผู้ชายคนนี้จะคลั่งพี่มาก พอมาหลังๆ เริ่มหนัก กว่าเดิม เขาส่งลูกน้องคอยติดตามความเคลื่อนไหวของพี่ ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ถ้าเห็นพี่เดินกับผู้ชายคนไหน เขาก็จะ ทำร้ายผู้ชายคนนั้นทันที
“ป่าเถื่อนที่สุด ทำไมเขาต้องหึงหวงพี่เพิร์ลมากถึงเพียงนี้ ทั้งๆ ที่พี่เพิร์ลไม่ได้เป็นแฟนกับเขาสักหน่อย”
นาราภัทรต่อว่าด้วยความโมโห ขณะเดียวกันก็นึกภาพ ของผู้ชายคนนี้อยู่ในใจว่า จะต้องมีหน้าตาน่าเกลียดน่า กลัว ถึงไม่มีคนรักจนต้องมาคอยตามตื้อขอความรักจากพี่ สาวของเธอ
“ใช่แล้วนารา ริคคาร์โด้เป็นผู้ชายที่น่ากลัว และมีอำนาจ มาก” นิลนาราเพิ่มความเกลียดชังที่มีต่อผู้ชายคนนี้ให้กับ นาราภัทรมากกว่าเดิม
“อ้อ… อริคคาร์โด้”
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ