ตอนที่ 7 ความลับของครองขวัญ
กล้ามากเกินไปแล้ว !
วรินทรไม่ทันได้คิดอะไรมาก ก็หันหลังและวิ่งหนีทันที แต่เพราะเร่งรีบเกินไปจึงเตะที่กั้นข้างถนนโดยไม่ได้ตั้งใจ จนส่งเสียงทําให้คนในรถสังเกต
ครองขวัญหันหน้ามอง เห็นหน้าวรินทร !
แย่แล้ว ! ครองขวัญตกใจ
เธอไม่มีอารมณ์ที่จะทำต่อ รีบดันสองคนนั้นไป ใส่ เสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว ลงรถกับผู้ชายสองคนนั้นวิ่งตามวรินทร
ยังไงวรินทรก็เป็นผู้หญิงวิ่งไม่ทันผู้ชายร่างใหญ่สองคน
หรอก
ไม่นาน ร่างผอมเล็กของเธอก็ถูกคนจับจากข้างหลัง อย่างแรง หัวเข่าถูกคนดันไปด้านหน้า คุกเข่าอยู่บนพื้น
ความเจ็บรีบเต้นไปสู่หัวใจ วรินทรยังไม่ทันได้ลุกขึ้น ครองขวัญก็ยืนอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว
แม้ว่าทรงผมของครองขวัญยุ่งเหยิงพันกันไปหน่อย แต่ก็
ซ่อนความหยิ่งผยองของเธอไม่ได้ เธอสลายเส้นผมแล้วว่า “นึกว่าใคร ที่แท้ก็คือน้องชายที่รักของฉัน”
วรินทรก้มหัว ใครก็มองไม่ออกว่าสีหน้าเธอเป็นอะไร
ได้ยินแค่เสียงอ่อนน้อมของเธอพูดว่า “พี่ครับ บังเอิญ จริงๆ พี่ก็อยู่ที่นี่ ผมกำลังจะกลับบ้าน ตอนนี้ก็ดึกแล้ว พี่ก็รีบ กลับบ้านพักผ่อนเถอะครับ…
ครองขวัญได้ยินก็หัวเราะอย่างเยือกเย็น ยื่นมือจับคาง ของวรินทรแล้วถามด้วยเสียงเยือกเย็น “อย่ามาทำเป็น แกล้งทำเลย เมื่อกี้แกเห็นแล้วใช่ไหม ?”
“ไม่ ผม..ผมไม่เห็นอะไรทั้งนั้น” วรินทรถอนหายใจ แกล้งทำท่าทางว่าไม่รู้อะไร
การที่วรินทรก้มหัว สภาพพูดจาติดอ่างทำให้ครองขวัญ รู้สึกเหยียดหยามมากขึ้น
“ไอ้ลูกนอกสมรส ฉันขอเตือนแกไว้ ถ้าแกกล้าพูดเรื่อง คืนนี้ออกไป ฉันจะให้แม่ที่เป็นเมียน้อยของแกมองไม่เห็น พระอาทิตย์ของวันรุ่งขึ้น !”
เพื่อแม่ เธอจะไม่โง่ไปต่อกรกับครองขวัญ
ฉะนั้นวรินทรอดกลั้นกับความเจ็บปวดบนร่างกายและ ความอัปยศอดสูในใจแล้วสาบานว่า “พี่สาวสบายใจได้ เมื่อกี้ผมไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ผมสัญญาว่าจะไม่พูดแม้แต่คำ เดียว…”
เห็นวรินทรพูดแบบนี้
ครองขวัญจึงปล่อยเธอ
“ไป”ครองขวัญเหลือบตามองวรินทรที่เสียขวัญคุกเข่าอยู่ บนพื้น ก็จากไปพร้อมกับชายสองคนนั้น
หลังจากครองขวัญไปแล้ว วรินทรจึงลุกขึ้นมาจากพื้น เดินขากะโผลกกระเผลกค่อยๆกลับบ้านไป
หลังจากอาบน้ำแปรงฟันเสร็จ วรินทรนอนอยู่บนเตียง เบิกตาโตๆ เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้หมุนเวียนในสมองเธอ ทำให้เธอไม่ สามารถหลับได้ สายตาดูถูกเหยียบหยาม ของครองขวัญ ความอัปยศอดสูของดารินทร์ เหมือนหิน ก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งทับอยู่บนอกของเธอ จนทำให้เธอหายใจ ไม่ออก เธออยากจะหนีออกไปจากบ้านพูลสวัสดิ์จอมปลอม แห่งนี้ หนีออกไปจากสังคมชั้นสูงที่ภายนอกดีงานแต่ ภายในคําต้อยนี้
แต่ว่า…
ตอนนี้วรินทรยังเป็นแค่นักเรียนมัธยมปลาย ถ้าออก ไปจากบ้านพูลสวสัสดิ์แล้วเธอจะเอาอะไรไปจ่ายค่ารักษา พยาบาลของแม่เธอหล่ะ ? พอนึกถึงค่ารักษาพยาบาลที่สูง ลิ่วนั้น วรินทรจึงตัดความคิดที่จะออกจากบ้านพูลสวัสดิ์ ถ้า เทียบกับชีวิตของแม่แล้ว ศักดิ์ศรีของเธอก็ไม่สำคัญหรอก !
ก่อนที่วรินทรจะหลับลง เธอยังคิดเลอะเลือนไปว่าไม่แน่ สักวันหนึ่งแม่ก็หายดีแล้ว ถึงตอนนั้น เธออาจจะมีความหวัง ที่จะบอกลากับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดได้
ด้วยเพราะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ วรินทรไปเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาล
เมื่อเห็นวรินทร ทมยันตีที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยรู้สึกดีใจ หน้าทีซีดขาวนั้นมีรอยยิ้มออกมา
วรินทรนั่งอยู่ข้างๆ ปอกผลไม้ให้ทมยันตี
ทมยันตีเป็นโรคไตวายรุนแรงซึ่งคนปกติก็อาจจะจ่าย เงินเพื่อเปลี่ยนไตก็หายแล้ว แต่เธอไม่เหมือนกับคนอื่น ตอนนี้เธอเหลือไตเพียงข้างเดียว เธอทำได้เพียงพึ่งเครื่อง มือและยานำเข้าให้มีชีวิตในทุกวันนี้
“อยู่บ้านพูลสวัสดิ์สบายดีไหม แม่ใหญ่และพี่สาวเธอ ทําให้เธอลำบากใจไหม ?” ทมยันตีถามอย่างอ่อนแรงด้วย ความเป็น ห่วง เธอมองรูปร่างของวรินทร เหมือนจะผอมลง ไปนิดหน่อย
วรินทรรู้สึกเศร้าใจมาก แต่เพื่อไม่ให้ทมยันตีเป็นห่วง เธอจึงเงยหน้าขึ้นมายิ้มและพูดว่า “ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ ค่อยสนใจผม แต่ก็ไม่ได้ทําให้ฉันลำบากใจ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทมยันตีก็พยักหน้าอย่างสบายใจ
“ลูกต้องตั้งใจเรียนเพื่อสั่งเกียรติให้บ้านพูลสวัสดิ์…” พูดจริง วรินทรในฐานะลูกนอกสมรส ยังไงก็เป็นแค่รอย เปื้อนตั้งแต่ต้นจนจบ
วรินทรพยักหน้าแล้วตอบไปว่า “เข้าใจแล้ว”
ทมยันตีมองวรินทรที่ปอกแอปเปิ้ลอย่างเงียบๆ รู้สึกวริน ทรโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่โตแล้ว ใบหน้าที่งดงามเหมือนกับเธอ ตอนเป็นสาวอยู่
ดวงตาของวรินทรเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างห้ามไม่ได้
ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุผลนั้น ตอนนี้วรินทรในวัยสิบแปดควร ที่จะใส่กระโปรงยาว ไว้ผมยาว ต้องเป็นคนสวยเหมือนดอก ไม้แน่ๆ แต่เพื่อปกป้องชีวิตของทั้งสอง เธอเลยต้องทำเช่น
“พ่อเธอ เขาสบายดีไหม ?” ทมยันตีคิดอยู่สักพัก แล้วถาม ออกไป
วรินทรตกใจจนมีดเกือบบาดตัวเอง
เมื่อพูดถึงคนคนนั้น เธอก็นึกถึงใบหน้าไร้อารมณ์ที่ยืด คอเหนือคนอื่น โดยไม่รู้ตัว ถึงยังเรียกแม่ว่าหญิงสารเลว คนแบบนั้นมีอะไรให้ต้องเป็นห่วง!
“เขาสบายดี” วรินทรตอบอย่างลวกๆ
ทมยันตีมองออกว่าวรินทรไม่ชอบชยุต
ตั้งแต่ที่ตัวเองหนีออกมาจากที่นั่น ทมยันตีก็มาเป็นนัก ร้องแบบหลบๆซ่อนๆ ในนั้นวุ่นวายมาก อยู่ครั้งหนึ่งลูกค้าก่อ เรื่อง เธอได้รับบาดเจ็บจนต้องตัดไตหนึ่งข้างไป หลังจาก นั้น เพื่อวรินทร เธอจึงไปเป็นเมียน้อยของชยุต หลังเธอมีท้อง ก็โดนชยุตทิ้งไป
แล้วเด็กคนนั้นแท้ง ทมยันตีจึงให้วรินทรเสแสร้งเป็นเด็ก ที่แท้งไปให้ไปเป็นลูกของชยุต พอดีตอนนั้นวรินทรรูปร่าง อ่อนแอ เลยไม่มีใครจับพิรุตได้
ทมยันตีถอนหายใจแล้วพูดกับวรินทรด้วยความอดทน ยังไงเขาก็เป็นพ่อของลูก ลูกต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับเขา
ตั้งแต่เด็กทมยันตีก็บอกวรินทรมาโดยตลอดว่าเธอเป็น ลูกของชยุตเพื่อไม่ให้เธอมีพิรุธ
ถ้าไม่ใช่เพราะชยุต เธอก็คงไม่เจอกับคนเจตนาร้ายมาก ขนาดนี้
“เชิญออกไปเถอะ คนไข้ต้องเคมีบำบัดล้างไตแล้ว” ขณะ ที่วรินทรกำลังจะลบล้างคำพูดของทมยันตี พยาบาลก็เข้า มา
เมื่อเห็นแล้วว่าวันนี้ออกมาข้างนอกนานพอสมควรแล้ว เธอจึงฟังทมยันตีกำชับอีกนิด จึงกลับบ้าน แต่พอเพิ่งเข้า มาถึงประตูใหญ่ของบ้านพูลสวัสดิ์ เธอก็รู้สึกถึงบรรยากาศ แปลๆไม่เหมือนปกติ
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ