7.ข้าจะดูแลท่
กู้หรูเฟิงตกตะลึงพรึงเพริด “แม้เจ้าและข้าเป็นสามีภรรยากัน ทว่าต่างก็อยู่อย่างทนทุกข์ ใยต้องมาสนใจเรื่องความเป็น ความตายของอีกฝ่ายด้วยเล่า?
“ความเป็นความตายอะไรกัน ทำนใช้ขึ้นสมองจนสติเลอะ เลือนไปแล้วรี?” หลิ่วเจินพูดใส่เขา พลางเอามือแตะหน้าผาก อีกฝ่าย และพบว่ามันไม่ร้อนแล้ว เลยไม่ได้สนใจเขาอีก พูดก็ พูดเถอะ ตอนนี้นางหิวจนตาลายแล้ว นางกลืนโจ๊กที่เย็นซีดคำ ใหญ่ แล้วรีบสวาปามมันฝรั่งกับถั่วอย่างรวดเร็ว เมื่อกินคำแรก รู้สึกว่าผักนี่มีรสเค็ม แต่มีกลิ่นหอมไม่น้อย
กู้หรูเฟิงนิ่งอึ้งไปเป็นนาน ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจมาก หาก อาหารมีพิษจริง มันก็ควรออกฤทธิ์แล้วมิใช่หรือ?
“ทำไมข้าถึงยังไม่ตาย?”
หลิ่วเจินเทราบดีว่าว่าเขามิใช่คนเขลา ของกินที่น่ากลับ มาในสายตาของคนภพนี้อาจมีพิษก็เป็นได้ เมื่อลองพิจารณาดู อย่างละเอียดอีกที เห็ดที่มีสีสันสวยงาม จริง ๆ แล้วกินไม่ได้ เพราะมันมีพิษ มันฝรั่งก็มีพิษและกินไม่ได้ หากไม่นำไปปรุงให้ สุกเสียก่อน นางไม่ประหลาดใจแล้ว ที่มีพืชผักให้เห็นอยู่ มากมาย แต่กลับไม่มีคนเก็บไป แน่นอนเพราะทุกคนคิดว่า พวกมันมีพิษนั่นเอง
หมอนี่คงคิดว่านางจะวางยาพิษเขากระมัง? หญิงสาวรู้สึก
จนใจเล็กน้อย จึงอธิบายชายหนุ่มว่ามีอะไรที่สามารถกินได้ บ้าง
กู้หรูเฟิงเพิ่งเคยได้ยินเรื่องนี้เหล่านี้เป็นครั้งแรก หลังตัว เองรู้สึกว่าร่างกายตนไม่มีปัญหาอันใดเลยจริง ๆ เขาให้อด รู้สึกไม่ได้ว่าตนได้ค้นพบโลกใหม่เข้าแล้ว หนุ่มจึงกัดกิน เข้าไปอีกหลายคำ พลางจดจำไว้ในใจเงียบ ๆ ในขณะที่รู้สึก อับอายขึ้นมาเล็กน้อย ที่อีกฝ่ายอุตส่าห์มีน้ำใจทำอาหารให้เขา กิน แต่เขากลับคิดเป็นตุเป็นตะไปเองว่า อีกวางยาพิษเขา
หลิ่วเจินพรูลมหายใจอย่างอดไม่ได้ “ในพวกมันเป็นพิษไฉนถึงกินมันเข้าไปอีกเล่า?”
เพราะตัวข้าไม่รู้จะมีชีวิตไปเพื่ออะไร” ในอดีตเขาคือ คุณชายผู้สูงศักดิ์แห่งเมืองหลวง ผู้คนนับไม่ถ้วนต่างตกตะลึง ในพรสวรรค์อันน่าทึ่งของเขา เขาคือคุณชายผู้มีชื่อเสียงเลื่อง ลือกระฉ่อน ถึงพร้อมด้วยฐานะอันมั่งคั่ง เขาเคยต้องอยู่ด้วย ลำแข้งตัวเองเสียเมื่อไร? ทว่าตอนนี้ต้องมาอยู่ในที่แห่งนี้ ความเยอหยิ่งทะนงตนและภาคภูมิใจในตัวเองได้มลายหาย ไปสิ้น เพราะจู่ ๆ ชีวิตก็ตกต่ำเปลี่ยนไปราวฟ้ากับเหว ทำให้คน ๆ หนึ่งยากจะยอมรับได้จริง ๆ และการรอดต่อไป ก็ช่างยากเย็นแสนเข็ญยิ่งนัก
ชีวิตของเราทุกคนน่ะ ล้วนมีความหมาย หมายอะไรนั้น แต่ละคนต้องค้นหากันเอาเอง?” หลิ่วหมอรักษาโรค ดังนั้นนางจึงอ่อนไหวกับการมีชีวิตถึงขั้นสุดไม่มีชีวิตใดที่สมควรละทิ้ง นางเห็นเด็กสาวที่ทุกข์ทรมาน กับโรคหัวใจ พยายามอย่างมากที่จะมีชีวิตอยู่ ไม่ต้องพูดถึง การพยายามดำรงชีวิตอย่างปกติสุขเลย ตอนนี้อยู่แบบ สามวันดีสี่วันไข้ เช่นนั้น…ก็น่าสนุกเกินไปที่จะยอมตาย หญิง สาวมองสำรวจบุคคลตรงหน้าอย่างละเอียด และอดถามขึ้นมา ไม่ได้ ปีนี้ท่านอายุเท่าใด?”
เขาตอบทันทีโดยไม่คิด หนาวแล้ว”
หลิ่วเจินแอบรำพึงในใจ อายุ 17 ปีเอง ไม่สงสัยแล้ว ที่ ความคิดยังไม่เป็นผู้ใหญ่นัก พอคิดได้ว่าอีกฝ่ายยังเป็นแค่ เยาวชนคนหนึ่ง นางให้รู้สึกเคร่งเครียดโดยพลัน หลังจากนิ่ง เงียบไปชั่วอึดใจ หญิงสาวจึงกล่าวเสียงหนัก ข้าจะดูแลท่าน ให้ดี”
เมื่อนางกล่าววาจานี้ออกมา มองดูแล้วคล้ายพี่สาวผู้
เคร่งขรึม แต่ในความเป็นจริง ปีนี้ร่างนี้เพิ่งมีอายุแค่ 16 หนาว เท่านั้น
กู้หรูเฟิงรู้สึกละอายใจต่อสิ่งที่หลิ่วเจินกล่าว เด็กสาวใน สกุลหนึ่งพูดใส่บุรุษว่า ข้าจะดูแลท่านให้ดี นี่มันหมายความ ว่ากระไร?
หากกินอย่างประหยัดๆ พืชผลที่นำกลับมาครานี้ จะมี เพียงพอให้พวกเขามีกินไปอีกครึ่งเดือน มิต้องกังวลว่าจะอด ตายในในช่วงเวลานี้ เจินพรูลมหายใจ และเริ่มคิดเรื่อง การซ่อมแซมที่พักอาศัย เหตุผลก็คือ มีลมพัดลอดเข้ามาใน บ้านรอยรั่วที่มีอยู่ทั่ว ซึ่งเขาจะไม่สามารถมีชีวิตรอดจนผ่านพ้นฤดูหนาวนี้ก็เป็นได้
มิหนำซ้ำ ในบ้านยังมีฟื้นไม่มาก แม้ร่างกายหลิ่วเจินยังคง แข็งแรง แต่ถึงอย่างไร นางก็เป็นสตรีคนหนึ่ง จึงเป็นไปไม่ได้ที่ จะออกไปตัดฟื้นได้บ่อย ๆ
ทางที่ดีที่สุดก็คือ ออกไปหาซื้อฟื้นจากผู้อื่น ในฤดูหนาว มักมีคนขายฟื้น แต่ปัญหาก็คือ ตอนนี้นางไม่มีเงินเหลือในมือ ตอนขึ้นเขาเข้าป่าเพื่อเก็บของกินเมื่อคราก่อน นางได้เจอโสม ภูเขา ทว่าต้นเล็กมาก หลิ่วเจินประเมินว่าคงขายเป็นเงินไม่ มาก อย่างดีที่สุดก็คงได้เงินสักครึ่งตำลึง
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ