ตอนที่ 10 ทั้งคนและงานมีการเปลี่ยน
แปลง
ในห้องหนังสือจิ้นเสี่ยวลิ่งกับจิ้นเว่ยตงนั่งอ่านหนังสือ ด้วยความตั้งใจ
แต่ว่าความตั้งใจของจิ้นเสี่ยวลิ่งเหมือนจะไม่ได้อยู่ใน หนังสือเธอมองตัวหนังสือพวกนั้นก็จริงแต่ในใจเธอกำลัง คิดหาแต่วิธีว่าจะสืบหาเรื่องราวของยิ่นจี๋นเหยีนจาก จิ้นเว่ยตงอย่างไรดี
ส่วนจิ้นเว่ยตงถึงแม้สายตาเขาจะจ้องแต่ตัวหนังสือแต่ เขาก็สังเกตุเห็นยัยเด็กบ้าคนนี้ที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จิ้นเว่ยตงถามเธอไปว่า:”เธอแน่ใจหรือว่าเธอกำลังตั้งใจ อ่านหนังสืออยู่ที่นี่?”
พอได้ยินคำพูดของพ่อจิ้นเสี่ยวลิ่งก็วางหนังสือในมือลง เธอจ้องหน้าพ่อแล้วถามพ่อว่า:”ท่านอธิบดีครั้งนี้ทำไมพี่ ใหญ่จึงแพ้ให้กับคนที่ชื่อวิ๋นจี๋นเหยีนคนนั้นหล่ะ? ท่านเล่า ให้ฉันฟังหน่อยได้มั้ยฉันจะได้ไปปลอบใจพี่ใหญ่”
จิ้นเว่ยตงเงยหน้าขึ้นมาดูเธอและถามเธอไปว่า:” เธอ เป็นห่วงเรื่องพี่ชายเธอตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ฉันก็เป็นห่วงพี่ใหญ่มาเสมอแหละ” จิ้นเสี่ยวลิ่งพูดอย่าง มั่นใจเธอยังมีการเสริมขึ้นมาอีกคำว่า:” ฉันเป็นห่วงทุก คนในบ้านจากใจลึกๆ
จิ้นเว่ยตงวางหนังสือในมือลงและเข้าไปตบกระบาลของเธอ เธอพูดเข้าข้างตัวเองไปเถอะ”
ตบแรงไม่เบาจิ้นเสี่ยวลิ่งเจ็บจนจับหัวตัวเองเธอสวน กลับไปอย่างไม่พอใจว่า:” ฉันพูดจริงนะ……”
จิ้นเว่ยตงส่ายหัวและหัวเราะเขาไม่อยากเถียงกับเธอ เขาวางหนังสือในมือลงและพูดกับเธอว่า “ความจริงพี่ ชายเธอแพ้ครั้งนี้สมเหตุสมผลมากฉันเข้าใจดีกับทีม ทหารของยิ่นจีนเหยืนทีมของเขาทหารทั้งหมดล้วนเป็น ทหารที่ฝึกซ้อมมาอย่างเป็นพิเศษเพราะฉะนั้นพี่ชายเธอ แพ้ให้กับเขาไม่แปลกเลยสักนิด”
“ที่แท้เขาเป็นทหารฝึกซ้อมพิเศษหรอ…… “จิ้นเสี่ยว ลิ่งพูดอย่างเสียงเบาเธอนึกถึงหน้าของยิ่นจีนเหยีนภาพ ลักษณ์ของเขาเหมาะสมกับคำว่าทหารจริงๆ
” เธอว่าอะไรนะ? “เธอพูดเสียงเบาเกินไปจิ้นเว่ยตง ได้ยินไม่ชัด
จิ้นเสี่ยวลิ่งเพิ่งรู้ตัวว่าเธอกำลังพูดความลับตัวเองออก มาซะแล้วเธอมองหน้าพ่อและรีบเปลี่ยนเรื่องทันที:”อ้อ… ฉันพูดว่าทีมทหารของเขาฝึกซ้อมมาไม่เหมือนกันงั้น ความสามรถก็ต้องต่างกันแน่นอนพี่ใหญ่แพ้ให้กับเขาครั้ง นี้ถึงว่าสมเหตุสมผลแล้วพี่ใหญ่ไม่จำเป็นต้องเอามาใส่ใจ
จิ้นเว่ยตงยิ้มและพูดว่า:” ความจริงการแพ้เป็นเรื่องปกติ มากในการแข่งขันแต่เจียงหยวนเขารับไม่ได้ที่แพ้อย่าง สาหัสเกินไปตัวเลขที่แพ้คือเก้าต่อหนึ่ง”
“เลขที่แพ้คือเก้าต่อหนึ่ง” จิ้นเสี่ยวลิ่งทำตาโตเธอรู้เหตุผลที่ทําไมพี่ชายเธอต้องแช่อยู่ในค่ายฝึกซ้อมตลอด เวลาจนไม่กลับมาที่บ้านแล้ว
“ใช่แล้วเลขตัวนี้มันน่ากลัวมาก” จิ้นเว่ยตงยิ้มแย้ม เขาชื่นชมความสามารถของยิ่นจี๋นเหยีนไม่น้อย”หากมี โอกาสฉันอยากเจอยิ่นอื่นเหยีนคนนี้จริงๆ”
จิ้นเสี่ยวลิ่งถามต่อว่า:” ยิ่นจี๋นเหยืนคนนี้เขาอยู่ในค่าย ทหารไหนหรือ? ”
พอได้ยินเธอถามแบบนี้จิ้นเว่ยตงก็ถามเธออย่างสงสัย:” เธอถามเรื่องนี้ทำไม? ” ยัยเด็กบ้าทำตัวแปลกมาทั้งวัน แล้วนะคําถามที่ถามก็แปลกๆ
จิ้นเสี่ยวลิ่งหลบสายตาของพ่อเธอพูดว่า:” ฉันก็แค่ สงสัยยิ่นจี๋นเหยีนคนนี้เขาเก่งกาจขนาดนี้เลยหรือ?”ที่ เธอถามคำถามมากมายก่ายกองเธอไม่สนหรอกว่ายิ่นอื่น เหยีนเก่งกาจแค่ไหนเธอแค่อยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับยิ่นจี่ นเหยืนให้มากขึ้นกว่านี้เท่านั้นเอง
“เธอสนในและมีความรู้สึกดีๆกับยิ่นจี๋นเหยีนคนนี้?” เป็น ทหารมาตั้งหลายปีลูกน้องก็เยอะแยะสำหรับเรื่องรักใคร่ ของหนุ่มสาวเขาก็ยังพอดูออกอยู่
จิ้นเสี่ยวลิ่งยิ้มแบบเขินอายเธอพูดว่า “ฉัน…. ฉันมีเพื่อน คนนึงชื่อเหมือนเขาจึงแปลกใจในตัวเขาแค่นั้นเอง” ท่าน อธิบดีสายตาท่านแหลมคมเกินไปรึเปล่า
จิ้นเว่ยตงไม่ถามเธอต่อเขาพูดกับเธอไปว่า “เธอจะ แปลกใจในตัวเขาพ่อไม่ว่าแต่เรื่องงานของเขาเธออย่าไปถามหาเหตุผลให้มาก”
“อืม……” จิ้นเสี่ยวลิ่งพยักหน้าเธอรู้นิสัยของพ่อดีเพราะ ฉะนั้นเธออยากรู้เรื่องราวของยิ่นจี๋นเหยีนให้มากกว่านี้คง ยากแล้ว
อยู่บ้านหลังนี้มาทั้งวันทั้งคืนแล้วคืนวันที่สองก็เป็นคืนที่ ยิ่นจี๋นหมู่นัดทานข้าวกับกู้เชิงโยสองต่อสองก่อนที่กู้เซิง โยจะไปตามนัดเธอต้องไปปรึกษากับกู้เซิงโยก่อนเพราะ ฉะนั้นเช้าวันที่สองเธอก็ขับรถกลับไปที่เจียงเฉินทันที
กลับไปถึงเจียงเฉินเวลาก็เกือบจะบ่ายโมงแล้วผู้ช่วย เธอเสี่ยวเถาได้โทรศัพท์มาเร่งเธอกลับไปที่บริษัทหลาย ครั้งเหลือเกินเสี่ยวเถามารายงานกับเธอว่าทั้งคนทั้งงานมี การเปลี่ยนแปลง
พอจิ้นเสี่ยวลิ่งกลับไปถึงที่บริษัทเวลานั้นก็คือตอนเย็น แล้วเธอไม่ทันได้ทานข้าวเลยเธอรีบจอดรถเสร็จก็เข้าไป ที่บริษัททันที
พอเดินออกมาจากลิฟต์เธอก็เห็นคนมากมายเหมือน กำลังปรึกษาหารืออะไรกันอยู่พอเห็นเธอออกมาจาก ลิฟต์ทุกคนจึงไปกลับไปนั่งที่นั่งของตัวเอง
เสี่ยวเถารีบเดินมาหาเธอและพูดอย่างเสียงเบา:”พี่เสี่ยว ลิ่งเธอกลับมาสักทีเมื่อเช้าผู้จัดการจี้พาดีไซเนอร์คนใหม่ มาที่บริษัทเราด้วยเขาบอกว่าเธอเป็นผู้จัดการรองในด้าน ดีไซน์เนอร์” พูดอยู่เธอก็มองไปข้างๆห้องของจิ้นเสี่ยวลิ่ง
จิ้นเสี่ยวลิ่งไม่พูดไม่จาเธอเอากระเป๋าในมือตัวเองให้กับเสี่ยวเถาไปจากนั้นเธอก็เดินตรงไปที่ห้องทำงานของผู้ จัดการรองคนนั้นทันที
ไม่เคาะประตูแต่เธอผลักประตูเข้าไปทีเดียวภาพที่ ปรากฏต่อหน้าเธอคือจี้จั่นฉันกำลังพูดคุยกับผู้จัดการ รองคนนั้นอย่างสนิทสนมในมือของผู้จัดการรองยังถือ เอกสารไว้ในมือท่าทางของพวกเขาสนิทสนมและใกล้ ชิดจนทำให้คนสงสัยไม่รู้ว่าพวกเขากำลังคุยเรื่องงาน หรือเรื่องส่วนตัวกันแน่
ทั้งจี้จึ่นฉุนกับผู้จัดการรองตกใจมากที่จิ้นเสี่ยวลิ่งผลัก ประตูเข้ามาอย่างกระทันหันพวกเขาสองคนเงยหน้าขึ้น มามองจิ้นเสี่ยวลิ่งอย่างตกอกตกใจ
“ฉันได้ยินว่าบริษัทเรามีผู้จัดการรองคนใหม่เข้ามา ทำงานกับเราฉันจึงตั้งใจมาดู” จิ้นเสี่ยวลิ่งจ้องหน้าพวก เขาอย่างไม่เกรงใจ
จี้จีนฉืนได้สติเขาลุกขึ้นมาพูดกับจิ้นเสี่ยวลิ่งว่า:”เสี่ยว ลิ่งฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเธอจะเป็นคนไร้มารยาทเช่น นี้” ถึงแม้จะพูดด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มแต่คำพูดนี้ก็ซ่อนคำ ประชดประชันอย่างเห็นได้ชัด
จิ้นเสี่ยวลิ่งเดินเข้าไปลากเก้าอี้มานั่งต่อหน้าพวกเขา สองคนเธอจ้องหน้าจี้จี้ฉืนแล้วพูดว่า:”ใช่หรืองั้นถือว่าฉัน ผิดเองหรือถือว่าเธอตาถั่วเองคบกันมาตั้งสามปีเธอยัง ไม่รู้จักฉันว่าฉันเป็นคนอย่างไร?”
จี้จีนฉืนจนคำพูดเขาไม่กล้าสู้สายตาของจิ้นเสี่ยวลิ่งต่อไป
ผู้จัดการรองคนใหม่เหมือนจะรู้ว่าเขาสองคนกำลังจะ ปล่อยระเบิดใส่กันเธอรีบลุกขึ้นมาจากที่นั่งและเข้าไปจับ มือทักทายกับจิ้นเสี่ยวลิ่งว่า:” พี่เสี่ยวลิ่งฉันชื่ออู่อันหนีต่อ ไปเราก็คือเพื่อนร่วมงานแล้วยังไงก็ต้องขอคำชี้แนะจาก พี่เสี่ยวลิ่งด้วย”
จิ้นเสี่ยวลิ่งไม่ขอจับมือกับเธอแต่จิ้นเสี่ยวลิ่งยิ้มอย่าง ประชดและพูดกับเธอว่า “ความจำฉันไม่ดีเองหรือคุณ หนูอู๋เข้าใจผิดฉันไม่รู้จริงๆว่าคุณหนูอู๋เข้ามามีบทบาทใน บริษัทเราตั้งแต่เมื่อไหร่
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ