บทที่ 22 ความเย้ายวนร่วมเตียง
“ปกติกลางคืนคุณนอนกี่โมงคะเป็นเหม่ยถามผม
“พอง่วงก็นอน ผมเป็นพนักงานทำงานตามกะ ต้องผลัดเวร อีกสองสามวันก็ต้องเข้าเวรกลางคืน ตั้งแต่เที่ยงคืนถึงแปดโมง เช้า นาฬิกา ในตัวก็รวนไปหมดแล้ว”
“พรุ่งนี้คุณเข้าเวรเช้าใช่ไหมคะ
ผมบอกไม่กี่วันนี้หัวหน้าจัดให้ผมอบรม ไม่ต้องเข้าเวร ทํางานเช้า แล้วตอนบ่ายไปเข้าคอร์สอบรม
เธอถาม “แล้วคุณไม่ไปอาบน้ำนอนหรือคะ คือ……. …..คุณยังมี เอ่อ………ที่เหลืออีกไหม กับ เอ่อ ผ้าม่านที่เหลืออีกไหม
ผมรู้สึกประหลาดใจ “คุณจะปูพื้นนอนเหรอ เดี๋ยวผมทำเอง ผม นอนพื้น คุณบอบบางขนาดนี้ นอนพื้นไม่ได้หรอก ว่าแต่คุณจะ เอาผ้าม่านไปทำอะไร
เธอบอกว่า “ฉันนอนพื้นดีกว่า งั้นรบกวนคุณด้วยแล้วกันค่ะ ฉันรู้สึกผิดต่อคุณเหลือเกิน
ผมรู้สึกตกตะลึง ผมรู้ว่าคุณจะเอาผ้าม่านไปทำอะไร เอามา กั้นไว้ใช่หรือเปล่า กลัวว่าผมจะแอบดูคุณตอนกลางคืนอย่างนั้น เหรอ”
“ไม่ใช่นะ….ชายหญิงไม่เหมือนกัน ต้องมีไม่สะดวกบ้างขอโทษด้วยจริงๆ…….เธอเหลือบมองผมอย่างประหม่า
ผมหัวเราะแหะๆแล้วพูดขึ้น”ไม่เป็นไร ไม่ต้องเป็นหรอกนะ ก็ ต้องโทษโรงงานจัดระเบียบไม่ดีเองแหละ ยังซ่อมไม่เสร็จดี ก็ให้ คุณย้ายเข้าไปแล้ว”
เธอบอก คุณเคยพูดเองไม่ใช่เหรอว่ายังไม่ทันตกแต่งเสร็จก็ ให้ย้ายเข้าไปอยู่แล้ว บอกว่าช่างเทคนิค เข้ามาก็ได้ทำงาน เกษตรกร ตอนนี้โรงงานเรามีสองพันคน ได้ยินมาว่าตอนนี้เป็น แค่การก่อสร้างกระบวนการแรก ยังมีกระบวนการที่สองอีกนะ ต่อไปโรงงานนี้จะต้องรองรับพนักงานเป็นหมื่นคน”
ผมยิ้มให้แล้วพูดขึ้นไม่สนหรอกว่าจะกี่คน ให้ได้รับเงินเดือน มากหน่อยก็พอ”
เธอยิ้มเล็กน้อยแล้วถามขึ้น หาเงินค่านมลูกหรือไง”
ผมหัวเราะตาม ยังไม่ทันมีแฟนสาวสักหน่อย จะหาเงินค่านม
ลูกไปทำไม”
เซินเหม่ยพูดเชิงชมผม คุณยังไม่มีแฟนสาวหรอกเหรอ ฉันไม่ เชื่อหรอกนะ คุณออกจะแสนดี”
ผมพูดขึ้น “คุณเคยอ่านนิยายเล่มหนึ่งไหม ที่เหอหยวนไว้เป็น คนเขียน หนังสือเล่มนี้ชื่อว่า อกหักพร้อมกันวันรับปริญญา) ตอนที่โรงเรียนแนะนำงานนี้ให้ผมได้มาที่โรงงานนี้ ส่วนเธอก็ได้ ไปทำงานที่อื่น ตอนนี้ผมเพิ่งจะรู้ ความรักที่เกิดขึ้นในโรงเรียน กับความรักที่เกิดขึ้นนอกโรงเรียน มันไม่เหมือนกัน”
เซินเหม่ยถาม “แล้วเธอไปทำงานที่ไหนคะ
ผมชี้นิ้วลงไปที่เท้า”อยู่อีกฟากหนึ่งของโลกครับ อเมริกา เธอ
มีความฝันของตัวเอง ส่วนบ้านผมจน กลัวว่าจะไปรั้งความสุข ของเธอเอาไว้” ผมค่อยๆบี้บุหรี่ ท่ามกลางธุลีเพลิงจากก้นบุหรี่มีไอควันแผ่วๆ
ลอยขึ้น
มา
เซินเหม่ยถามขึ้นอีก เธอสวยไหมคะ”
ผมหันหน้าไปแล้วหัวเราะขึ้น ฮ่าๆ…….ไม่สวยเท่าคุณหรอก เธอเม้มปากอมยิ้ม เซินเหม่ยเป็นหญิงสาวสีชมพู โทรศัพท์มือ
นะ”
ถือของ
เธอเป็นสีชมพู ดวงหน้าของเธอเป็นสีชมพู ชุดกระโปรง บางเบาของเธอเป็นสีชมพู คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คเป็นสีชมพู กระเป๋าของเธอเป็นสีชมพู ขนตางามงอนของเธอพริ้วเล็กน้อย ช่างสะดุดตาคนเหลือเกิน
ผมรู้สึกได้ว่าบรรยากาศมันเปลี่ยนไป ผมจึงลุกขึ้น แล้วพูด ว่า “ผมไปอาบน้ำก่อนนะครับ”
เธอจึงลุกขึ้นตาม”ฉันจะไปปูที่นอนนะคะ”
ผมปูพื้นเสร็จ เธอหยิบฟูกจากกระเป๋าสัมภาระของเธอปูลงบนเสื่อ ผมคว้ามันขึ้น แล้วโยนไปบนเตียง พูดว่า “คุณนอนเตียง ผม นอนพื้น”
“จะดีเหรอคะ คุณอุตส่าห์ใจดีให้ฉันอยู่ด้วย ฉันจะไปแย่งเตียง
คุณได้ยังไง”เซินเหม่ยพูดเสียงอ่อย ผมหัวเราะแหะๆพร้อมหยอกเงิน หรือเราจะนอนบนเตียงด้วย กันทั้งคู่”
เธอค่อยๆจือปากขึ้น น่ารักที่สุดเลย
ผมยิ้ม แล้วรุนหลังเธอขึ้นเตียง จากนั้นจึงหาผ้าม่านออกมา จากตู้ แล้วนำมากั้นระหว่างกลางของเตียงกับพื้นนอน
หลังจากที่ผมอาบน้ำออกมา เธอก็ปิดไฟบนเพดานไปแล้ว เรียบร้อย สี
เหลืองนวลของโคมไฟหัวเตียงเป็นประกายขึ้น นาฬิกาบนฝา
ผนังบอก
เวลาห้าทุ่มครึ่ง
เมื่อเอนกายลงบนฟูก ห่มผ้าห่มบางๆ พลิกตัวเอียงข้าง กลับ ค้นพบว่า พอมองจากมุมนี้ ก็สามารถมองลอดผ้าม่านไปเห็นต้น ขาขาวเนียนของ
เซินเหม่ยเหมือนกัน
กระโปรงบางๆไม่สามารถปิดบังต้นขาอันเย้ายวนของเธอได้ผมรู้สึก
เลือดพล่านไปทั้งตัว และรู้สึกราวกับว่ามีกระแสไฟฟ้าสถิตวิ่ง พล่านขึ้น
ไปบนหัวสมอง
เมื่อนึกถึงต้นขาอันน่าเย้ายวน ผมขบริมฝีปากแน่น ยืนดูต่อไป
ผมคง
ทนไม่ไหวแน่!
ผมจึงพลิกตัวหันหลังให้ หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ผมเคยชิน ที่จะต้องดูรูปแฟนสาวก่อนนอนทุกคืน ไม่ใช่สิ พูดผิด น่าจะเรียก ว่ารูปแฟนสาวคนก่อนมากกว่า
“เราเพิ่งรู้จักกันวันแรก ฉันก็มาพักที่ห้องคุณเสียแล้ว ในใจ คุณคงคิดว่า…ฉันคงเป็นผู้หญิงที่ไม่ดี เสียงของเซินเหม่ยลอด มาจากทางด้านหลังอย่างแผ่วเบา
“ผมไม่เคยรู้สึกว่าคุณไม่ดีเลย กลับรู้สึกว่าคุณบ๊องส์ๆหน่อย กลิ่นสีที่ฉุนขนาดนั้น คุณจะนอนอยู่ในห้องนั้นได้สักกี่คืนเชียว”
“คุณกำลังดูรูปแฟนสาวอยู่หรือคะ”
ผมหันหน้ากลับ เห็นเธอยื่นหน้าออกมาที่ขอบเตียง โดยโผล่ หน้าออก
มาจากทางผ้าม่าน ดวงตาของเธอเป็นประกายระยับ “เปล่าครับ”ผมตอบ
“ขอดูหน่อยสิคะ”เธอยื่นมือซ้ายออกมาคว้ามือถือไปอย่างซุกซน
คิดไม่ถึงว่าเธอจะยื่นตัวออกมาที่ขอบเตียงตั้งครึ่งตัว พอเธอ ยื่นมือออกมา ใจผมก็หวั่นไหว เธอร้องเรียกเสียงเบาแล้วพลิกตัว หล่นลงมาจาก
เตียง ผมรีบยื่นมือไปรับเธอเอาไว้ จังหวะไม่พอดี……..อซ้าย ของผมดันไปกดลงบนหน้าอกเธอเข้า ภายใต้กระโปรงเบาบาง นั้นว่างเปล่า ฝ่า
มือของผมสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากหน้าอกที่อ่อนนุ่ม
มือขวาของเธอดันตู้หัวเตียงเล็กน้อย เธอจึงหดตัวกลับขึ้น เตียงไป ผ้า
ม่านปิดบังการมองเห็นของผมไปโดยปริยาย ทำให้ผมไม่ สามารถเห็นสีหน้าของเธอ
“ขอ…….ขอโทษครับ……..
“ไม่เป็นไรค่ะ”
เธอกลับขึ้นไปบนเตียง แต่กลิ่นหอมนวลจากกายเธอยังคุกรุ่น โดยรอบ ทำให้ผมเคลิบเคลิ้มเหลือกำลัง หัวใจเต้นไม่เป็นระ การสัมผัสใน
ครั้งนี้ ทำให้ผมตื่นเต้นจนมิอาจสงบลงอยู่นาน
“คุณสามารถ…..เล่าเรื่องแฟนสาวให้ฉันฟังหน่อยได้ไหมคะ” เธอเองก็ดูเหมือนจะกำลังกลบเกลื่อนความกระดาก จึงพูดลอยๆน
ผมคิดว่า การสัมผัสอย่างใกล้ชิดโดยไม่ตั้งใจเมื่อครู่ เธอเอง ก็คงจะรู้สึกได้ ไม่อย่างนั้น……….เสียงของเธอก็คงจะไม่สั่นเทา ขนาดนั้น แต่เมื่อเธอเอ่ยปากพูดถึงแฟนสาวของผม ผมกลับรู้สึก ว่าตัวเองเหมือนกับมะเขือที่โดนทุบแบน……..
ผมจุดบุหรี่ขึ้นมวนหนึ่ง หยิบที่เขี่ยบุหรี่มาวางไว้ข้างเสื่อบนพื้น แล้วเริ่มเล่าถึงอดีตแฟนสาวของตนเอง
ก็เหมือนกับเรื่องราวความรักน้ำเน่าทั่วๆไป ผมเป็นลูกของ เกษตรกรยากจน และก็เป็นนักศึกษาจบปริญญาคนแรกของ หมู่บ้านบนภูเขา แต่หมู่บ้านของเรามันย่ำแย่เสียจนไม่น่าจะเรียก ได้ว่าเป็นหมู่บ้านด้วยซ้ำ มีบ้านอยู่ประมาณยี่สิบครัวเรือน เรียก กันให้เข้าใจว่าครัวเรือนนั้นๆ จากหมู่บ้านนั้นๆ……
เมื่อสอบเข้าที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในเมืองนี้ได้ แม้แต่ ผู้ใหญ่บ้านที่นานๆจะยิ้มสักครั้งยังนิ้วเนื้อหนึ่งกิโลมากินข้าวที่ บ้านผม
เอ่ยชมผมหนักหนาว่าผมอนาคตดี
แต่ว่าพวกเขาไม่มีวันรู้ว่าผมผู้ที่สวมเสื้อและกางเกงวอร์ม เก่าๆขาดๆ
กับรองเท้ากีฬาพอมาอยู่ในเมืองศิวิไลท์แห่งนี้ ผมรู้สึกมี ปมด้อยต่อ
หน้าเพื่อนนักเรียนแค่ไหน ชีวิตนักเรียนมหาวิทยาลัยสี่ปี ผมแทบจะไม่
เคยขอเงินจากที่บ้านเลย แม้แต่ค่าเทอมก็พยายามหาเอง ผม ต้องขาด
เรียนไปทํางานพาร์ทไทม์บ่อยๆ กลางคืนกลับมาถึงหอพัก กินบะหมี่
สําเร็จรูปแล้วก็ท่องตำรา
รูมเมทของผมยิ้มให้พร้อมกับแซวว่าช่างขยันเหลือเกินนะ โรงแรมนา
นาชาติฝั่งโน้นเปิดรับสมัครพนักงานนายจะไปสมัครไหม ตอนนั้นผมกำลังกัดหมั่นโถวอยู่ และกำลังก้มอ่านตำราเหมา
เจ๋อตงและเติ้ง เสี่ยวผิง ผมพูดโดยไม่เงยหน้าว่าขอแค่หาเงินได้ และไม่ผิดกฎหมาย ผมทำทั้งนั้น ผมไม่เพียงแต่ไม่ต้องให้ที่บ้าน จ่ายค่าเทอมให้ ในแต่ละเดือนผมยังสามารถส่งเงินกลับบ้านอีก ด้วย ทุกคนในหมู่บ้านภูเขาเวลาพูดถึงผม ต่างก็พูดด้วยความ เลื่อมใสราวกับพูดถึงเทพเจ้าก็ไม่ปาน ต่างก็อยากให้บ้านตัวเอง มีลูกหลานที่ดีมีความสามารถแบบนี้บ้าง
ใครจะไปรู้ เพื่อที่จะเก็บเงิน ผมต้องทนน้ำอาบเย็นภายใต้ อุณหภูมิติด
ลบท่ามกลางฤดูหนาว
มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมทำงานพาร์ทไทม์ในโรงเรียน โดยเป็นเด็ก ส่งแก๊ส วันนั้น ในโรงเรียน ผมแบกแก๊สถังใหญ่ไปที่หอพักอาจารย์ด้านหลังสนามโรงเรียน ตอนที่เปิดประตู ผมชะงักไปเล็ก น้อย คนที่สั่งแก๊สเป็นหัวหน้าสมาคมศิลปะ ผมเองก็ร่วมกิจกรรม โรงเรียน และร่วมงานเลี้ยงกลาง
คืนของกิจกรรมโรงเรียนบ่อยๆ และผมมักจะเห็นเธอปรากฏ กายบน
เวทีเต้นรำ
เธอถามผมด้วยอาการตกตะลึงว่าผมเป็นสมาชิกกิจกรรม นักเรียนหรือ
เปล่า ทำไมคุ้นหน้าคุ้นตาอย่างนี้ ผมไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่ก้ม หน้าก้ม ตา แบกถังแก๊สเข้าไปในห้องของเธอ เธอถามผมว่าจะดื่มน้ำ
หน่อยไหม ผมบอกว่าไม่ต้องหรอก เธอบอกว่าเห็นผมเหงื่อโซม
หน้า พักสักครู่ค่อยไปแล้วกัน ผมก้มหน้า ในใจคิดว่าตัวเอง
สกปรกมอมแมมไปทั้งตัว
อย่างนี้ จะไปกล้านั่งได้อย่างไร จึงปั้นหน้าขรึมบอกว่าไม่ เป็นไร
เธอส่งเงินให้ผม หลังจากที่ผมรับเงินมาแล้ว ในมือก็แบกถัง แก๊สเปล่าออกไปวิ่งไปอย่างไม่คิดชีวิต
หลังจากที่มาถึงร้านแก๊ส จึงได้ค้นพบว่า แก๊สถังนึงราคาหนึ่ง ร้อยสามสิบหยวน เธอให้เงินผมมาสองร้อยหยวน ผมจึงรีบวิ่ง กลับไปเพื่อถอนเงินให้เธอ จากนั้นก็รีบวิ่งหนีออกมา หลังจากนั้นอีกสองอาทิตย์ มีอยู่วันหนึ่งหลังจากที่ผมส่งแก๊สเสร็จเรียบร้อย มีคนๆหนึ่งเดินกลับหอพัก ในคืนนั้นอากาศค่อนข้างหนาว ลม ค่อนข้างแรง ผมผู้ซึ่งสวมเสื้อเชิ้ตบางๆรู้สึกเย็นจนตัวสั่นเทา หญิงสาวที่สวมเสื้อสเวตเตอร์ขนแกะอย่างทันสมัยเดินมาหยุด อยู่ตรงหน้าผม ในมือถือขนมเค้กมา “สุขสันต์วันเกิดนะ
ผมเงยหน้ามองเห็นเป็นเธอ จึงโพล่งออกไปคำหนึ่งว่า คุณคง จําคนผิดแล้วล่ะ แล้วผมก็รีบอ้อมหลังเธอไป
เธอดึงชายเสื้อผมไว้พร้อมพูดว่า “จำไม่ผิดคนหรอก!
ผมรับขนมเค้กไปด้วยมือที่สั่นเทา แล้วนั่งกินขนมเค้กกับเธอ อยู่ภายใต้โคมไฟริมถนนอันหนาวเหน็บ ในตอนที่คุยกับเธอผม ถึงได้รู้ว่า หลัง
จากที่เจอกันตอนส่งถังแก๊ส เธอก็เริ่มที่จะสืบถามเรื่องราวของ
ผม
เธอรู้สึกนับถือเด็กที่มีมานะอย่างผมจริงๆ บอกว่า ในโรงเรียน
นักเรียนนับสี่หมื่นคน คงจะหาคนที่เป็นอย่างผมไม่ได้
ผมรู้สึกซาบซึ้งใจมาก เธอเห็นผมจับซ้อนด้วยมือที่สั่นเทาจาก ความหนาวเหน็บ เธอจึงคว้ามือผมไว้ ผมรีบพูดขึ้นว่า มือของผม เพิ่งขนแก็สเสร็จเมื่อครู่ สกปรกมาก แต่เธอกลับกุมมือที่เปื้อน เถ้าแก๊สของผมไว้แน่น…….เธอถามผมอีกว่าผมหนาวไหม
นับตั้งแต่ที่ได้เจอเธอ ชั่วพริบตานั้นผมเหมือนคนที่ยาอะไรก็ไม่สามารถรักษาได้ เธอเป็นยาพิษของผม เป็นยาพิษที่ทำให้ผม ตายได้ เป็นรัก
แรกพบ ผมเกลียด โชคชะตาที่ทำให้มาพบเจอเธอช้าเกินไป
ในหัวมี เสียงเปรี้ยงปร้างราวกับฟ้าผ่า ธุลีหินทรายปลิวว่อนอยู่เต็มหัว
ในหัว
ปรากฏคำออกมาสี่ค่ “รักชั่วนิรันดร์”
เธอเป็นแฟนสาวเพียงคนเดียวในชีวิตผม ตัวเองในตอนนั้น ต่อให้หลับฝันไปก็ยังคิดไม่ถึงว่าจะมีแฟนสาวที่รวยและเป็นถึง สมาชิกวงศิลปะ
แล้วแถมยังนำสมัยอีก เธอให้ผมไปพักอาศัยกับเธอที่หอพัก ครูที่เธอ
เช่าไว้ ผมไม่ต้องใช้น้ำเย็นอาบน้ำอีกต่อไป ทุกวันเวลาที่ผม กลับถึง
ห้องน้อยๆห้องนั้น เธอก็จะทำอาหารไว้รอปอกผลไม้ไว้ให้ ผม รู้ เธอรัก
ผมมาก ในขณะเดียวกัน ผมเองก็ทุ่มเทให้เธอทั้งหมด
ผลการเรียนของผมดี ความประพฤติที่โรงเรียนก็ดีด้วย ทำให้ เป็นที่รักของครูอาจารย์
โรงเรียนจะให้ทุนผมเรียนต่อระดับปริญญาโท เธอเองก็บอกว่าจะสอบ
เรียนด้วย เธอซื้อหนังสือมาจำนวนมาก ทุกวันนอกจากเวลาที่ ผมไปทํางานพาร์ทไทม์ตัวเราแทบจะไม่แยกจากกัน ต่อมามีอยู่วันหนึ่ง เธอบอกว่าหลังจากที่พ่อของเธอได้ฟังเรื่อง
ราวของ
ผม ก็รู้สึกเลื่อมใสผมเช่นกัน อยากจะพบผมสักครั้ง ผมรู้ว่า อะไรที่ควรมา ถึงเวลาก็จะมา หลังจากที่เตรียมตัวเตรียมใจ เรียบร้อย เด็กชาวเขายากจนอย่างผมก็ได้ไปผมพ่อแม่ของเจ้า หญิงจนได้ ตอนที่เดินเข้าบ้าน
เธอ ผมตกใจแทบแย่ ผมเคยคิดว่า บ้านของเธอคงจะเป็น
บ้านเดี่ยว
แบบในละครโทรทัศน์ ใครจะไปรู้ว่ากลับเป็นคฤหาสน์หลัง
ใหญ่ ที่มี
เจ็ดชั้น เมื่อมีคฤหาสน์หรูสไตล์ยุโรปตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ผมรู้สึก
ว่าตัวเองเล็กเป็นจุลไปทันที
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ