ภริยายอดหมอยุควันวาน

บทที่ 13 นั่นมันสาวน้อยสยองขวัญไม่ใช่เหรอ?



บทที่ 13 นั่นมันสาวน้อยสยองขวัญไม่ใช่เหรอ?

หลานสาวคงเสียใจที่ขายจักจั่นไม่ได้ เขาจึงไม่อาจ ทำให้หลานสาวผิดหวังอีกเป็นครั้งที่สอง

หวังต้าถึงนับเงินในมือ หลังจากไปหาหมอมาจึงเหลือ อยู่สิบสามหยวน มีมากพอที่จะไปกินอาหารสักมื้อที่ร้าน อาหารรัฐ ดังนั้นเขาจึงเอ่ยปากอย่างร่าเริงว่า “ไปกินที่ ร้านอาหารรัฐกันเถอะ!”

ทั้งสี่คนนั่งรถม้าออกไปได้ไม่นาน ไม่ใกล้ไม่ไกลจาก ตรงนั้นก็มีใครบางคนชะโงกหัวออกมาจากรถจี๊ปทหารคัน

สีเขียว

“เอ๋ นั่นมันสาวน้อยสยองขวัญไม่ใช่เหรอ?”

คนที่เอ่ยถ้อยคํานี้ออกมาคือเจียงเห้าหรานที่หลินฟาง หัวเคยเจอเมื่อหลายคืนก่อนหน้านี้

ตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นมา เส้าเฉินก็ตามหาสาวน้อยคนนี้ มาตลอด แต่ติดตรงที่ว่าภารกิจรัดตัวจึงไม่สามารถเจียด เวลาว่างออกมาได้

ใครจะไปคิด ว่าวันนี้อีกฝ่ายจะถูกเขาจับได้แล้ว

“เร็วๆๆ เลี้ยวรถกลับ!” เขาต้องรีบเอาเรื่องนี้ไปบอกพี่เฉิน ไม่แน่ว่าพี่เฉินอาจจะไล่ตามทันก็ได้

ต่อมารถจี๊ปคันนั้นก็หักเลี้ยวกลับอย่างรวดเร็ว

หลินฟางหัวยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังถูกหมาป่าเพ่ง เล็ง ในตอนนี้เธอกำลังยืนทอดถอนหายใจกับการ เปลี่ยนแปลงของประวัติศาสตร์อยู่บริเวณทางเข้าร้าน อาหารรัฐ

ที่นี่คือร้านอาหารที่ดีและใหญ่ที่สุดในอำเภอซี

แต่ใครจะไปคาดคิดว่าภายในระยะเวลาสั้นๆ จะถูกร้าน ค้าเอกชนที่ผุดขึ้นมามากมายเข้ามาแทนที่ จนสุดท้ายก็ หายเข้ากลีบเมฆ

เวลานี้เลยเวลากินข้าวมาแล้ว ภายในร้านอาหารจึง แทบไม่มีคน มีเพียงพนักงานที่กำลังรวมตัวกันพูดคุย อะไรเรื่อยเปื่อย

“สหาย ขอจัดอาหารให้เราหน่อย”

หวังต้าถิ่งไม่เคยมากินอาหารในร้านมีระดับอย่างนี้มา ก่อน คำพูดคำจาจึงดูขาดความมั่นใจ

เมื่อเหล่าพนักงานเห็นเครื่องแต่งกายบนตัวของคนที่มาเยือน รอยยิ้มบนหน้าก็พลันหายไปทันที

พวกเธอก็นึกว่าลูกค้าจะเป็นคนใหญ่คนโต ที่ไหนได้ กลับเป็นคนบ้านนอกเสียอย่างนั้น

หนึ่งในพนักงานเบ้ปากอย่างดูแคลน เอ่ยพูดอย่างไม่ ใสใจว่า “อยากได้อาหารระดับไหนล่ะ ที่นี่มีราคาห้า หยวน สิบหยวน แล้วก็สิบห้าหยวน”

พูดจบก็หันหน้ากลับมา หัวเราะต่อกระซิกกับพนักงาน คนอื่นๆ

มากันแค่ไม่กี่คนคงไม่กล้ากินอาหารแพงๆหรอก แค่ เสวนาด้วยก็ถือว่าเปลืองน้ำลายมากแล้ว

หวังซูอิงเองก็เพิ่งเคยมาร้านอาหารรัฐเป็นครั้งแรก เมื่อ เห็นกระดาษเช็ดหน้าที่เสียบอยู่ในแก้วใบใสบนโต๊ะมีรูป ร่างคล้ายผีเสื้อสยายปีก ก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาในทันที

ในตอนที่เธอกำลังจะยื่นมือออกไปหยิบแก้วใบนั้นขึ้นมา ก็ได้ยินเสียงแหลมๆของพนักงานคนเมื่อสักครู่ตะโกนว่า “ไม่สั่งก็อย่าแตะต้องของในร้านมั่วซั่ว แก้วใบนั้นร้านของ เราสั่งทำเป็นพิเศษ ถ้าทำแตกพวกคุณมีปัญญาชดใช้ ไหม?”

อีกฝ่ายเชิดหน้า คำพูดคำจาเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม

หวังซูอิงรีบชักมือกลับ บนใบหน้าปรากฏแววอับอาย

หลินฟางหัวตบมือเธอเบาๆอย่างปลอบใจ จากนั้นก็หัน หน้าไปมองพนักงานคนเมื่อครู่ “ใครเป็นคนตั้งกฎว่าถ้า ไม่สั่งอาหารแล้วห้ามจับของในร้าน? แล้วเธอรู้ได้ยังไงว่า พวกฉันจะไม่สั่ง?”

แน่นอนว่ามันไม่มีใครตั้งกฎเอาไว้หรอก แต่ที่ผ่านมา พวกเธอก็ทำอย่างนี้มาตลอด

เมื่อโดนหลินฟางหัวเอ่ยถามออกมาแบบนี้ พนักงานคน ดังกล่าวก็เริ่มขาดความมั่นใจ ทว่าก็ยังคงดันทุรังพูดต่อ “แล้ว….พวกเธอมีปัญญาสั่งกินเหรอ?”

หลินฟางหัวยิ้มเยาะกับประโยคนี้ในทันที

อดีตชาติเธอคืออาจารย์หมอระดับประเทศที่มีอายุน้อย ที่สุด ไม่ว่าไปที่ไหนก็ได้รับการต้อนรับอย่างสมเกียรติ

เกิดเป็นมนุษย์มาสองชาติภพ นี่คือครั้งแรกที่ถูกคนอื่น หัวเราะเยาะว่าไม่มีปัญญากินอาหารแพงๆ
แต่ว่าในชาตินี้เธอเองก็ขัดสนเรื่องเงินจริงๆนั่นแหละ เสื้อผ้าที่ใส่ก็สุดแสนจะบ้านนอก ไม่แปลกที่คนพวกนี้จะ ทําตัวจองหองใส่

เดิมทีหวังต้าถึงก็อารมณ์เสียมากอยู่แล้ว เมื่อเห็นพี่สาว กับหลานสาวกำลังถูกรังแกใครมันจะไปทนไหว?

เขาจึงควักธนบัตรออกมาฟาดลงบนโต๊ะ อ้าปากพูด อย่างโอหังว่า “ใครว่าพวกฉันไม่มีปัญญากิน เอาราคาสิบ หยวนมาเลยถ้าอย่างนั้น! ” ”

คราวนี้ พนักงานสาวแทบจะเก็บสีหน้าอับอายเอาไว้ไม่ อยู่

ในขณะที่เธอกำลังเดินมารับเงินด้วยท่าทางเจี๋ยมเจี้ยม แต่หลินฟางหัวกลับชิงหยิบเงินไปก่อนเธอ

“แม่ น้า น้าสะใภ้ เราไม่ต้องกินแล้ว!

หลังจากพูดประโยคนี้จบ เธอก็จูงมือหวังซูอิงเตรียมเดิน ออกไปนอกร้าน

“ใช่ๆ เราไม่กินแล้ว คุณยายสั่งเนื้อหมูไว้ให้แล้ว เรา กลับบ้านไปกินกันเถอะ น้าจำได้ว่าฟางหัวชอบกินเนื้อ หมักที่คุณยายทำที่สุดแล้ว! ” หวังต้าถิ่งเดินตามหลัง พวกเธอมาอย่างกระฟัดกระเฟียด
ทว่าพนักงานสาวที่อยู่ด้านหลังกลับหัวเราะเยาะออกมา อย่างไม่คิดปิดบัง “ฉันว่าแล้ว พวกเขาต้องไม่กล้ากินแน่ๆ เงินที่หยิบออกมาอวด ไม่รู้ว่าต้องทำงานหนักขนาดไหน ถึงได้มา ยังมีหน้ามาทำเป็น….…………

ตอนแรกหลินฟางหัวก็ไม่อยากถือสาเธอหรอก แต่เมื่อ ได้ยินคำพูดพวกนี้ก็หยุดฝีเท้าลงอย่างเหลือทน

เธอหันหน้ากลับไป แล้วก้าวเข้าไปหาพนักงานสาวคน นั้นทีละก้าว เหลือบมองป้ายชื่อบนอกของเธอแล้วพูด เสียงนิ่งออกมาว่า “ชื่อหวังหยิงหยิงใช่ไหม ฉันจะจำเธอ ไว้”

“ใช่ ฉันชื่อหวังหยิงหยิง แล้วจะทำไม?”

พนักงานสาวที่ชื่อหวังหยิงหยิงไม่เกรงกลัวต่อคำพูดของ หลินฟางหัวเลยสักนิด ทั้งยังโต้ตอบกลับมาด้วยใบหน้า ถือดี

เธอมีหน้าที่การงานมั่นคง จำเป็นต้องกลัวกับแค่คนบ้าน นอกบ้านนาด้วยเหรอ?

“ฉันสาบาน ว่าภายในสามเดือนฉันจะเอาเธอลงจาก ตำแหน่งให้ได้”

พูดจบประโยค หลินฟางหัวก็หมุนตัวเดินออกไปจากร้าน ไม่สนใจเสียงหัวเราะเหยียดหยาม ดังตามหลังมา

“ฟางหัว น้ารู้ว่าหลานคงรู้สึกไม่ดีที่ขายจักจั่นไม่ได้ แต่ หลานก็ไม่จําเป็นต้องมาสาบานอะไรแบบนี้…….…. หวัง ต้าถิ่งที่เดินตามหลังมาเอ่ยพูดด้วยใบหน้าเป็นกังวล

การเป็นพนักงานในร้านอาหารรัฐไม่ใช่ว่าใครๆก็เป็นได้ พูดมาได้ยังไงว่าจะเอาอีกฝ่ายลงจากตำแหน่ง?

“ใครบอกว่าฉันขายจักจั่นไม่ได้ คุณน้าชายดูสินี่อะไร?” หลินฟางหัวควักธนบัตรตับใหญ่ออกมาจากกระเป๋า

ธนบัตรเหล่านี้พอเอามานับรวมๆกันแล้ว มีมากถึงยี่สิบ กว่าหยวน!

“นี่…..หลานไปเอาเงินเยอะขนาดนี้มาจากไหน?”

หวังต้าถึงพูดตะกุกตะกัก ไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือเงินที่ได้ มาจากการขายจักจั่นในวันนี้

ในความคิดของเขา ขายได้ห้าหยวนก็ถือว่าสุดยอด

แล้ว!

“คุณน้าชายคิดว่ายังไงล่ะ?” หลินฟางหัวขยิบตาให้เขา
จริงๆแล้วตอนแรกเธออยากใช้เงินส่วนหนึ่งเลี้ยงข้าว หวังต้าถึงกับเมิ่งเยว่เอ๋อ เพื่อเป็นการขอบคุณที่พวกเขา คอยช่วยเหลือและดูแล

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะบอกว่าคนกันเองไม่จําเป็นต้อง ตอบแทน แต่เธอจะไม่แสดงออกอะไรเลยได้ยังไง?

แต่ใครจะไปคิด ว่าพนักงานในร้านอาหารรัฐจะเลือก

ปฏิบัติแบบนี้!

ลดตัวไปโกรธคนแบบนี้คงเสียเวลาเปล่า เธอต้อง แข็งแกร่งถึงจะสามารถตบหน้าคนพวกนี้ได้

“วันหนึ่งได้ตั้งยี่สิบ แล้วถ้าเดือนหนึ่งจะไม่ได้หกร้อย เลยเหรอ?” เมื่อเห็นเงินในมือ ดวงตาของหวังต้าถึงก็แทบ จะถลนออกมา

เงินมันหาง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ?

เมิ่งเยว่เอ๋อพูดกลั้วยิ้มขึ้นมาว่า “ต้าถิ่ง ยังเหลือหักลบ ต้นทุนอีกนะ ได้ยินฟางหัวบอกว่าเมื่อวานจ่ายเงินให้เด็กๆ ที่จับจักจั่นมาให้คนละสามเหมา สิบกว่าคนก็สามหยวน แล้ว ไหนจะมีค่าน้ำมันค่าถ่านอีก วันหนึ่งน่าจะได้กำไร ประมาณสิบห้าหยวน”

“ถึงอย่างนั้นก็ยังเยอะอยู่ดี เงินทำงานเดือนหนึ่งของฉันได้แค่หกสิบหยวนเอง แต่ฟางหัวใช้เวลาแค่สี่วันก็ได้ เท่าฉันแล้ว! ” หวังต้าถิ่งทอดถอนหายใจ

“คุณน้าชาย เขาไม่ได้คำนวณกันอย่าง….……….

หลินฟางหัวอธิบายอย่างใจเย็น “เดือนแปดคือช่วงที่ จักจั่นกำลังเยอะ แต่เดือนหน้าจักจั่นน้อยลงเราก็ไม่มี จักจั่นไปขายแล้ว อีกอย่างพอเห็นว่าเราขายจักจั่นได้ ต้องมีคนขายตามเราแน่ๆ ถึงเวลานั้นเราคงขายไม่ได้ เยอะเหมือนอย่างตอนนี้แล้วล่ะ……….…….


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ