ภริยายอดหมอยุควันวาน

บทที่ 12 พวกเธอไม่อดตายหรอก



บทที่ 12 พวกเธอไม่อดตายหรอก

หลินฟางหัวไม่ได้ตอบโต้อะไร เมื่อก่อไฟเสร็จก็นําของ ขึ้นมาจัดบนโต๊ะทีละอย่าง

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็เป็นเวลาเจ็ดโมงครึ่งพอดี ซึ่ง เวลานี้คือช่วงที่เหล่าพนักงานมาเข้างาน ทางสามแยกที่ ตอนแรกเงียบเหงาชั่วขณะก็ครึกครื้นขึ้นมาในทันที

พอสบโอกาส หลินฟางหัวก็เปิดปากตะโกนเรียกลูกค้า “จักจั่นทอดจ้า——จักจั่นทอดอร่อยๆมาแล้วจ้า——

ช่วงเวลานี้เพิ่งได้มีการกล่าวคำขวัญปฏิวัติออกไปไม่ นาน ซึ่งก่อนจะมีการปฏิวัติคนที่มาตั้งแผงขายล้วนแล้ว แต่ต้องฉวยโอกาสขายกันทั้งนั้น แม้แต่ตอนนี้พวกเขา ก็ยังคงขายกันอย่างลับๆล่อๆ ปิดๆซ่อนๆ ไม่มีใครกล้า แหกปากตะโกนเรียกลูกค้าออกมาตรงๆแบบนี้

ทว่าจากการเรียกลูกค้าของเธอในครั้งนี้ กลับดึงดูด สายตาของผู้คนรอบๆได้เป็นอย่างดี

มีคนอยากรู้อยากเห็นเข้ามาห้อมล้อม พร้อมกับเอ่ยถาม ว่า “จักจั่นขายยังไงเหรอ?”

“ห้าเหมาต่อหนึ่งชุด หนึ่งชุดมีสิบตัว ซื้อตอนนี้ทอดตอน นี้ รสชาติอร่อยยิ่งกว่าเนื้ออีกนะจ๊ะ!” หลินฟางหัวตอบ กลับอย่างฉะฉาน
“แพงเกินไปแล้ว………

คนที่เข้ามาถามราคาส่ายหัวพร้อมกับเดินออกไป

พวกเขาทำงานที่โรงงานเดือนหนึ่งได้เงินประมาณเจ็ด แปดหยวนเอง จ๊กจั่นราคาตั้งห้าเหมา ใครมันจะไปกล้า ชื้อ!

เมื่อหวังซูอิงได้ยินคำบ่นของพวกเขา ก็เอ่ยแนะนำเสียง เบาว่า “ฟางหัว พวกเราลองขายถูกลงกว่านี้ดูไหม?”

“แม่ อย่าเพิ่งใจร้อน

หลินฟางหัวกลอกตาไปมา จู่ๆก็เอ่ยถามว่า “แม่หิวแล้ว ใช่ไหม?”

กำลังจะส่ายหน้าปฏิเสธ แต่กลับเห็นว่าหลินฟางหัวราด น้ำมันลงกระทะอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นก็เทจักจั่นลงไป แล้วเริ่มทอด

กลิ่นหอมๆพลันฟุ้งกระจายออกมาจากกระทะทีละนิด จนไปกระตุ้นจมูกของผู้คนโดยรอบ

ถึงกับมีบางคนจ้องมองกระทะพร้อมกับกลืนน้ำลายลงคอ

หลินฟางหัวแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น เธอหยิบหมั่นโถวอ อกมาแบ่งครึ่ง จากนั้นก็ตักจักจั่นที่ทอดเสร็จใส่ลงตรง กลางเป็นไส้แล้วยื่นให้หวังซูอิง เธอขยิบตาแล้วพูดขึ้น “แม่ กินนี่สิ”

“เฮ้อ! ”

หวังซูอิงไม่ได้โง่ เพียงแวบเดียวก็เข้าใจเจตนาของหลิน ฟางหัวแล้ว เธอจึงรับหมั่นโถวมากินพร้อมกับเอ่ยพูดขึ้น มาว่า “หมั่นโถวสอดไส้จักจั่นทอด นี่มันอร่อยเสียจริง! ”

ชั่วขณะนั้น ผู้คนโดยรอบก็ไม่สามารถทำเป็นนิ่งได้อีก ต่อไป

พวกเขาต้องรีบเข้าทำงาน หลายคนจึงไม่มีเวลากินข้าว เช้า ส่วนใหญ่ไม่มีใครอยากกินข้าวข้างนอก จึงต้องพก หมั่นโถวกับผักดองจากที่บ้านมากินด้วยระหว่างทาง

แต่ถึงจะอย่างนั้น พวกเขาเองก็ไม่กล้าใช้เงินฟุ่มเฟือย จึงทำได้เพียงข่มความหิวแล้วเดินออกไปทั้งๆที่น้ำลาย ไหล
ในตอนนั้นเองกลับมีลูกค้าอายุยังไม่มากสองคนเดินเข้า มา มองแค่ปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นชายหนุ่มวัยรุ่นที่ยังไม่ ได้รับแรงกดดันทางเศรษฐกิจ พวกเขาเอ่ยปากพูดขึ้นมา ว่า “เอามาให้พวกฉันสองชุด!

“ได้เลย พี่ชายทั้งสองรอสักครู่!

เมื่อลูกค้ารายแรกเข้ามา หลินฟางหัวก็มีชีวิตชีวาขึ้นมา ทันที เธอเทน้ำมันทอดจักจั่นอย่างคล่องแคล่ว

เธอยังสาวยังสวย ต่อให้ทำงานหนักถึงเพียงใดก็ยังน่า มอง

ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มทั้งสองจะได้มองจนพอใจ จักจั่น ร้อนๆก็ถูกยื่นมาตรงหน้าพวกเขา “พี่ชาย จักจั่นทอดที่สั่ง ได้แล้ว สองชุดราคาหนึ่งหยวน”

หลังจากได้รับเงินอย่างจริงๆจังๆ หลินฟางหัวก็ถอน หายใจออกมาอย่างโล่งอก

ทุกสิ่งเริ่มต้นด้วยความทุลักทุเลทั้งนั้น ตราบใดที่มีคน เข้ามาเปิดฉาก เธอก็ไม่กลัวว่าจะขายไม่ออก

และก็เป็นอย่างที่คิดเอาไว้เพราะไม่นานหลังจากนั้นก็ ขายได้อีกสองชุด ตรงกันข้ามกับหญิงแก่ที่ตั้งแผงขาย เต้าฮวยกลับไม่มีลูกค้าแวะเวียนเข้ามาเลยสักคน
หญิงแก่หันมองมาทางนี้อย่างไม่พอใจ จากนั้นก็รวบรวม ความกล้าส่งเสียงออกมาเบาๆ “เต้าฮวยจ้า——เต้าฮวย

ร้อนๆ——

ในที่สุดก็มีลูกค้าเริ่มให้ความสนใจเธอแล้ว

หวังซูอิงค่อนข้างประหลาดใจ “ฟางหัว ลูกไปจ่าวิธี เรียกลูกค้าแบบนี้มาแต่ไหน ทำไมใจกล้าถึงเพียงนี้?”

“ฉันฉลาดไง! ไม่กล้าได้ยังไง ถ้าของพวกนี้ขายไม่ ออกเราก็จะไม่ขาดทุนกันหมดเหรอ?” หลินฟางห้วยกยอ ตัวเองอย่างไม่ตระหนี่เลยสักนิด

กลับเป็นหวังซูอิงที่หลังจากได้ยินลูกสาวพูดขอบตาก็ แดงก๋า

เมื่อก่อนหลินฟางหัวเอาแต่ใจมาตลอด และมักจะโทษ ว่าเธอไม่สามารถมัดใจหลินเจี้ยนจุน ได้ โทษที่เธอให้ กำเนิดน้องโง่ๆ และแต่ไหนแต่ไรลูกสาวก็ไม่เคยสนิทใจ กับเธอขนาดนี้

เรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ต้องไปสะกิดใจของอีกฝ่ายแน่ๆ ลูกสาวของเธอถึงได้เชื่อฟังขนาดนี้

ในเมื่อลูกของเธอยังพยายามขนาดนี้ แล้วเธอยังต้องมี เหตุผลอะไรให้กลัวอีกล่ะ?
“เดี๋ยวแม่เอง”

ในตอนที่หลินฟางหัวกำลังจะเอ่ยเรียกลูกค้าอีกหนก็ถูก หวังซูอิงห้ามเอาไว้เสียก่อน

แรกๆไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเท่าไหร่นัก ทว่าหลังจากเอ่ย เรียกลูกค้าได้สักพักก็คล่องปรือ เสียงก็เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ

ไม่นานก็ขายได้อีกหนึ่งชุด ความกล้าของหวังซูอิงก็ยิ่ง พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อถึงเวลาเก้าโมงก็ไร้ผู้คน ตรงกันข้ามคนหอบหิ้ว กระเป๋ามาขายของกลับเยอะขึ้นเรื่อยๆ

เพราะอีกประเดี๋ยวก็ถึงเวลาพักกลางวัน ซึ่งเป็นช่วง เวลาที่ขายดีที่สุดของวัน

แน่นอนว่าหลินฟางหัวไม่พลาดอยู่แล้ว เพราะถึงยังไง เธอก็ยังต้องรอหวังต้าถิ่งอยู่ที่เดิม

เมื่อใกล้เที่ยง ก็มีผู้คนทยอยเดินออกมาจากโรงงาน เพื่อมาหาอะไรอร่อยๆกิน

เพราะอาหารในโรงอาหารของโรงงานไม่อร่อยเป็นอย่างมาก จนปากของพวกพนักงานแทบจะไม่รับรสอยู่ แล้ว

ในช่วงเวลานี้ แม้แต่แผงขายเต้าฮวยก็ยังถูกห้อมล้อม ไปด้วยลูกค้า

หลินฟางหัวเพิ่งขายออกไปหนึ่งชุดได้ไม่ทันไร ก็เห็น กลุ่มวัยรุ่นกำลังเดินเข้ามา คนที่เดินนำหน้าคือผู้ชายสอง คนที่เพิ่งซื้อจักจั่นทอดกับเธอเมื่อเช้า

พวกเขาเดินเข้ามาพร้อมกับชี้มาที่หลินฟางหัว “คนนี้ แหละ ยังอยู่จริงๆด้วย!

หวังซูอิงตกใจจนมือสั่น

ยกโขยงกันมาขนาดนี้ จะมาหาเรื่องกันเหรอ?

แม้ว่าในใจจะหวาดกลัวเพียงใด เธอก็ยังทำใจกล้ามา ยืนบังหลินฟางหัวเอาไว้ “พวกเธอ…..มีเรื่องอะไร?”

กลุ่มวัยรุ่นพากันนิ่งไป ต่อมาก็นึกขึ้นได้ว่าการที่พวก เขายกโขยงกันมาแบบนี้มันคงทำให้คนอื่นตื่นกลัวเป็น ธรรมดา จึงรีบพูดปลอบประโลมว่า “พี่สาวอย่ากลัวไป พวกผมแค่มาซื้อจักจั่นทอด”
ได้ยินแบบนี้หวังซูอิงถึงได้วางใจลง

ทั้งหมดมาด้วยกันแปดคน จึงขายได้อีกแปดชุด

คำนวณรวมกับ ขายได้ช่วงเช้า เป็นจํานวนทั้งหมด ยี่สิบชุด

นั่นก็แปลว่า พวกเธอยังเหลืออยู่อีกสิบกว่าชุด

เมื่อหวังซูอิงได้ลิ้มลองกำไรแสนหอมหวาน ก็ยิ่งเปล่ง เสียงเรียกลูกค้าสุดขีด ไม่นานส่วนที่เหลือก็ขายหมด เกลี้ยงอย่างรวดเร็ว

เมื่อเก็บข้าวของเสร็จ หวังต้าถึงกับเมิ่งเยว่เอ๋อก็กลับมา จากโรงพยาบาลพอดี

เมื่อเห็นสองแม่ลูกยืนอยู่ด้วยกันสองคน โดยที่ของทุก อย่างยังจัดเก็บอยู่ในสภาพเหมือนตอนมา หวังต้าถึงก็นึก โทษตัวเองที่มัวแต่โกรธหมอ จนลืมว่าต้องหาคนมาเป็น หน้าม้าซื้อของให้หลานสาว

เขาขนของขึ้นรถม้าไปพลางเอ่ยพูดไปพลาง “ไม่เป็นไร นะ ขายไม่ได้เราเอากลับไปกินเองก็ได้ มีน้าอยู่ทั้งคน พวกเธอไม่อดตายหรอก! ”
หวังซูอิงกำลังจะอ้าปากบอกว่าขายหมดแล้ว แต่กลับ เห็นหลินฟางหัวยิ้มแป้นเข้าไปคล้องแขนของหวังต้ากิ่ง พร้อมกับเอ่ยถามว่า “คุณน้าชาย น้าสะใภ้ไปหาหมอมา เป็นยังไงบ้าง?”

ตอนยังไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ก็ดีๆอยู่หรอก แต่พอเอ่ยถึง เท่านั้นแหละหวังต้าถึงก็หัวเสียในทันที

“หมอจีนชื่อดังอะไรกัน มาบอกว่าฉันมีปัญหา แถมยัง จัดยาให้ฉันตั้งเยอะตั้งแยะ!

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ก็นึกขึ้นมาได้ว่าหลินฟางหัวยังไม่รู้ ประสา คงไม่ดีถ้าต้องมาฟังถ้อยคำเหล่านี้ จึงรีบเปลี่ยน เรื่อง “ไม่มีอะไรหรอก พวกเธอคงยังไม่ได้กินมื้อเที่ยง สินะ ไปกัน! เดี๋ยวน้าจะพาหลานไปกินข้าว อยากกิน อะไรบอกน้าได้เลย! ”

“ฉันอยากไปกินที่ร้านอาหารรัฐ” หลินฟางหัวไม่เกรงใจ หวังต้าถิ่งเลยสักนิด


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ