บทที่ 14 เขากลับคำพูดของตัวเอง
งานเลี้ยงอาหารกลางวันที่บ้านของพ่อ
นั่นก็แสดงว่าเธอต้องไปเจอกับพ่อแม่ของเขาไม่ใช่เหรอ? มหิตายังไม่พร้อม เธอจึงพูดปฏิเสธออกไปว่า “คุณลุง ฉันไม่ ไปนะคะ”
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่ง เธอก็พูดต่อออกไปอีกว่า “คุณลุงคะ ครั้งต่อไป ถ้าฉันได้ซื้อของขวัญแล้ว คุณลุงค่อยพาฉัน ไปเจอพวกเขานะ
ณัฐจับมือของเธอไว้ และเขาก็รับรู้ได้ถึงอุณหภูมิจากนิ้วมือ ของเธอ
นิ้วมือของเธอนั้นเรียวยาวและสะอาดสะอ้าน และแม้ว่านิ้วของ
เธอจะไม่ได้รับการเสริมแต่งใดๆ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังสวยงาม เป็นอย่างมาก ปลายนิ้วร้อน ให้ความรู้สึกร้อนเล็กน้อย เหมือนหยาดเหงื่อ
บางๆ อย่างไรอย่างนั้น
เด็กคนนี้ คงจะไม่ได้กลัวหรอกใช่ไหม?
เมื่อเขาเห็นว่าเธอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ณัฐก็พูดออกไปอย่าง ไม่อิดออด พร้อมกับยิ้มบางๆ ว่า “ได้”
เธอพูดแค่นี้…ทำไมเขาถึงยอมตกลงล่ะ?
มทิตาคิดว่า การที่เธอจะพูดโน้มน้าวเขามันต้องเป็นเรื่องที่ ยากมากแน่ๆ
เพราะอย่างนั้นการที่เขายอมตกลง มันจึงทำให้เธอรู้สึก ประหลาดใจเป็นอย่างมาก
เมื่อย้อนกลับไปคิด ถึงแม้ว่าเธอจะลงนามในหนังสือข้อตกลง
การแต่งงานแล้ว
แต่พ่อแม่ของเธอ ก็ยังต้องรับรู้ด้วยเช่นกัน
จู่ๆ เธอก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เธอโบกมือไปมา จากนั้น ก็วิ่งกลับไปที่เตียงเพื่อหาโทรศัพท์มือถือของตัวเอง
เธอเดาว่า โทรศัพท์ของเธอจะต้องระเบิดแล้วแน่ๆ
และมันก็เป็นอย่างที่เธอคาดการณ์เอาไว้ เพราะมันมีสายที่ไม่ ได้รับ เก้าสิบเก้าสาย
มทิตาจึงพูดออกไปว่า “ลุงคะ ฉันอยากจะกลับไปที่บ้าน เพื่อ ไปอธิบายเรื่องของเราให้ครอบครัวของฉันฟังให้ชัดเจนค่ะ”
เธอรู้สึกอึดอัด หนักใจ อีกทั้งยังรู้สึกซับซ้อน
การที่จะพูดโน้มน้าวใจคนในครอบครัว มันยากกว่าการสอบ ให้ได้หนึ่งร้อยคะแนนเต็มเสียอีก
ทางด้านของ ณัฐเมื่อเขามองลงไปที่มือของตัวเอง อุณหภูมิ ของมันก็เย็นลงๆ ทีละน้อย
เขาก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่คำพูดและการกระทำของ มทิตามันสามารถส่งผลต่ออารมณ์และความรู้สึกของเขาได้มากขนาด
หลังจากที่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จู่ๆ น้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนไป เป็นเย็นชา “ฉันจะกลับไปกับเธอด้วย
เมื่อเขานึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เขาก็รู้สึกกลัวขึ้นมา
ถ้า เขาไปช้ากว่านี้…
เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึงมันอีก อีกทั้งความโกรธ ในใจของ เขาก็พุ่งสูงขึ้น
เมื่อมทิตาเห็นว่าเขาอารมณ์เสีย เธอก็เดินไปที่รถวีลแชร์ของ เขา จากนั้นก็นั่งยองๆ
เธอยื่นมือไปกุมมือของเขาเอาไว้ จากนั้นก็พูดออกไปเบาๆ ว่า “เชื่อฉันเถอะค่ะ คุณลุง ฉันสามารถพูดโน้มน้าวพวกเขาได้
ตั้งแต่เล็กจนโต มทิตาเคยชินกับการที่คนในครอบครัวไม่เห็น ด้วยอยู่แล้ว
เธอไม่อยากให้ณัฐ ไปกับเธอด้วย เพราะเธอไม่อยากให้เขา
เห็นด้านที่ไม่ดีของครอบครัวของเธอ
พวกเขามันน่ารังเกียจ
และด้วยเหตุนี้ พวกเขาคนทั้งสองจึงโต้เถียงกันอยู่พักหนึ่ง
สุดท้าย ก่อนที่มทิตาจะเปิดปากพูดยอมตกลงให้เขาไปกับเธอ ได้ เขาก็พูดออกมาเสียก่อนว่า “จำไว้ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็โทรหาฉัน”
เขาเปลี่ยนมาจับมือของเธอแทน เขาก้มตัวลงเล็กน้อย เพื่อให้
เข้าไปใกล้เธอมากขึ้น เมื่อดวงตาสองคู่สบตากัน มทิตาก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของ
ยาสูบลอยเข้ามาในจมูก
เมื่อแสงตกกระทบกับใบหน้าของเขา เธอก็รู้สึกว่าณัฐยิ่งดูดี
มากขึ้นไปอีก
พระเจ้าเป็นเหมือนช่างฝีมือที่สมบูรณ์แบบ และเขาก็เป็นผล งานชิ้นเอกที่ถูกรังสรรค์ขึ้นมาอย่างประณีต
ทั่วทั้งร่างกายของเขา มันให้ความรู้สึกที่มั่นคงและมีความ เป็นผู้ใหญ่ และมันก็ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก
เธอรู้สึกตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า ถึงกับสูญเสียสติ
ชั่วขณะหนึ่ง มทิตาถึงกับลืมตอบคำถามของเขา
เมื่อเห็นดวงตาตกตะลึงของเธอณัฐก็กัดริมฝีปากของตัวเอง อย่างพึงพอใจ อีกทั้งยังเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
เขายื่นมือออกไป จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์มือถือที่หน้าจอยังไม่ ดับมาถือไว้
เขาเข้าไปที่รายชื่อผู้ติดต่อในโทรศัพท์ จากนั้นก็ นั้นก็ค้นหา หมายเลขที่ระบุชื่อเอาไว้ว่า “สุดหล่อ”
เขาทําการแก้ไขชื่อที่บันทึกใหม่ว่า สามี
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะกดเสร็จสิ้น เขาก็ลบมันอีกครั้ง จากนั้นก็ เปลี่ยนใหม่เป็นคำว่า : คุณลุง
การที่ถูกเรียกว่า “คุณลุง” ตอนแรกเขาก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจ
เท่าไหร่นัก แต่เมื่อเวลาผ่านไป การที่ได้ยินมันก็ทำให้เขารู้สึกพอใจมาก
ขึ้น
และมันก็เป็นชื่อที่ไม่เหมือนใครอีกด้วย
มทิตารู้สึกสงสัย เพราะอย่างนั้นเธอจึงชะโงกหน้าเข้าไปมองที่ หน้าจอโทรศัพท์
คำว่า “คุณลุง” เพียงแค่สองคำนี้ มันทำให้เธอถึงกับหูแดง ด้วยความเขินอาย
เพื่อปกปิดความเขินอายของเธอ เธอจึงลุกขึ้นยืน จากนั้นก็พูด
ออกไปว่า “คุณลุง งั้นฉันกลับก่อนนะคะ
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ