บทที่ 12 นัดดวล
“พี่สะใภ้ พี่……” ผมตกใจจนพูดอะไรไม่ออก พี่สะใภ้กลับยิ้มเล็ก น้อย แล้วหยิบชุดชั้นในลายเสือดาวในมือของผม แล้วก็เริ่มสวม มันตรงหน้าผม
“ให้นายเห็นเป็นบุญตาสักหน่อย จะได้ไม่ต้องเก็บไปคิดทั้งคืน ยังไงเสียก่อนหน้านี้นายก็เคยเห็นแล้วนี่” พี่สะใภ้กล่าวด้วยรอย ยิ้ม พลางสวมชุดชั้นในไปด้วย
“ใช่ นายช่วยติดอันนี้ให้ฉันหน่อยสิ ฉันติดไม่ค่อยถนัดน่ะ” พี่
สะใภ้ให้ผมติดตะขอเสื้อชั้นในด้านหลังให้
ผมรับปาก และช่วยติด ให้เธอ ตอนที่ติดผมอดใจไม่ได้ จึง เอื้อมมือออกไปแตะองเธอเล็กน้อย พี่สะใภ้ยิ้มน่ารัก แต่ก็ไม่ได้ พูดห้ามผม
“เด็กลามก แต่ห้ามมีครั้งต่อไปนะ” พี่สะใภ้พูดโกรธอย่างน่า รัก
“ไม่มีปัญหาครับ ผมรับรองว่าจะไม่มีครั้งต่อไป” ผมรีบพูดขึ้น ในใจคิดว่าครั้งต่อไปเขาคงจะไม่พูดแบบนี้แล้ว
หลังจากใส่เสื้อผ้าเสร็จ ผมและพี่สะใภ้ก็นอนบนเตียงเดียวกัน แม้ว่าจะทำเรื่องน่าสนุกไม่ได้ แต่พี่สะใภ้ก็เล่าความในใจ มากมาย ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว
วันที่สอง มีคาบเรียนของพี่สะใภ้พอดี ตอนที่พี่สะใภ้เดินเข้ามาในห้องเรียน เธอสวมชุดแซ็กสีเนื้อ คอเสื้อเปิดจนต่ำมาก จน สามารถมองเห็นชุดชั้นในลายเสือดาวสีเหลือง น่าดึงดูดเป็น อย่างมาก
หลังจากพี่สะใภ้เข้ามาในห้องเรียน เธอก็เริ่มสอน แต่ว่าผม ไม่มีอารมณ์ฟังเลย เพราะผมยังจมอยู่ในฝันหวานเมื่อคืน นึกถึง เธอที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมเมื่อคืน มาเปรียบเทียบกับครูที่ท่าทาง เคร่งขรึมในวันนี้ มันยากที่จะเชื่อว่าเป็นคนเดียวกัน
ตอนที่ผมกำลังคิดเพ้อเจ้ออยู่นั้น ผมก็เห็นมือของหวังเหลยถือ โทรศัพท์อยู่ ไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร ตอนแรกผมขี้เกียจที่จะ สนใจเขา แต่ทันใดนั้นผมก็พบว่าพี่สะใภ้กำลังจะเดินมาทางเขา และเธอก็ไม่รู้ด้วยว่าเขาหยิบโทรศัพท์ออกมา
ผมเข้าใจในทันที ไอ้บ้าหวังเหลยต้องแอบเอาโทรศัพท์มา ถ่ายใต้กระโปรงของพี่สะใภ้แน่นอน ตอนที่หวังเหล่ยกำลังจะทำ สำเร็จ ผมก็โมโหขึ้นมาทันที ผมเดินไปคว่ำโต๊ะของหวังเหลี่ย เพื่อให้เห็นโทรศัพท์มือถือของเขา พี่สะใภ้ตกใจ แต่พอเห็น
โทรศัพท์ที่อยู่ในมือของหวังเหลย เธอก็เข้าใจในทันที เธอตกใจ จนหน้าซีด
“หวังเหล่ย เธอทำอะไร” พี่สะใภ้พูดอย่างโมโห
“ไม่มีอะไรครับ แค่โทรศัพท์ผมตก และจะเก็บขึ้นมา” หวังเหล่ ยกล่าวด้วยท่าทางไม่แยแส กวนบาทาเป็นอย่างมาก
“โรงเรียนไม่อนุญาตให้เอาโทรศัพท์มา เธอไม่รู้เลยหรือ” พี่ สะใภ้พูดตำหนิเขา
“ครู ผมไม่ได้ตั้งใจจะเอามา แค่เผลอเอาไปวางไว้ในกระเป๋า เองครับ” หวังเหล่ยพูดขึ้น ใครก็ดูออกว่าเขาพูดโกหก
พี่สะใภ้เองก็ดูออกเช่นกัน รู้ว่าเมื่อครู่เขาตั้งใจจะทำเรื่อง สกปรกกับเธอ แต่พี่สะไภ้กลับบอกให้เขานั่งลง และไม่ได้ลงโทษ เขา เพราะเขาเป็นญาติกับผู้อำนวยการโรงเรียน พี่สะใภ้จึงไม่ กล้าทำให้หวังเหลยไม่พอใจ
“ไอ้สวะที่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น เลิกเรียนเย็นนี้ เดี๋ยวนายได้ เห็นดีแน่” ตอนที่หวังเหล่ยนั่งลง ก็ยังไม่ลืมที่จะทิ้งไว้ให้ผม
“คอยดูละกัน ว่าตอนนั้นใครจะสั่งสอนใครกันแน่” ผมพูด อย่างไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย แล้วหมุนตัวกลับมานั่งที่ตัวเอง จ้าว ชิงชิงมองผมด้วยใบหน้าเป็นห่วง
“ไม่ต้องห่วงฉัน ฉันมีวิธีจัดการกับผู้ชายคนนั้น” ผมพูดพร้อม รอยยิ้ม ที่จริงแล้วในหัวผมไม่มีแผนอะไรเลย ผมคิดทั้งคืนก็คิด วิธีที่จะจัดการหวังเหล่ยไม่ออกเลย จ้าวชิงชิงพูดถูก หวังเหล่ยมี เรื่องต่อยตีตั้งแต่เด็กจนโต ร่างกายแข็งแรงกว่าผม ถ้าสู้กัน หนึ่งต่อหนึ่ง ผมแทบไม่มีโอกาสชนะเลย แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ ยอมรับความพ่ายแพ้ไม่ได้ บางครั้งลูกผู้ชายก็ไม่สามารถถอย กลับได้ ตอนอยู่บนเตียงเป็นแบบนี้ ตอนอยู่ที่สนามรบก็เป็นแบบ นี้เช่นเดียวกัน
“นายยังไม่ยอมเลิกคิดเรื่องสู้ตัวต่อตัวอีกหรือ นายจะแพ้จริงๆ นะ นายเอาชนะหวังเหล่ยไม่ได้หรอก” จ้าวชิงชิงยังคงพูดกล่อมผม
“เอาชนะไม่ได้ก็ต้องสู้ ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงจะหัวเราะเยาะ ฉันน่ะสิ ไม่ว่ายังไงฉันก็หนีไม่ได้แล้ว” ผมพูดกับจ้าวชิงชิง
จ้าวชิงชิงถอนหายใจ รู้ว่าพูดกล่อมต่อไปก็คงไม่มีประโยชน์ จึงหันกลับมาตั้งใจฟังวิชาเรียนของพี่สะใภ้ต่อ
หลังเลิกเรียกพี่สะใภ้เรียกให้ผมไปหา และถามผมบนทาง เดิน: “หวังเหล่ยสร้างเรื่องเดือดร้อนให้นายใช่ไหม เมื่อครู่เขา
พูดอะไรในชั้นเรียน เขาคงไม่ได้สร้างปัญหาให้นายใช่ไหม”
“ไม่มีครับ พี่คิดมากไปแล้ว เขาก็ขู่ผมแบบนี้ทุกครั้งแหละ แต่ ไม่เคยกล้าลงมือกับผมจริงๆ แม้แต่ครั้งเดียว พี่วางใจเถอะ” ผม ไม่ได้บอกความจริงกับพี่สะใภ้ เพราะพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ แค่ ทำให้มีคนเป็นห่วงเพิ่มก็เท่านั้น เรื่องแบบนี้ผมเผชิญหน้าคนเดีย วน่ะดีแล้ว มีคนเพิ่มมาแล้วจะทำอะไรได้ล่ะ”
“จริงหรือ ถ้ามีเรื่องอะไรนายต้องมาบอกพี่นะ ไม่ว่ายังไงพี่จะ ช่วยหาทางแก้ปัญหาเอง” พี่สะใภ้พูดกับผมอย่างอ่อนโยน
“ครับ ผมรู้แล้ว” ผมพยักหน้ารับปาก
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เวลาหนึ่งวันผ่านไป การเรียนใน ตอนเย็นของผมก็จบลงแล้ว แต่ผมก็ยังคิดวิธีจัดการกับหวังเหล่ย ไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้น เวลาการดวลก็มาถึงแล้ว ไม่มีเวลาพอให้ ผมได้คิดอะไรมากแล้ว ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ผมก็ต้องไปเผชิญ หน้ากับมัน”
ตอนเลิกเรียนหวังเหล่ยส่งยิ้มเหยียดหยามให้ผม แล้วพูดขึ้น “ฉันไปรอนายที่สนามกีฬาแล้วกัน ถ้าไม่มานายมันก็ไอ้ขี้ขลาด
“ใครกลัวใครกันแน่ ฉันกลัวว่าไปถึงแล้วจะไม่เจอใคร มากกว่า” ผมตอกกลับเขาด้วยประโยคคุเดือดตามเดิม
หวังเหลยไม่กวนใจต่อ เขาพาพรรคพวกตรงไปที่สนามกีฬา ผมเก็บของบนโต๊ะนิดหน่อย และจะตรงไปที่สนามกีฬาเช่น เดียวกัน ตอนที่ลงไปข้างล่างผมก็เจอคนที่คาดไม่ถึงเข้า นั่นก็คือ เฉินห้าว
“นายรอฉันอยู่หรือ” ผมพูดอย่างตกใจ
“แน่นอน แม้ว่าฉันไม่สามารถเข้าไปยุ่งกับการดวลครั้งนี้ได้ แต่ฉันก็ต้องทำเรื่องที่ พี่เจียวมอบหมายมา ฉันต้องดูแลนาย อย่างน้อยๆฉันก็ต้องดูแลนายใช่ไหมล่ะ” เฉินห้าวพูดพร้อมรอย
“ได้ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว พอสำหรับความเป็นพี่น้องแล้ว มิน่า ล่ะเจียวเจียวให้ฉันไปหานาย เธอไม่ได้มองคนผิดจริงๆ” ผมพูด อย่างตรงไปตรงมา และไปที่สนามกีฬากับเฉินห้าว
พอมาถึงสนามกีฬา ก็มีฝูงคนจำนวนมากล้อมรอบสนามกีฬา ไว้แล้ว มีคนของหวังเหล่ยจำนวนไม่น้อย และบางส่วนที่ถูกเฉิน ห้าวเรียกมา ผมคิดว่าหลังจากจบการดวลเขาคงกังวลว่าหวังเหล่ ยจะเล่นสกปรกกับผม เลยเรียกคนกลุ่มนี้มาคอยช่วยเหลือผม
“ขอบใจนะ เฉินห้าว แบบนี้ฉันก็จัดการหวังเหลยได้อย่างเต็ม
ที่แล้ว” ผมพูดกับเฉินห้าว
“ไม่เท่าไหร่น่า ในฐานะพี่น้องแค่เรื่องเล็กๆแบบนี้ทำไมฉันจะ จัดการไม่ได้ นายว่าไหมล่ะ นายสู้อย่างหมดห่วงได้เลย ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะหวังเหล่ยก็ไม่กล้าทำอะไรนายแน่นอน” เฉินห้าวพูด ด้วยรอยยิ้มที่แข็งกร้าวมาก
“ได้เลย งั้นเดี๋ยวฉันมา ฉันจะจัดการหวังเหลียจนแม้แต่แม่เขา ก็จำไม่ได้เลย” ผมพูดแบบนี้เพื่อเสริมความกล้าให้ตัวเอง จาก นั้นก็เดินไปหาหวังเหล่ย
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ