ห้วงรักไฟเสน่หา

๑.๒ ผู้ร้ายปากแข็ง



๑.๒ ผู้ร้ายปากแข็ง

แม่เลี้ยงวลีพรรณยืนรอยศสิตาและอริสาอยู่ในบ้าน เมื่อสอง สาวตามเข้ามาสมทบแล้ว หญิงวัยกลางคนที่ยังดูสวยสง่างาม เยื้องย่างก้าวนำขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง มาหยุดอยู่หน้าห้องหนึ่ง ซึ่งอยู่ถัดจากบันไดไปทางปีกซ้ายของตัวบ้าน

“พักห้องเดิมนะจ๊ะหลานๆ

นางส่งกุญแจห้องให้กับยศสิตา หญิงสาวรับมาก่อนจะไขออก แล้วเปิดประตูเข้าไปพลางกวาดสายตาส่องสำรวจคร่าวๆ

“ห้องสวยเหมือนเดิมเลยค่ะคุณป้า” ยศสิตาหันมายกมือไหว้ ขอบคุณ

“ป้าจัดไว้ให้หลานสาวคนสวยของป้าทั้งสองคน” แม่เลี้ยงวลี

พรรณเอ่ยยิ้มแย้ม

ยศสิตาอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปกอดแม่เลี้ยงวลีพรรณผู้ใจดี และเอ็นดูหล่อนกับน้องอย่างจริงใจตลอดมา อ้อมกอดอันแสน อบอุ่นทำให้สีหน้าที่กำลังสดใสหมั่นลงยามประหวัดคิดไปถึงผู้ เป็นมารดาซึ่งเสียชีวิตไปเมื่อปีที่แล้ว

“ตามสบายนะจ๊ะ ป้าขอลงไปดูความเรียบร้อยข้างล่างก่อน” แม่เลี้ยงวลีพรรณเอ่ยขอตัวและปล่อยให้สองสาวอยู่เป็นส่วนตัว

ยศสิตากับอริสราลงมือจัดเสื้อผ้าใส่ตู้จนเสร็จ หลังจากนั้นยศ สิตาจึงเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ กลับออกมาอีกทีก็พบว่าน้องน้อยของหล่อนหลับปุ๋ยอยู่บนเตียงเสียแล้ว ร่างอรชรยืนมอง ภาพนั้นพลางระบายยิ้มอย่างเอ็นดู ก็ไม่แปลกนักที่อริสราจะ หลับในตอนนี้เพราะเมื่อเช้าครอบครัวของหล่อนออกเดินทาง จากบ้านมาตั้งแต่ตีห้าเพื่อมารอขึ้นเครื่องบินเที่ยวบินแรกจาก กรุงเทพมาเชียงใหม่

“สงสัยจะเพลีย” เสียงหวานพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะก้าวเท้า ออกจากห้องและปิดประตูอย่างเบามือ พยายามไม่ให้เสียง รบกวนการนอนของน้อง

ร่างอรชรลงมาถึงชั้นล่างและเดินเลยออกนอกตัวบ้าน ขณะนั้น สายมากแล้ว ผืนนภาสว่างสดใสเป็นสีฟ้าไปตลอดทั้งแนว มีปุย เมฆสีขาวลอยละล่องเป็นก้อนอยู่ประปราย

ยศสิตาทอดน่องสำรวจทั่วบริเวณบ้านทรงไทยอย่างคุ้นเคย ทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมานัก สิ่งที่หล่อนชอบ มากที่สุดก็คือแปลงกุหลาบซึ่งปลูกแซมกันหลายสีแข่งกันผลิ ดอกอวดความงามและส่งกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณ ขณะนั้นเองรถ ปคันใหญ่ก็โฉบเข้ามาจอดเทียบใกล้ๆ กับที่หล่อนยืนอยู่ คนขับ ลดกระจกลง

“คนบ้าอีกแล้ว!” ยศสิตาบ่นขมุบขมิบเพียงเบาๆ เมื่อเห็น ใบหน้าคมคร้ามนั้นชัดเจน

หญิงสาวหมุนตัวเตรียมเดินหนีแต่ก็ช้าไปเมื่อเสียงห้าวทุ่มเอ่ย ขึ้นขัดจังหวะเท้าที่กำลังจะก้าว

“เห็นหน้าผมก็เตรียมตัวหนีเลยเหรอ?”
“ใครหนี?” แขนเรียวยกขึ้นกอดอก ใบหน้าแสนหวานบึงตึง วางท่าเฉยเมยราวกับนางพญาบนเสลี่ยงทอง

“ก็ใครบางคนแถวๆ นี้สงสัยจะกลัว” เขาพูดหมิ่นๆ ขยิบตา อย่างยียวน

“ไม่เคยกลัว ทำไมเอยต้องกลัวคุณด้วย

“ไม่รู้สิ” ภูริภัชร์ยักไหล่ “คุณต้องถามตัวเองดูว่าทำไมต้อง กลัวผม” สายตาคมจ้องมองใบหน้าเรียวสวยอย่างจับพิรุธ

“ก็บอกแล้วเอยไม่ได้กลัว” ยศสิตายังทำเสียงแข็งกลบเกลื่อน

“เห็นๆ กันอยู่ว่ากำลังจะหนี” เสียงทุ้มยั่ว “ถ้าไม่กลัวจริงๆ ก็ ขึ้นรถ จะพาไปเที่ยวรอบๆ ไร่

ใบหน้าแสนพยศเชิดขึ้นเมื่อถูกท้าทาย นึกอยากปฏิเสธนักแต่ น้ำเสียงและแววตาหยามหยันเหมือนหล่อนเป็นพวกขี้กลัวทำให้ ยศสิตาต้องขยับไปใกล้กับประตูอีกฝั่งของรถจี๊ปคั้นนั้นเพื่อขึ้นรถ ตามคำเชิญของเขา แต่รถดันสูงเกินไปทำให้หญิงสาวไม่ สามารถก้าวขึ้นไปได้ง่ายๆ

ภูริภัชร์กลั้นยิ้มบนใบหน้า พอยต์เท้าลงจากรถอย่างรวดเร็ว เดินอ้อมมาหา และโดยที่ยศสิตาไม่ทันได้ตั้งตัว มืออุ่นๆ ของเขา ก็กระชับเข้าที่เอวอ้อนแอ้น แล้วส่งหล่อนขึ้นไปนั่งบนรถโดยใช้ เวลาแค่เสี้ยวนาที

ฝ่ายนั้นตวัดตามองขุ่น ใบหน้าแสนหวานงอแดงระเรื่อด้วย อารมณ์เกรี้ยวกราด รอยสัมผัสอุ่นๆ จากมือแกร่งเมื่อสักครู่ยังอบอวลอยู่ที่เอวหล่อน

ชายหนุ่มหัวเราะร่วน รู้สึกสนุกกับท่าที่พยศผยองของหล่อนยิ่ง นัก ใบหน้าหล่อคมจึงจงใจโน้มลงมาใกล้ๆ อย่างอยากแกล้ง ก่อนจะกระซิบเสียงแหบพร่ารวยระรินลงบนใบหูขาวสะอาด

“..หน้างอจังเลย…

“ใครหน้างอ!” เสียงหวานตวาดแวัด มองเขาตาขวาง “พูดจา ให้ดีๆ นะ”

“จะมีใครเสียอีกล่ะ” เขากระดกคิ้วขึ้น ยิ้มร่าราวกับอ่านใจ

หล่อนได้

“เอยคงเสียสติเป็นแน่ ถ้ายิ้มแย้มให้คนที่ฉวยโอกาสอย่าง คุณ”

ภูริภัชรหัวเราะเบาๆ อย่างถูกใจ “ไม่ได้ฉวยโอกาสครับยาหยี

เพียงแต่…

“เพียงแต่อะไร?” คิ้วเรียวผูกกันเป็นปม

“เพียงแต่” เขาหยุดพูดแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนจะเอ่ยต่อ “ตั้งใจจะช่วย”

ค่นั้นยิ่งทําเอายศสิตาหน้าคว่ำหนักยิ่งกว่าเดิม

“คราวหลังไม่ต้อง เอยช่วยตัวเองได้”

“อืม…” เขาบุ้ยปาก พยักหน้าล้อเลียน แล้วแกล้งยั่วกลับไป

“จะจำใส่ใจไว้ก็แล้วกัน”
ภูริภัชร์ฮัมเพลงเดินอ้อมไปขึ้นฝั่งคนขับอย่างอารมณ์ดี หลัง จากนั้นจึงบังคับให้รถแล่นอย่างช้าๆ ไปตามถนนซึ่งเป็นทางเข้า ไร่ ยศสิตาอดไม่ได้ที่จะแอบปรายหางตาชำเลืองมองเสี้ยวหน้า ของคู่อริ ใบหน้าสวยสะบัดพรืดออกไปมองข้างทางอย่าง หงุดหงิดเมื่อคิดถึงคำพูดอันยียวนกวนประสาทของอีกฝ่าย ทําไมเขาชอบกวนตะกอนอารมณ์ของหล่อนให้วุ่นนัก หรือเป็น เพราะ…

ความคิดนั้นสะดุดลงเมื่อเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นขัดจังหวะ

“คุณหนูเอยคนสวยครับ” ใบหน้าคมเหล่มองและยิ้มมุมปาก “หน้าผมมันน่าเกลียดขนาดไม่อยากจะหันมาแลเลยเหรอ?”

ยศสิตาหันมาตวัดก้อนใส่แล้วเบือนหน้าไปนอกหน้าต่างอีก ครั้ง

“เอยเหรอจะสวยสู้สาวๆ ของคุณ!” ไม่รู้อะไรทำให้หล่อนแขวะ

เขากลับไปเช่นนั้น

“พูดเหมือนดึงผม”

“บ้า!” ปากรูปกระจับเม้มลงเพียงนิด “เราไม่ได้เป็นอะไรกัน ทำไมเอยต้องดึงคุณด้วย

ท่าทางกระฟัดกระเฟียดแสนรั้นนั้นทำเอาปากหยักกระดูกยิ้ม อย่างนึกขัน

“งอนซะขนาดนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าแอบหึงผม” เขาพูดราวกับมา นั่งอยู่ในใจของหล่อน หญิงสาวก็ไม่เข้าใจตัวเองนักหรอกว่าทำไมต้องตั้งแง่ใส่คนบ้านนักหนา

“อย่ามาโมเมนะ คนอะไรหลงตัวเองสิ้นดี” ยศสิตาปฏิเสธ

เสียงแข็งแต่ใบหน้ากลับร้อนผะผ่าวขึ้น “ไม่ได้โมเม” เขาทำหน้าทะเล้น ยักคิ้วให้หนึ่งข้าง “คนปาก

แข็ง กลบเกลื่อนไม่มิดชิดเอาซะเลย” ก่อนจะสำทับไปอีก

หญิงสาวที่หน้ามุ่ยทันทีแล้วเอ่ยประโยคที่ใช้เป็นเกราะกำบัง ตัวเอง “เอยไม่ได้ชอบคุณ และไม่มีวันจะชอบ จำไว้ด้วย”

“หนักแน่นจังเลยนะ หึๆ” ชายหนุ่มหัวเราะร่วนเมื่อได้ยินคำ พูดแข็งขันของหล่อน เขาเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าหล่อนจะ ปากแข็งไปถึงไหน


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ