ห้วงรักไฟเสน่หา

๒.๑ ฝันอันแสนหวาน



๒.๑ ฝันอันแสนหวาน

ฝันอันแสนหวาน

ตอนค่ำ

หลังอาทิตย์อัสดงลาลับขอบฟ้า บ้านไม้ทรงไทยหลังใหญ่ กลางไร่วลีพรรณเปิดไฟสว่างไสว โต๊ะอาหารถูกจัดอย่าง สวยงามและพิถีพิถันเป็นพิเศษราวกับปาร์ตี้เล็กๆ กำลังจะเกิดขึ้น เพื่อเลี้ยงต้อนรับครอบครัวของเพื่อนสนิท

สมาชิกทั้งสองครอบครัวนั่งรายล้อมรวมกันยังโต๊ะอาหารตัว นั้น โดยมีพ่อเลี้ยงใหญ่ของไร่วลีพรรณนั่งที่หัวโต๊ะ

“คราวนี้จะมาอยู่สักกี่วันละดนัย” พ่อเลี้ยงภูชิตเอ่ยถามเพื่อน

รักหลังจากทุกคนเริ่มลงมือรับประทานอาหาร

“กะว่าจะมาเที่ยวสักอาทิตย์หนึ่ง แต่ฉันอยากพาลูกๆ ไปเที่ยว ดอยตุงกับยอดภูสูงๆ ที่เชียงราย” ดนัยบอกถึงแผนการคร่าวๆ ให้กับพ่อเลี้ยงภูชิตฟัง

“อืม…น่าสนใจนะ”

“ไปด้วยกันมั้ยล่ะ” ดนัยเอ่ยชวน “ฉันจะได้โทรบอกเลขาให้ จองที่พักเผื่อด้วยเลย”

“ไปกันมั้ยคุณ?” พ่อเลี้ยงภูชิตหันมาถามภรรยาที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ก็ดีเหมือนกันนะคะ” แม่เลี้ยงวลีพรรณเห็นด้วย “เราไม่ได้ไป เที่ยวเชียงรายตั้งนานแล้ว”

“งั้นเอาเป็นว่าฉันกับไหมขอไปด้วยนะดนัย…

“ดีเลย…ไปด้วยกันมั้ยพี่?” ดนัยหันมาชวนภูริภัชน์บ้าง

ในสายตาของดนัยนั้นภูริภัชร์คือคนหนุ่มเลือดใหม่ไฟแรง อย่างแท้จริง ชายหนุ่มเชี่ยวชาญทั้งบริหารจัดการและมีวิสัยทัศน์ ที่กว้างไกลซึ่งถ้าเปรียบเป็นนักรบก็จัดได้ว่าเก่งกาจทั้งเชิงและ เชิงบุ๋น

“ผมขอตัวนะครับคุณอา พรุ่งนี้ต้องไปตรวจโรงงานผลไม้ กระป๋อง ในตัวเมือง คงจะค้างที่โน่นเลย” ภูริภัชร์ชี้แจงเหตุผลที่ ทำให้เขาไม่สามารถร่วมเดินทางไปเที่ยวในครั้งนี้

ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะปรายตามองไปทางยศสิตา เห็นหล่อน

ทำท่าเหมือนกำลังกลั้นหายใจรอฟังคําตอบของเขาอยู่

รอยยิ้มทรงเสน่ห์ผุดพรายขึ้นที่มุมปากของใบหน้าหล่อคม

เมื่อเห็นหญิงสาวแอบถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ฟังว่าเขาไป

ด้วยไม่ได้ ตาสองคู่สบประสานกันชั่วขณะ แล้วใบหน้าสวยหวาน

ก็ต้องแดงระเรื่อเมื่อชายหนุ่มหลบสายตาลงต่ำจ้องมองที่เรียว

ปากอิ่มสวยของหล่อนราวกับจะตอกย้ำให้นึกถึงเรื่องเมื่อช่วง

กลางวันที่ผ่านมา ยศสิตาจำต้องกลบเกลื่อนความเขินอายด้วย

การทำสีหน้าบึ้งตึงและถลึงตาใส่ ซึ่งภูริภัชร์เห็นว่าหล่อนเป็นผู้

หญิงที่ทำหน้าทิ้งได้น่ารักที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา

อากาศ ในยามค่ำคืนหนาวเย็นจนใครหลายคนต้องซุกตัวหาความอบอุ่นอยู่ใต้ผ้าห่มหนา หากแต่พระจันทร์ดวงโตสี เหลืองนวลผาดรัศมีส่องแสงสว่างกระจ่างทั่วท้องฟ้าดูสวยงาม จนน่าหลงใหลทำให้ร่างเพรียวบางต้องสาวเท้าจากห้องชั้นบน ลงมายืนแหงนเงยดูความงดงามที่บริเวณสวนหย่อมหน้าบ้าน ราวกับกระต่ายหลงจันทร์

“กำลังขอพรจากพระจันทร์อยู่เหรอ” เสียงใครบางคนดังแว่ว มาจากด้านหลัง

ยศสิตาสะดุ้งตัวรีบหันขวับไปทางต้นเสียง “คุณ!”

“ขออะไรจากพระจันทร์ล่ะ หรือขอว่าให้ผมเปลี่ยนใจไปเที่ยว ด้วยในวันพรุ่งนี้” ใบหน้าหล่อคมอมยิ้มเล็กน้อย

“ใครบอก! เอยโล่งใจมากที่สุดต่างหากล่ะที่คุณไม่ไปด้วย

“ใช่เร้อ… หางเสียงนั้นตวัดสูงราวกับกำลังจับพิรุธ

“ให้เอยตายดีกว่าที่จะคิดอะไรบ้าๆ แบบนั้น” ยศสิตาเหยียด ปากใส่ ใบหน้ากระเป๋ากระงอด

“สวยๆ แบบนี้ ผมไม่ปล่อยให้เป็นไรไปก่อนหรอก ถ้าจะตาย จริงๆ มาตายคาอกผมดีกว่า” เสียงทุ้มจงใจวางระเบิดซีโฟร์ลูก เบ้อเริ่มเพื่อกวนอารมณ์หล่อนเล่นๆ

“พูดบ้าๆ อย่าหวังเลยว่าเอยจะยอมเข้าใกล้คุณ”

“แล้วเมื่อตอนกลางวัน ใครกันล่ะที่กอดผมซะแน่น” ประกาย ตานั้นวาววับบ่งบอกการกระเช้าทำเอายศสิตาทั้งอายทั้งเจ็บใจ
“ถ้าคุณพูดเรื่องบ้าๆ นี้อีกเอยจะหักคอคุณ

คนมาดขรึมห่อปากแกล้งยวน “เรื่องที่เราทั้งกอดและจูบกันที่ กระท่อมท้ายไร่น่ะเหรอ?”

ยศสิตาฉุนกึก! อารมณ์เดือดจัด หน้าอันหล่อเหลา นึกอยาก จะหาคำพูดที่เจ็บแสบมาตอบโต้แต่ก็นึกไม่ออกจึงสะบัดหน้า พริดและหมุนตัวกลับเข้าไปในบ้าน

เท้าเล็กๆ ซอยถี่ๆ ขึ้นบันไดไปโดยมีภูริภัชร์เดินตามหลังมา ติดๆ เมื่อมาถึงชั้นสองยศสิตาหยุดที่หน้าห้องนอนของตัวเอง ส่วนภูริภัชร์กำลังจะเดินกลับไปทางห้องนอนใหญ่ซึ่งอยู่ถัดไป ละโดยที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว ร่างเล็กๆ พลันพุ่งเข้าไปหาร่าง และ ก่ายพลางใช้กำปั้นเล็กๆ ทุบลงบนแผ่นหลังแกร่งอย่างไม่ยั้งมือ ชายหนุ่มอาศัยความว่องไวเบี่ยงตัวหลบมายืนซ้อนหลังของหญิง สาว ก่อนจะใช้มือแกร่งโอบมารวบแขนกลมกลึงเอาไว้ แล้ว ใบหน้าหล่อคมก็ก้มลงคลอเคลียอยู่แถวๆ แก้มนวลใส

“ปล่อยเอยนะ!” เสียงหวานแหวใส่ไม่ดังมากนักเพราะเกรงว่า อาจจะทำให้คนทั้งบ้านแตกตื่น

“ลอบกัดแบบนี้ เห็นทีต้องสั่งสอนจนอ่อนระทวยซะให้เข็ด” ไม่ พูดเปล่าแต่ปลายจมูกโด่งเริ่มซุกไซ้และกดเบาๆ ไปตามลำคอ ขาวระหงจนหญิงสาวเริ่มขนลุกเกรียวด้วยความกระสันซ่าน วูบวาบอันชวนเตลิดเพริด

“คนบ้า! ชอบยั่วให้เอยโกรธสนุกมากใช่ไหม”

ร่างบางออกแรงดิ้นฟีดฟัด แต่ยิ่งดิ้นอ้อมแขนแรงแรงก็ยิ่งเลื้อยรัดกระชับแน่นราวกับงูเหลือมตัวใหญ่กำลังรัดเหยื่อ ความ นุ่มหยุ่นของบั้นท้ายกลมกลึงเสียดสีไปมากับมังกรหนุ่มที่เริ่มตื่น ตัวเหยียดขยายขึ้นเต็มเป็นลำยาวและดุนดันกวัดแกว่งอย่าง อยากจะโอ้อวดความใหญ่โต

“ก็เหมือนเอยที่ชอบยั่วผมนั่นแหละ”

” วอะไร?”

“ยั่วอะไรเอยก็รู้ดี” เสียงนั้นกระเป๋าแหบพร่า

“เอยเปล่า…” เสียงหวานปฏิเสธหากแต่ใบหน้าเริ่มแดงเมื่อ อะไรบางอย่างกำลังดิ้นขลุกขลักประชิดอยู่กับบั้นท้ายของหล่อน

“ทำไมกับคนอื่นทำดีพูดดีด้วย ที่กับผมกวนมาก”

“ก็เพราะเอยเกลียดคุณ และก็เกลียดมากขึ้นทุกวัน!” ปากนั้น ช่างไม่ตรงกับใจ

“ผมชอบคำว่า ‘เกลียด’ ของคุณ พูดอีกสิ ผมชอบฟัง”

“บ้าที่สุด!”

“กู๊ดไนท์ครับยาหยี”

จมูกโด่งกดลงที่ซอกคอขาวอีกครั้งแล้วสูดเอาความหอมเข้า เต็มปอดก่อนจะยอมปล่อยเมื่อรู้ตัวเองว่าหากยังขึ้นยืนกอด หล่อนไว้แบบนี้อีกแค่หนึ่งนาที เขาคงทำอะไรๆ ตามใจตัวเอง มากกว่านี้เป็นแน่ซึ่งนั่นอาจจะทำให้คนที่กำลังอยู่ในอ้อมแขน โวยวายและเกลียดชังขี้หน้าเขายิ่งกว่าเดิม
เมื่อได้อิสระ… ร่างบางก็รีบลนลานก้าวเข้าไปในห้องนอนของ ตัวเองอย่างรวดเร็ว ภูริภัชร์มองตามอย่างอารมณ์ดีก่อนจะเดิน กลับไปทางห้องนอนห้องใหญ่ของตัวเองบ้าง

ประตูห้องนั้นถูกปิดลงด้วยมือหนา เท้าพาร่างใหญ่เดินไปทรุด กายนั่งลงบนเตียงกว้างแล้วก้มมองที่กลางลำตัวของตน น้อง ชายของเขายังคงดุ๊กดิ๊กตื่นเตลิด ผงกหัวหมึกๆ อย่างเครียดข็ง และปวดหนีบราวกับว่าเด็กน้อยกำลังเรียกร้องหาของเล่นที่ ถูกใจ

“บ้าซิบ!” ภูริภัชร์สบถตัวเองเมื่อกลิ่นหอมอ่อนๆ ดุจดังมะลิ แรกแย้มซึ่งติดปลายจมูกอยู่ยิ่งทำให้อารมณ์พิศวาสครอบงำ รุนแรงขึ้นจนเกือบจะควบคุมไม่อยู่ทั้งๆ ที่ปกติเขาสามารถ ควบคุมมันได้เป็นอย่างดี

ร่างกายสะบัดศีรษะอย่างแรงเพื่อสลัดเอาความคิดที่อยากจะ ครอบครองร่างบางเดี๋ยวนั้นออกจากสมอง ก่อนจะเอนร่างลง นอนและเอื้อมเอาหมอนข้างมากอดไว้แน่น


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ