ข้าขอโทษ
นั่งอดทน ทนไม่ไหวจึงเดินเข้าไปหาเหมยอิงแล้วลากนาง ออกไปทางฝั่งที่ไม่ค่อยมีคน แล้วเอ่ยว่า “มาคุยกับข้า” แล้วเดิน เข้าไปในศาลานั่งลงมองมาทางนาง
เหม่ยอิงเดินเข้าไป ไม่พูดไม่จา หันหน้าไปอีกทาง
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่พอใจเรื่องในวันนั้น เจ้าไม่รู้คือไม่ผิด เอ่อ…..ข้า ขอโทษ คําว่า “ข้าขอโทษ”เบาราวขนนก ในความคิดเหมยอิง จึงเอ่ยว่า “ท่านกล่าวอะไร ข้าได้ยินเหมือนนกร้องแว่วๆ มันช่าง บางเบาเหลือเกินนะเพคะ” พร้อมทั้งซ้ายทีขวาที หลินหลงเห็นดัง นั้นจึงยิ้มแบบมีแผนการณ์ จึงเดินมาใกล้แล้วกระซิบที่ข้างหู “ข้า ขอโทษ” เหม่ยอิงหน้าแดงก่ำ “ท่าน…….!” จากตอนแรกว่าจะ โวยวายแต่เมื่อมองเห็นสาวงามกลุ่มหนึ่งเดินมาทางนี้นางจึงไม่ ได้เอ่ยอะไร
“ท่านพี่สามมีอะไรสนุกนั้นเพคะ เอะ! ข้าไม่คุ้นหน้าเจ้าเลย มา จากตระกูลใดกัน” ตอนพูดก็มองเหมยอิงด้วยสายตาเหยียด หยาม
เหม่ยถอนหายใจ เฮ้อ! ว่าแล้วเชียวตัวปัญหา “หม่อนฉัน…” ยังพูดไม่ทันจบ หลินหลงก็ชัดขึ้นมาว่า “ไม่ใช่เรื่องของเจ้า ออก
“แหม ท่านพี่…” “อย่าให้พูดซ้ำ หลีจิ้ง” ยังไม่ทันทีจะเอ่ยต่อ
“น้อมส่งองค์หญิงเจ็ดพะยะค่ะ ” หลีจึงรู้ว่านายตนเองกำลัง ปรับความเข้าใจกับคุณหนูหวัง จะให้มีปัญหาไม่ได้
ทั้งที่รู้ว่าหลินหลงนิสัยแบบนี้อยู่แล้วแต่ก็ยังโทษเหมยอิงไม่ได้ “ท่านพี่สามทำกับข้าแบบนี้ได้เยี่ยงไร อย่างไรข้าก็เป็นน้อง สาวนะ” ความคิดนี้พูดขึ้นมาในใจ
“เจ้าจะยกโทษให้ข้าใช่หรือไม่”
เฮ้อ! “ข้าน่ะไม่ได้โกรธท่านมากมายอะไร เพียงแค่เรื่องบาง เรื่องมันไม่ได้เกี่ยวกับข้า ก็ไม่ควรมาลงที่ข้าเหมือนที่ข้าทำกับคน ของท่าน จนท่านหลีจึงต้องมาขอร้องข้า”
” อืม ” มองไปทางหลีจึงสายตาน้ำแข็ง แซ่หลีจิ้งได้เชียว แอบ ไปหานาง โดยไม่บอกเขา กลับไปต้องลงโทษ ที!
หล่จิ้งคิดว่า นายตนคงไม่พอใจที่ไปขอร้อง อิงอิง แน่
คุยได้สักครู่ ก็มีสาวใช้เดินมาแจ้งว่า ฮ่องเต้กำลังจะเสด็จมา พร้อมฮองเฮาและพระสนมทั้งหลาย
เมื่อเป็นเช่นนั้น ทุกคนจึงเดินกลับเข้าไปในงานเลี้ยง โดย แต่ละตระกูลนั่งด้วย โดยเหม่ยอิงนั่งข้างๆ หวังเหวินชวน เหมยอิง สะกิด ถาม “พี่เหวินชวน พอเปิดงานแล้ว หลังจากฮ่องเต้เสด็จ กลับ เราก็กลับเลยได้ไหม ข้าไม่ชอบคนพวกนี้เลย” ไม่ว่าเปล่า ทาปากยื่นนิดๆ เหวินชวนมองและสำลักหัวเราะ เราะจะเสียงดัง ก็ไม่ได้ ไม่หัวเราก็อดไม่ได้เช่นกัน
แต่อีกฝั่ง หลินหลงนั้น แทบอยากลุกขึ้นไปบีบคอเหวินชวนให้ตกตายเสียตรง ม มือถือจอกสุราแน่น มองตาแทบไม่กระพริบ
การกระทำของบุตรชายมีที่องค์ฮ่องเต้จะไม่เห็น จึงมองตาม สายตาไป ก็พบกับเด็กสาวอายุ 14-15 ปีได้ หน้าตางดงามยิ่งนัก ถ้าโตมาคงจะงดลมเมืองเลยก็ว่าได้ทีเดียว
ในช่วงที่ไม่มีคนสนใจการแสดงบนเวที องค์หญิงเหม่ยฮวา เอ่ยแนะนำให้ไปเสงี่ยหมิงไปแสดงบนเวที “ข้าว่าลูกสาวคนโต ของเสนาบดีไป มีความโดดเด่นเรื่องฉิน เล่ม ให้ข้าชมสักหน่อย ได้หรือไม่”
เหมยอิงคิดในใจ ตามที่อ่านนิยายมาเยอะ สุดท้ายต้องมาลง ที่นางแน่ๆ ต้องคิดหาหนทางไว้ก่อน ตอนที่ข้ามมิติมาก็ได้ ทำความรู้จักร่างนี้นางค่อนข้างมีความสามารถหลายอย่างไม่น่า จะใช่คนบ้านๆ ธรรมดา ออกไปทางคุณหนูด้วยซ้ำ แถมสามี ภรรยาฟาง ไม่น่าจะเป็นคนบ้านๆ เช่นกันเพียงแต่นางยังไม่ อยากสนใจมากจึงเก็บไว้ในใจก่อน รอเมื่อนางแข็งแกร่งพอ เมื่อ นั้นนางจะต้องสืบหาที่ไปที่มาของเจ้าของร่างนี้เพื่อเป็นการ ตอบแทนที่ให้ใช้ร่างให้ได้
เหมยอิงติดอยู่ในความคิดจึงไม่รู้ว่ามีสายตาใครส่งมาบ้างทั้ง อิจฉา ทั้งเย้ยหยัน ทั้งหวง ทั้งมีความคิดอกุศล แต่นางกลับนั่ง เหม่อลอย จนได้ยินใครบ้างคนเอ่ยถึงนาง
” ข้าได้ยินมาว่าตระกูลหวัง ของอดีตรองแม่ทัพก็มาร่วมงาน ด้วย มีคุณชายเหวินชวนและมีหลานสาวฝั่งฮูหยินตามมาด้วยจึง อยากได้คําติชมสักนิดได้หรือไม่” ไปเสงี่ยหมิงเอ่ยขึ้นพร้อมแอบสบตากับองค์หญิงเหม่ยฮวา
เหมยอิงได้ยินแบบนั้นก็คิดในใจ “ว่าแล้ววววว” ทุกคนจึงหัน ซ้ายแลขวาเพื่อหาคน
หวังเหวินชวนจึงลุกขึ้นคำนับฮ่องเต้แล้วกล่าวว่า “น้องสาว ของข้าคน มาจากต่างเมืองพะยะค่ะ ท่านแม่เสียใจอย่างหนัก ทำให้ป่วยมานานปี ตัวกระหม่อมก็อยู่ในค่ายทหารไม่ได้มีเวลา ให้ท่าน พอมีนางมาอยู่ด้วยท่านแม่ก็ดีขึ้นทั้งใจทั้งกาย พะยะค่ะ”
ฮ่องเต้ทรงตรัสว่า “นั้นสินะ ฮูหยินหวังเสียทั้งสามีและลูกนี่น่า ย่อมต้องเสียใจมากมายนัก หลังจากเลิกงานนี้ให้นำผ้าไหมชั้นดี 5 พับ ทองคํา 3 หีบ และเงินอีก 3 หีบส่งไปปลอบใจนาง
“ขอบพระทัยพะยะค่ะ”
“ส่วนน้องสาวเจ้าให้นางออกมาทําการแสดงสักอย่างเถิดเรา อยากเห็น รางวัลนั้นไม่ร่วมก่อนหน้านี้
เหวินชวนหันกลับไปมองเหมยอิง เหมยอิงพยักหน้าให้เหวิน
ชวนจึงนั่งลงประจำที่ตนเอง “หม่อมฉัน มีนามว่า ฟางเหมยอิง เพศ: หม่อมฉันมาจากนอก เมืองจึงไม่ได้ร่ำเรียนสิ่งใดมากมายที่พอจะได้ก็คงเป็นเสียงเพลง
เพคะ” จากนั้นนางก็เดินไปทางนักดนตรีกล่าวบางอย่างแล้วเดิน
ขึ้นไปบนเวทีเพื่อร้องเพลง
เพลง นางเลือกร้องนั้น คือ เพลงเมามายฝันหวานถึง จากปร ย์จีนเรื่องการมาจารย์ลัทธิมาร นั่นเอง ซึ่งที่นี่หามีคนรู้จักไม่ “เหวัน เชิง โจวซ่าง คนเซินเยว่ เวยยาง” เมื่อร้องจบทุกคน เงียบกริบแทบไม่มีแม้เสียงหายใจ นางหน้าหงอย ฉันร้องเพลง ไม่ได้เรื่อง เฮ้อ! จบกันๆ กะว่าจะตั้งกลับดับสะใต้ยัยแววดาวเอ้ ย
เมื่อนางเริ่มร้องเพลงทุกคนก็ตะลึงงัน เสียงที่เปล่งออกมาช่าง ไพเราะเหลือเกิน อีกทั้งเพลงที่ขับร้องนั้นไม่เคยมีใครเคยได้ยิน มาก่อน เป็นองค์ฮ่องเต้ที่ได้สติก่อน จึงทําการปรมมือเสียงดัง พลางกล่าวว่า “ดี ดี ดียิ่ง ไพเราะยิ่งนัก ใช่หรือไม่ฮองเฮา” “เพคะ ไม่เคยได้ยินเสียงใครที่ไพเราะเยี่ยงนี้มาก่อนเลย เพคะ”ฮองเฮาเอ่ยปากชมและแย้มพระสรวจอย่างเอ็นดูและ ชื่นชม
ทำให้ทุกคนได้สติและปรบมือตามจนเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไป ทั่วทั้งงาน
หลินหลงนั้นยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้พร้อมมองไปทางนาง
ช่างเป็นแมวน้อยแสนซน ในใจคิดเช่นนั้นก็ทําให้เขายิ้มออกมา อย่างมีความสุข ทุกการกระทำของหลินหลงนั้นอยู่ในสายตา ไม่ว่า ฮ่องเต้
องค์หญิงเจ็ด ไปเสงี่ยหมิง องค์ชายห้า องค์ชายแปดและหลีจิ้งที่ รู้นานแล้ว ส่วนคนอื่นๆเข้าใจตรงกันทันทีว่า หลินหลงฟังใจ แม่ นางฟางเหมยอิง เข้าแล้ว
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ