เทพสงครามนัมเบอร์วัน

บทที่ 1 เทพสงครามหลิงเทียน



บทที่ 1 เทพสงครามหลิงเทียน

สนามบินทรงเฉิงคึกคักเป็นพิเศษ

ผู้นำของแต่ละเครือข่ายธุรกิจของทุกเขตในเมืองทรงเฉิง ยืน เรียงรายกันเป็นแถวสองข้างอย่างเป็นระเบียบ ทุกคนยืนคอย อย่างใจจดใจจ่อด้วยท่าทางเคร่งขรึม

เจียเว่ยหมิน โผล่มาอยู่หัวแถว ตาทั้งคู่ของเขาจ้องมองไปที่ ประตูเครื่องบินอย่างจดจ่อรอคอย

สงครามใหญ่นี้ดึงดูดให้ผู้คนมากมายมาล้อมกันดู “เห้ย ทำไมที่นี่ถึงมีผู้นำมากมายขนาดนี้ล่ะ? เอาซะคึกคัก เลย”

“นี่แกไม่ได้ดูข่าวเหรอ? คุณหลิงเทียนจะกลับมาทรงเฉิงแล้ว! วันนี้ผู้นำทั้งหมดมารวมตัวกันครบ แน่นอนว่าต้องมาเพื่อต้อนรับ คุณหลิงเทียนสิ”

“จริงเหรอเนี่ย? คุณหลิงเทียนเป็นถึงจอมพลสี่ดาวที่อายุน้อย ที่สุดในสนามรบใหญ่ทั้งสี่เชียวนะ ได้ยินมาว่าอายุยังไม่ถึง สามสิบ! นึกไม่ถึงเลยว่าวันนี้จะได้เจอตัวจริง เป็นบุญตาจริง ๆ!”

ผู้โดยสารทยอยกันลงมาจากเครื่องบินทีละคน ๆ สุดท้าย แม้แต่พนักงานของสายการบินก็ลงกันมาแล้ว แต่กลับไม่เห็นเงา ของท่านจอมพลเลย ไม่มีแม้กระทั่งคนที่สวมชุดเครื่องแบบทหาร
บรรยากาศค่อย ๆ อึดอัดขัดเขินขึ้น

“คงไม่ใช่ว่าพลาดอะไรไปหรอกนะ? หรือว่าจะผิดเที่ยวบิน?”

ประโยคนี้ไม่รู้ว่าใครพูดขึ้นมา

คนในขบวนต้อนรับที่ยิ่งใหญ่อลังการมองสบตากันและกัน ต่างคนต่างมองเห็นสายตา ช่วยไม่ได้ จากในดวงตาของแต่ละ คน

แต่ถึงอย่างไรก็ไม่กล้าจากไป

ในที่ที่ไม่ไกลนัก ท่ามกลางกลุ่มคน ชายหนุ่มคนหนึ่งที่มี ใบหน้าหนักแน่นและสายตาล้ำลึกมองดูเหตุการณ์ทั้งหมดอย่าง เงียบ ๆ

ด้านหลังของเขามีผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งเพิ่งจะวางสาย

โทรศัพท์ไป

“ตรวจเจอแล้วเหรอ?”

เย่เทียนเอ่ยถาม

“ท่านครับ ตรวจเจอแล้วครับ! เป็น…. เป็นข่าวที่คุณปล่อย ออกมาครับ” ชายร่างสูงใหญ่ตอบผู้ชายอายุน้อยที่อยู่ตรงหน้า ด้วยความนอบน้อมอย่างยิ่ง

มุมปากของเย่เทียนกดลงน้อย ๆ เผยให้เห็นว่าจนปัญญาจะ หลีกเลี่ยง

“ต้องส่งคนไปทักทายสื่อพวกนี้หน่อยไหมครับ?” หลินขุยใต้ถาม

“ไม่จําเป็นแล้ว เธอจะทำอะไรก็ปล่อยเธอไป คนพวกนี้ยินดีจะ รอก็ปล่อยเขารอไปเถอะ “ครับท่าน” หลิน ยก้มหน้าซ่อนความขบขัน

บนโลกนี้คนที่ทําให้นายท่านยอมแพ้ได้ เกรงว่าจะมีแต่คุณ

แล้วล่ะ….

ทั้งสองคนเข้าไปไปในรถจี๊ปธรรมดา ๆ คันหนึ่ง

รถยนต์ขับห่างออกไปจากสนามบินอย่างรวดเร็ว หลังจาก ผ่านไปครึ่งชั่วโมงก็ขับเข้าไปในตัวเมืองแล้ว

ไม่ได้กลับมาสิบกว่าปี ทรงเฉิงเปลี่ยนแปลงไปเยอะเลย เศรษฐกิจของประเทศหลงเจริญรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว จากที่ เคยเป็นเมืองเล็ก ๆ ก็เปลี่ยนรูปแบบเป็นเมืองใหญ่ไปแล้ว กลาย เป็นมหานครที่ทันสมัยแห่งหนึ่ง ทิวทัศน์ของทุกที่ล้วนแต่เจริญ เติบโตเป็นอย่างดี

แต่พอเห็นความเป็นแปลงแบบนี้แล้ว เย่เทียนกลับดีใจไม่ออก

เมื่อหลายปีก่อนที่ชายแดนประเทศหลงมีข้าศึกบุกรุกเข้ามา เขาบัญชาเหล่านายทหารเข้ายืนหยัดต่อสู้ด้วยใจที่กล้าแกร่ง สุดท้ายก็ได้รับชัยชนะกลับมา

เดิมคิดว่าจะได้พักผ่อนสบาย ๆ สักหน่อย แต่ในตอนนี้กลับมี ໆ ข่าวว่าสวีเทียนเฉิงเสียชีวิตถูกปล่อยออกมา…
สวีเทียนเฉิง คุณชายรองตระกูลสวีเพื่อนตายของเยเทียน หนึ่งปีก่อน ในการรบที่สำคัญครั้งหนึ่ง สวีเทียนเฉิงได้รับ กระสุนปืนหลายนัดแทนเยเทียน

หลังจากจบศึกสงครามครั้งนี้ สวีเทียนเฉิงกลายเป็นคนพิการ ไปตลอดชีวิต จากนั้นไม่นานก็เปลี่ยนอาชีพกลับบ้านเกิดไป

หนึ่งคืนก่อนที่จะกลับไป พวกเขาสองคนดื่มเหล้า พูดคุยกัน สนุกสนาน สวีเทียนเฉิงเอารูปภาพใบหนึ่งให้กับเขาในรูปนั้นมีผู้ หญิงคนหนึ่งอิงแอบเขาเบา ๆ เธอมีรอยยิ้มสวยสดงดงามราวกับ ดอกไม้

สวีเทียนเฉิงยิ้มแล้วพูดว่าพอเขากลับไปแล้ว เขาก็จะแต่งงาน กับเธอ เขาว่าไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น เย่เทียนจะต้องกลับมาดื่มสุรา มงคลให้ได้

“พี่เย่ นี่คือผู้หญิงที่ผมรักที่สุดในชีวิตนี้ ผมยอมสละชีวิตเพื่อ

เธอได้…”

“พี่เย่ ผมไม่ขอปิดบังพี่! ที่จริงยังมีเหตุผลที่สำคัญที่สุดเหตุผล หนึ่ง ที่ทำให้ผมสมัครเข้ามาเป็นทหาร ก็คือผมอยากให้คุณย่า มองผมด้วยสายตาที่ดี…

“ตอนเด็ก ๆ คุณย่ารังเกียจที่ผมขี้ขลาด อ่อนแอ ไม่มีตรงไหน ที่สู้พี่ใหญ่ได้เลย เพื่อที่จะพิสูจน์ความกล้าหาญของตัวเอง ผมก็ เลยสมัครเข้ามาเป็นทหารโดยปิดบังกับที่บ้าน ในที่สุดผมก็มี ความดีความชอบแล้ว…
“ผมชอบเอาเหรียญทหารของตัวเองไปให้คุณย่า อยากให้ คุณย่ามีความสุข แต่คิดไม่ถึงเลยว่าคุณย่าจะตบหน้าผม แล้วก็ กําหนิผมด้วยความโกรธ ว่าทำเรื่องไม่มีประโยชน์พวกนี้จะไปมี ประโยชน์อะไร? ท่านบอกว่าต่อให้ผมเก่งกว่านี้ แต่ในสายตา คุณย่าแล้ว ผมไม่มีวันเทียบกับสวีเทียนหมิงได้!”

“สวีเทียนหมิงเป็นพี่ชายคนโตของผม พี่ชายคนละแม่…

“ตอนนั้นผมถึงได้รู้ว่า สิ่งที่คุณย่ารังเกียจ ไม่ใช่ความขี้ขลาด และความอ่อนแอของผม แต่เป็นชาติกำเนิดของผม…

“แม่ของผมมีฐานะต่ำต้อย ในสายตาของคุณย่า ฐานะแบบนี้ ไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณะในตระกูลสวีได้… พี่เย พี่ว่าคน พวกนี้ แค่เกิดมาก็มีความผิดแล้วใช่หรือเปล่า? อย่างเช่นผม…

“แต่ผมไม่โทษคุณย่าหรอกนะ และไม่โทษพี่ใหญ่ด้วย ถึง แม้ว่าคุณย่าจะไม่เคยชมผมเลยแม้แต่ประโยคเดียว และถึง แม้ว่าพี่ใหญ่จะไม่เคยมีท่าทีต่อผมเลยก็ตาม…

“ถึงจะพูดอย่างไร พวกเขาก็เป็นคนที่ผมใกล้ชิดด้วยมากที่สุด บนโลกใบนี้แล้ว…”

นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน

หลังจากที่สวีเทียนเฉิงจากไปได้ไม่กี่วัน เขาก็ส่งบัตรเชิญงาน แต่งงานมาให้เขา เขาแนบรูปถ่ายหนึ่งใบมาด้านใน เป็นรูปถ่าย ของเขากับผู้หญิงที่เขารักในชุดแต่งงาน

ด้านหลังของรูปภาพเขียนข้อความไว้หนึ่งบรรทัด บอกว่าไม่ว่าอย่างไรเย่เทียนก็จะต้องมาให้ได้

เย่เทียนเตรียมตัวไปตามนัดแล้ว

แต่ทว่า เวลาห่างกันเพียงแค่วันเดียว กลับมีข่าวการตายของ สวีเทียนเฉิงปล่อยออกมาอย่างกะทันหัน!

สวีเทียนเฉิงเสียชีวิตแล้ว!

เย่เทียนช็อก รีบส่งคนไปสืบข่าวทันที

จากข่าวที่ได้มา ดวงตาทั้งสองข้างของสวีเทียนเฉิงถูกควัก ออกมา เหตุผลในการเสียชีวิตไม่ชัดเจน

แถมผู้หญิงที่แต่เดิมจะแต่งงานกับสวีเทียนเฉิง ก็ทำราวกับว่า ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอกลับไปแต่งงานกับสวีเทียนหมิง พี่ชายต่าง มารดาของสวีเทียนเฉิง!

สำหรับเหตุผลของการตายของสวีเทียนเฉิงที่ทางตระกูลสวีให้ มาก็คือ เขาปรารถนาในตัวพี่สะใภ้ แต่เขาไม่สมปรารถนา หลัง จากนั้นเขาก็เลยเมาสุราขับรถจนประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทำให้ตาบอดทั้งสองข้าง ไม่มีหน้าจะไปพบคนอื่น เขารู้สึก อับอายและเคียดแค้นจนสุดท้ายก็ฆ่าตัวตาย!

แต่เหตุผลที่ห่วยแตกแบบนี้จะมาหลอกเย่เทียนได้อย่างไร?

ถึงแม้ว่าตอนนี้สวีเทียนเฉิงตายไปเกือบจะหนึ่งปีแล้ว แต่เย่ เทียนกลับไร้หนทางจะปล่อยวาง

ปลดประจําการกลับมาครั้งนี้ เขาจะสืบหาข้อเท็จจริง คืนความเป็นธรรมให้กับพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายของตนเ

“ท่านครับ อีกสิบวันสวีเทียนหมิงพี่ชายของสวีเทียนเฉิงก็จะ จัดงานแต่งงานใหญ่โต วันนี้ที่ตระกูลสวีค่อนข้างคึกคักเลยครับ หลินขุยรายงานเบา ๆ

“อย่างนั้นเหรอ?”

สายตาของเเทียนเย็นยะเยือก เขาลูบไล้แหวนหยกที่สวมอยู่ บนนิ้วชี้ นี่คือของที่สวีเทียนเฉิงมอบให้เขาก่อนจะจากกัน

“ในเมื่อเป็นงานแต่งยิ่งใหญ่ ผมก็ต้องไปเยี่ยมเยียนถึงบ้าน สักหน่อย… ไปตระกูลสวี!”

ตระกูลสวีเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของสี่ตระกูลใหญ่ในเมืองทรง เฉิง อิทธิพลในด้านอสังหาริมทรัพย์ในเมืองทรงเฉิงนั้น ยิ่งใหญ่ จนสามารถพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินได้

ไม่ว่าจะเป็นอำนาจอิทธิพลหรือกำลังทรัพย์ ไม่มีตระกูลไหนใน เมืองทรงเฉิงนี้สามารถเทียบได้เลย

อีกสิบวันก็จะเป็นงานแต่งงานยิ่งใหญ่ของสวีเทียนหญิง คุณชายใหญ่ตระกูลสวี ซึ่งเป็นวันมหามงคลของทั้งเมืองหรงเฉิง

วันนี้คนทุกระดับชั้นของตระกูลสวียุ่งอยู่กับงานแต่งตั้งแต่เริ่ม

ต้นวัน

“คึกคักจริง ๆ!”
รถจี๊ปจอดอยู่หน้าคฤหาสน์ที่หรูหราที่สุดในใจกลางเมือง เย่เทียนกับหลินขุยเพิ่งจะลงรถมาก็เห็นคนสี่ห้าคนล้อมอยู่ หน้าประตูตระกูลสวี ทั้งแขวนโคมไฟ ทั้งติดป้าย

ในคฤหาสน์ยังคงมีเสียงหัวเราะส่งออกมาเป็นพัก ๆ

“กระดูกของเทียนเฉิงยังไม่ทันเย็น พวกเขากลับมีความสุข สนุกสนานเฮฮา…” น้ำเสียงของเยเทียนราบเรียบ แต่ความหนาว ยะเยือกกลับก๋าจายมาจากร่างของเขา หนาวเหน็บอย่างรุนแรง

“ท่านครับ ให้ผมไปจับคนหลัก ๆ ในตระกูลสมาให้ท่านถาม ทีละคน ๆ ไหมครับ?” หลินซุยเสนอเบา ๆ

เย่เทียนสายศีรษะอย่างเย็นชา “อาย นายรู้ไหมว่าเวลาไหนที่ คนหวาดกลัวที่สุด?”

หลินขุยคิดอยู่สักพักแล้วเอ่ยตอบว่า “ตอนที่เผชิญหน้ากับ

ความตายเหรอครับ?”

เย่เสี่ยวเทียนหรี่ตาลง “ผิดแล้ว เป็นตอนที่อยากตายแต่ตาย ไม่ได้!!

พูดจบก็เดินนําหน้าไปยังตระกูลสวี

หลินซุยเดินตามอยู่ด้านหลัง เขาสูดลมหายใจเบา ๆ ดูเหมือนว่าคุณท่านจะตัดสินใจลงมือเองแล้ว…

“พวกแกยืนอึ้งกันอยู่ทำไม? รีบเอาขึ้นไปสิ นี่เป็นป้ายที่ท่าน นายกเทศมนตรีมอบให้เชียวนะ ต้องรีบแขวนถึงจะโอเค!”
“แกเบามือหน่อยสิ โคมไฟนีท่านหญิงเลือกเองเลยนะ ท่านั่ง นิดเดียวแกตายแน่”

ที่ประตูคฤหาสน์ สวี พ่อบ้านตระกูลสวีกำลังออกคำสั่งลูก

น้องอย่างเป็นขั้นเป็นตอน

พอหันมาด้านข้างก็เห็นคนสองคนเดินก้าวยาว ๆ ด้วยความ รวดเร็วไปทางทางเข้าคฤหาสน์

“เฮ้ ๆ พวกคุณทําอะไรน่ะ? ที่นี่คือตระกูลสวี ไม่ใช่ตลาดสด นะ” สวีฝก้าวเข้าไปสองก้าวก็ขวางอยู่ด้านหน้าของเยเทียนกับ หลินขุย

“ด้านในกำลังเร่งทำงานกันอยู่ ถ้าไปทำอะไรพังขึ้นมานิด เดียวพวกแกซด ใช้ไหวเหรอ? รีบไสหัวไป!”

เห็นพวกเขาแต่งกายธรรมดา ๆ สวีก็เลยพูดจาไม่มีความ

เกรงใจกัน

“บังอาจ แก…”

หลินขุยมองสวีฝูราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ เขากำลังจะลงมือ แต่กลับถูกเย่เทียนขัดขวางไว้ก่อน

“ผมชื่อเย่เทียน มาที่ตระกูลสวีเพื่อมาหาเพื่อนเก่าคนหนึ่ง”

“เย่เทียน? ไม่เคยได้ยินมาก่อน!” สวีจ้องเขาอย่างหยิ่งยโส “รีบไสหัวไปซะ คนบ้านนอกอย่างแกจะมามีเพื่อนอยู่ในตระกูล สวีได้อย่างไร? ปัญญาอ่อนหรือเปล่า?”
เย่เทียนไม่ได้สนใจ เดินมุ่งตรงจะเข้าไปด้านใน แถมหลินขุยที่อยู่ข้างหลังก็ก้าวมาอยู่ข้างหน้าก้าวหนึ่ง สกัด อยู่ด้านหน้าของสวีเหมือนภูเขาที่สูงตระหง่าน

“แกควรจะฉลองนะ วันนี้คุณท่านไม่อยากฆ่าสัตว์ตัดชีวิตครั้ง ใหญ่”

“พูดจบก็หันกลับไปเดินตามเย่เทียนก้าวเข้าไปในประตูใหญ่”

“แก! แกน กล้ามาก่อเรื่องในตระกูลสวี พวกแกอยากตาย สินะ?!”

สวีฝูโมโหร้ายไม่หยุด ไล่ตามเข้าไปต่อว่าด้วยความโกรธ

ในตอนนี้เองเสียงกังวานก็ดังขึ้น “สวี ด้านนอกจัดการเสร็จหรือยัง? อาหารครบแล้ว รอคุณย่า

ออกมาก็เปิดงานได้เลย”

หญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านในคฤหาสน์ เธอสวม กระโปรงสีแดงยาวเลยเข่า แต่งหน้าเบา ๆ ดูสวยสง่าทรงเกียรติ

“นี่มัน… เรื่องอะไรกันนะ?” เห็นฉากที่ประตูแล้วทุกคนก็อึ้งอยู่ พักหนึ่ง

“คุณนายน้อย เจ้าสองคนนี้จะมาหาใครก็ไม่รู้ที่ตระกูลสวี ทั้ง ยังดันทุรังจะเข้าไปให้ได้!

สวีฝรีบวิ่งมาอยู่ตรงหน้าหญิงสาว โค้งตัวน้อย ๆ นอบน้อมต่อ หญิงสาวมาก
“อย่างนั้นเหรอ หญิงสาวมองเปเทียนขึ้น ๆ ลง ๆ อย่าง พิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงสายศีรษะเบา ๆ หลายวันนี้ที่ตระกูล มีเรื่องต้องจัดการอยู่แล้ว ไม่พบแขกจากภายนอก พวกคุณรีบ กลับไปเถอะ!”

พูดจบเธอก็หมุนตัวกลับเข้าไปด้านใน

“คุณซื่อหลินเสว่?” เย่เทียนเอ่ยช้า ๆ สองตาปักอยู่ร่างของ หญิงสาวราวกับมีด

“คุณเป็นใครคะ?” หลินเสาหมุนตัวกลับมา เธอรู้สึกแปลกใจ เยเทียนไม่ได้ตอบคำถาม สายตาค่อย ๆ เยียบเย็นขึ้นทีละนิด คนที่อยู่ตรงหน้านี้เหมือนกับในรูปที่สวีเทียนเฉิงเคยเอาให้ เขาดูไม่มีผิดเพี้ยน


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ