เจ้าหญิงของลูกสาวของภรรยาคนแรก

ตอนที่ 6 ถึงเป็นท่านอ๋องซื้อของก็ต้อง



ตอนที่ 6 ถึงเป็นท่านอ๋องซื้อของก็ต้อง

จ่ายเงินนะ

“หึๆ…วเหยา คู่หมั้นเจ้าคนนี้น่าสนใจดีจริง

หน้าร้านเซิ่นเต๋อเซวียนไม่รู้ว่ามีรถมาคันโตโอ่อ่าแต่เรียบ ง่ายมาจอดตั้งแต่เมื่อใด ถึงแม้คนที่อยู่ในรถม้าจะไม่เห็น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในร้าน แต่กลับมีหูที่ดีกว่าคนทั่วไปอยู่ มาก ได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นในร้านอย่างชัดเจน

ในรถม้า ชายหนุ่มคิ้วโก่งยาว หน้าตาหล่อเหลา สวมชุด ผ้าทอสีแดงอย่างดี กำลังนั่งเอนหลังพิงผนังรถม้าอยู่อย่าง เกียจคร้าน ใบหน้าอมยิ้มมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้ามด้วย สายตาล้อเลียน

“เพิ่งจือเหยา เจ้าว่างเกินไปหรือ” ชายหนุ่มในชุดสีเรียบที่ นั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้รถเข็นเอ่ยถาม พลางจ้องหน้าอีกฝ่ายที่ นั่งยิ้มไม่หุบอยู่ฝั่งตรงข้าม

ถึงแม้เขาจะนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นแต่แผ่นหลังของเขากลับ ตั้งตรงเป็นด้ามพู่กัน ประหนึ่งไม่ว่าเรื่องใดก็มิอาจกดเขาให้ ราบลงได้ ใบหน้าสะอาดสะอ้านหล่อเหลาดูออกว่าเป็นคน สุภาพและได้รับการอบรมมาดี แต่ดวงตาใสคู่นั้นกลับทำให้คน ที่ถูกต้องตรงๆ รู้สึกเย็นยะเยือกอย่างบอกไม่ถูก เขาเอียงหน้า ไปมองชายหนุ่มในชุดผ้าทอ ทำให้เห็นรอยแผลเป็นฉกรรจ์ที่อยู่บนใบหน้าด้านซ้ายได้อย่างชัดเจน ทำลายภาพลักษณ์ชาย หนุ่มที่ดูสุภาพและได้รับการอบรมมาดีไปเสียสิ้น ทำให้ผู้คนไม่ กล้ามองหน้าเขาตรงๆ

เพิ่งจือเหยาสะบัดพัดเปิดเสียงดังพรึ่บ แต่ยังคงนั่งเอน หลังสบายๆ “ข้าว่างเกินไปหรือ นายท่านไม่ให้ข้าออกจาก เมืองหลวงไปไหนเลย แต่ก็คงว่างอยู่อีกไม่นานหรอก เพราะ อีกเดือนเดียวทั้งท่านหลีอองและท่านตั้งอ๋องต่างก็จะมีงานเสก สมรสใหญ่กันทั้งคู่ จะว่าไปฮ่องเต้นก็ทรงลำเอียงเกินไปหน่อย เยี่ยยิ่งได้ชื่อว่าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวง แต่เยี่ย หลีผู้นี้กลับได้ชื่อว่าเป็นคุณหนูที่บกพร่องด้วยคุณสมบัติสาม ประการ

“ซิวเหยา เจ้าจะแต่งกับนางจริงๆ หรือ นี่ไม่ถือว่าฮ่องเต้ตั้ง พระทัยจะทำให้เจ้าดูไม่ดีหรอกหรือ

ขาดคุณสมบัติสามประการก็เรื่องหนึ่ง แต่นางกลับเป็นคน ที่พ่อจึงหลีปฏิเสธที่จะสมรสด้วย ที่ทำเช่นนี้เพราะฮ่องเต้ ประสงค์จะเหยียบหน้าตำหนักตั้งอ๋องเป็นแน่

ชายหนุ่มในชุดเรียบๆ ผู้นี้ก็คือตั้งอ๋อง ม่อซิวเหยานั่นเอง

ม่อซิวเหยาเพียงหัวเราะเรียบๆ หญิงสาวในร้านเป็นเพื่อเซ วียนนั่นดูท่าทางแบบบางก็จริง แต่น้ำเสียงที่ลอยเข้าหูเขากลับ ฟังไม่อ่อนแอเหมือนท่าทางของนางเอาเสียเลย “นายอยากให้ บ่าวตาย บ่าวอาจไม่ตายได้ นับประสาอะไรกับเรื่อง พระราชทานสมรสกันเล่า เมื่อครู่เจ้ายังว่านางน่าสนใจอยู่เลย
เพิ่งจือเหยาขมวดคิ้ว มองอีกฝ่ายด้วยสายตาเป็นห่วง “ เป็นเรื่องสำคัญของชีวิตเชียวนะ จะแต่งชายาคนหนึ่งไม่เหมือน กับมีภรรยารองนะ นี่เจ้าคิดดีแล้วจริงๆ ใช่หรือไม่

เพิ่งจือเหยาเงียบไป จริงอยู่ที่ว่าคิดดีแล้วหรือไม่ แล้วจะ อย่างไร ราชโองการของฮ่องเต้มอาจฝ่าฝืน มิเช่นนั้นอาจนำภัย ใหญ่หลวงมาสู่ตำหนักตั้งอ๋อง อีกอย่างม่อซิวเหยาก็อายุตั้ง ยี่สิบห้าปีเข้าไปแล้ว สมควรสมรสมีครอบครัวนานแล้ว แต่คุณ หนูตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงต่างกลัวว่าตนจะต้องสมรสกับสิ่ง อ๋องราวกับกลัวงู ยามนี้…ขอเพียงคุณหนูตระกูลเยี่ยผู้นี้เป็น หญิงสาวที่ใช้ได้เป็นพอ เพียงแต่ฮ่องเต้จะหาภรรยาดีๆ ให้พ่อ ซิวเหยาหรือ

เยี่ยหลีส่งคุณชายที่น่าภาพวาดมาขายยังไม่ทันเรียบร้อย ก็มีชายหนุ่มและหญิงสาวหน้าตาดีคู่หนึ่งเดินเข้ามาในร้าน หลงทำหน้าเหมือนเห็นพระโพธิสัตว์มาโปรด รีบเอ่ยเรียกว่า “อิงเอ๋อร์…อิงเอ๋อร์….ท่านอ๋อง ช่วยข้าด้วย…

คนที่เดินคู่กันเข้ามานั้นก็คือคู่ที่กำลังเป็นที่โจษจันไปทั้ง เมืองหลวงอยู่ในขณะนี้ หลีอ๋อง พ่อจึงหลีกับเยี่ยถึง

เยี่ยจิ้งหันไปมองชายหนุ่มรูปงามที่ยืนอยู่ข้างตนที่หนึ่ง แล้วเดินช้าๆ ไปหาเยี่ยหลีพร้อมพูดเสียงอ่อนว่า “พี่สาม นี่ท่าน กำลังทำอะไรหรือ ท่านลุงทำอะไรให้ท่านโกรธหรือ ขอให้พี่ เห็นแก่ที่ท่านเป็นญาติผู้ใหญ่ อย่าถือสาเลยเจ้าค่ะ” ถ้อยคำ เรียบๆ เพียงประโยคเดียวก็ทำให้เยี่ยหลีดูเป็นเด็กที่ไม่เคารพ ญาติผู้ใหญ่ขึ้นมาทันที
ม่องหลีได้ฟังเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วหันมาจ้องเยี่ยหลีทันใด

เยี่ยหลีมีสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งวิ่ง มองหน้าเยี่ยถึงแล้วเอ่ยเสียง เรียบว่า “น้องคงจำคนผิดแล้วกระมัง ที่เรือนท่านตาของข้า ท่านลุงอยู่เพียงสองคนเท่านั้น แล้วทุกวันนี้ก็มีแต่ท่านลุงรองที่ อยู่ในเมืองหลวง และถึงแม้ร้านเซ็นเตอเซวียนนี้จะเป็นสมบัติ ติดตัวท่านแม่ของข้ามายามออกเรือน แต่ต่อให้ท่านลุงทั้งสอง ไม่วางใจอย่างไรก็คงไม่มาเป็นหลงของร้านด้วยตนเองหรอก นี่ก็เพียงลูกจ้างของที่จวนคนหนึ่งเท่านั้น เหตุใดน้องสี่ถึงคิดว่า เขาเป็นญาติผู้ใหญ่ของพี่กันเล่า

เยี่ยยิ่งโกรธจนหน้าแดงขึ้นมาทันที ในใจยิ่งโกรธกว่า ถ้อยคำประโยคนี้ของเยี่ยหลี ตนฟังไม่เข้าใจก็คงโง่เกินไปแล้ว ในสายตาของเยี่ยหลีไม่เคยเห็นว่าญาติพี่น้องของตระกูลหวัง เป็นญาติพี่น้องของนางเลย และแน่นอนว่าย่อมไม่นับว่าญาติ ผู้ใหญ่ของตระกูลหวังเป็นญาติผู้ใหญ่ของนางด้วย ฉะนั้นถึงแม้ ท่านลุงของตนจะทำหน้าที่เป็นหลงร้านเซ็นเต๋อเวียน แต่ใน สายตาของนางก็เป็นเพียงแค่ลูกจ้างเท่านั้น หญิงผู้นี้ปกติดใจ เย็น ไม่คิดแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นอะไร แต่กลับกล้าหักหน้าตนต่อ หน้าหลือ๋อง!

เยี่ยยิ่งทำได้เพียงกัดปากแล้วฝืนยิ้ม “พี่สามล้อข้าเล่นแล้ว เพียงแต่ก่อนหน้านี้ไม่มีคนคอยคุมร้านเป็นเพื่อเขวียน ท่านลุง จึงได้เข้ามาคุมร้านนี้ตามที่ท่านแม่ร้องขอเท่านั้น จะเรียกว่า เป็นลูกจ้างได้อย่างไร”

เยี่ยหยิ้มแล้วพยักหน้าน้อยๆ “เป็นเช่นนี้เองหรือเช่นนั้นพี่คงเข้าใจผิดเอง อีกหน่อยคงไม่ต้องรบกวนพี่ชายของฮูหยิน แล้ว ข้าจะหาคนมาจัดการต่อเอง อีกสักครู่รบกวนให้ หวัง…นายท่านท่านนี้ไปที่จวนตระกูลเยี่ยกับข้าเพื่อไปแจ้งให้ ท่านพ่อและท่านย่ารู้หน่อยนะเจ้าคะ

สีหน้าของทั้งหลงและเยี่ยยิ่งเปลี่ยนไปทันที หลัง แน่นอนว่ายังอยากคุมร้านนี้อยู่เพราะหวังผลกำไร ถึงแม้ทุกวัน นี้บุตรคนโตของหวังชื่อจะเป็นถึงเจ้าอี้ แต่พื้นเพตระกูลหวังเอง ไม่ได้มีอะไร มิเช่นนั้นบุตรภรรยาเอกของตระกูลหวังคงไม่แต่ง เข้ามาเป็นภรรยารองหรอก ถึงแม้หลายปีมานี้จะพอมีหน้ามีตา ขึ้นมาบ้าง แต่คนที่รับราชการอยู่ในราชสำนักก็มีเพียงไม่กี่คน

หลงจูนี่เป็นลูกผู้พี่ของหวังซื่อ แต่เดิมก็อยู่แต่ในจวนไม่มี งานมีการทำ มีหรือจะได้กินอยู่อย่างสบายเหมือนตอนที่เป็น หลงร้านนี้ได้ เขียองเองก็รู้ดีว่าญาติฝ่ายแม่ของตนปีปีหนึ่งได้ เงินจากร้านเซนเต๋อเซวียนไปเท่าไร ตัวนางเองหากเห็นของเก่า อะไรที่ดูมีค่า นางยังมาหยิบฉวยไปเฉยๆ เลย เพราะเช่นนี้นาง ถึงได้ดูดีที่สุดในบรรดาคุณหนูในเมืองหลวงทั้งหมด หากเสีย การควบคุมร้านเซนเต๋อเซวียนนี้ไป อีกหน่อยคงไม่ได้อะไรมา ง่ายๆ เป็นแน่

เยี่ยหลีไม่สนใจว่าสองคนนี้จะคิดอะไร นางจับมือเยี่ยถึง แล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลย ว่าแต่น้องมาทำอะไร ที่เป็นเอ๋อเซวียนหรือ

เยี่ยทั้งหน้าตั้งทันที นางมีทำที่ลังเลเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า “ท่านอ๋องเกิดชอบเจ้าแม่กวนอิมองค์หนึ่งในร้าน อยากนำไปถวายไทเฮา [1]…ข้าเลยมาดูเป็นเพื่อนท่านอ๋อง

เยี่ยหลียังคงยิ้มเช่นเดิม มองชายหนุ่มที่ปฏิเสธการ แต่งงานกับตนด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีการตัดพ้อหรือต่อว่า แต่อย่างใด กลับแย้มยิ้มให้อย่างสนิทสนมมากขึ้นด้วย นาง เอียงหน้าไปยิ้มให้พ่อจึงหลี “ท่านอ๋องนี่เอง ข้าขอคารวะท่าน อ๋อง จะว่าไป…น้องให้ท่านอ๋องมาที่ร้านด้วยตนเองได้อย่างไร ให้พวกเรานำของไปส่งให้ที่ตำหนักอ๋องไม่ดีกว่าหรือเพคะ”

เยี่ยองขมวดคิ้วมองหน้าเยี่ยหลี ในใจคิดว่าหรือนางยังไม่ ยอมตัดใจ หรือคิดอยากทำดีเพื่อเอาใจหลีออง หลีอองยืนเอา มือไพล่หลังหลบอยู่ด้านหนึ่ง สายตาที่มองเยี่ยหลีมีความ เคลือบแคลงใจและคิดเช่นเดียวกันว่าที่เยี่ยหลีทำเช่นนี้ก็เพราะ ต้องการเอาใจตน จึงรอฟังเยี่ยหลี ว่า “แต่ในเมื่อท่าน อ๋องมาถึงที่นี่แล้ว เหอซื้อฟู ช่วยนำรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมมาห่อ ให้ท่านอ๋องให้เรียบร้อยที่ ไม่รู้ว่า…ท่านอ๋องจะจ่ายด้วยเงิน ตำลึงหรือตั๋วเงินดีเพคะ”

ทุกคนต่างอึ้งไป สีหน้าของพ่อจึงหลีเองดูไม่ค่อยจะดี ต้อง หน้าเยี่ยหลีแล้วกล่าวว่า “เจ้าว่าอะไรนะ”

เยี่ยหลีขมวดคิ้ว สีหน้างงงวยไม่เข้าใจ “ท่านอ๋องไม่ได้จะ ซื้อรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมหรอกหรือเพคะ อย่างไรท่านก็เป็นคู่ หมั้นของน้องสี่ แล้วยังจะนำไปถวายไทเฮาอีก เธอชื่อฟู ลดให้ ท่านอ๋องสักหนึ่งในห้าก็แล้วกัน เพื่อเป็นบุญวาสนาแก่ตัวเรา
เหอซื้อฟูกำลังนำรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมออกมาด้วยความ ระมัดระวัง เยี่ยหลีมองดู เห็นเป็นเจ้าแม่กวนอิมปั้นด้วยหยก ขาว ถึงแม้นางจะมองจากที่ไกลๆ เพียงแวบเดียว ก็รับรู้ได้ถึง ความเมตตาที่เปล่งประกายออกมาจากรูปปั้นนั้น ไม่ว่าจะทำ ด้วยหยกขาวหรือแกะสลักก็ถือว่าเป็นของดีด้วยกันทั้งคู่ ไม่คิด ว่าในร้านเซ็นเตอเซวียนจะยังมีของดีเช่นนี้หลงเหลือ หากไม่ได้ มาด้วยตัวเอง ในวันนี้ คงขาดทุนไม่น้อย

“คุณหนู ห่อเรียบร้อยแล้วขอรับ ราคาห้าพันหนึ่งร้อย ตำลึงขอรับ” เหอชื่อเข้าใจความหมายของคุณหนูสาม ตัวเขา เองเดิมที่เป็นคนเก่าแก่ของตระกูลสวีที่ติดมากับสินเดิมจน กลายมาเป็นคนตระกูลเยีย ยามนี้คุณหนูสามได้กลับมาดูแล ร้านเป็นเดือเซวียนแล้ว แน่นอนว่าเขาจะต้องอยู่ข้างคุณหนูของ ตน เยี่ยหลีพอใจกับท่าทีของเพื่อซื้อฟูมาก พยักหน้าแล้วกล่า วกับม่อจิ่งหลีว่า “ปัดเศษออกก็เป็นห้าพันตำลึงเจ้าค่ะ ท่านอ๋อง ว่าอย่างไร”

“พี่สาม! ท่าน” เยี่ยยิ่งมองหน้าพ่อจึงหลีด้วยอย่างเป็น กังวล กล่าวกับเยี่ยหลีด้วยสีหน้าน่าสงสาร

เยี่ยหยิ้มเยาะในใจ หลายปีมานี้ไม่รู้หวังชื่อแอบเอาเงิน และของที่ร้านไปแล้วเท่าไร มาวันนี้เดี๋ยอิ่งลูกไม้ดีไปอีกขั้น คิด อยากเอาใจพ่อจึงหลีจึงพาเขามาเอาของที่ร้านไปเปล่าๆ คิดว่า นางเป็นสากกะเบือหรืออย่างไร

ชิงซวงนึกรำคาญที่เยี่ยยิ่งทำทอ่อนแอน่าสงสาร จึงเอ่ย กลั้วหัวเราะว่า “เหตุใดหรือเจ้าคะคุณหนู คุณหนูของบ่าวเห็นว่าอีกหน่อยท่านหลีอ๋องจะเป็นสวามีของท่าน จึงลดให้ทั้งหลาย ร้อยตำลึงเชียวนะเจ้าคะ หากเป็นร้านอื่นคงไม่ได้ราคานี้ หรือ ว่า…บ่าวแล้ว คงเป็นเพราะท่านอ๋องไม่ได้นำเงินติดตัวมามาก เพียงนั้นเป็นแน่”

เยี่ยหยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ไม่เป็นไร ข้า เชื่อใจท่านอ๋องอยู่แล้ว ท่านอ๋องนำของกลับไปก่อน แล้ววัน หลังข้าค่อยให้คนเอาใบราคาไปให้ท่านอ๋องที่จวน แล้วท่าน ค่อยให้เงินกลับมายามนั้นก็ได้ ท่านอ๋องว่าอย่างไรเพคะ”

สีหน้ามือจึงหลีไม่สู้ดีนัก เขาจะว่าอย่างไรได้ หากปฏิเสธ ผู้อื่นก็จะคิดว่าตนมาเอาของไปเฉยๆ หากบอกว่าไม่ซื้อแล้ว คน ที่อยู่ที่นี่ต่างก็ได้ยินว่าตนจะนำไปถวายไทเฮา พอเห็นว่าแพงจึง ไม่ซื้อไปถวายก็ดูจะเป็นคนอกตัญญู

เยี่ยหลีผู้นี้มีแต่คนว่านางไม่งาม ไร้ความสามารถ และได้ ศีลธรรม ไม่เห็นมีผู้ใดเคยว่าว่านางเป็นคนเจ้าเล่ห์เช่นนี้

ม่อจึงหลีทำได้เพียงส่งเสียงเบาๆ พร้อมพยักหน้ารับ แล้วทำท่าเหมือนไม่อยากอยู่ในร้านนี้ต่ออีกแม้แต่วินาทีเดียว เขารีบจับมือเยี่ยยิ่งแล้วเดินออกจากร้านไป แม้แต่เสียงร้อง เรียกของหลงจูหวังก็ยังไม่สนใจ

เยี่ยหลียิ้มด้วยความพอใจ โบกมือให้เหอซื้อฟู “ดีจริงที่ ท่านอ๋องพอใจ เหอซื้อฟู ประเดี๋ยวท่านให้ใครเอาใบรายการ ไปส่งที่ตำหนักที ใช่สิ ช่วยดูด้วยว่าก่อนหน้านี้มีลงบัญชีไว้บ้าง หรือไม่ รวบรวมส่งให้ท่านอ๋องทีเดียวเลยแล้วกัน ตำหนักท่านอ๋องผู้ยิ่งใหญ่ เงินเพียงนี้คงไม่ถึงกับจะไม่จ่ายเราหรอกนะ”

เมื่อได้ฟังเช่นนี้ พ่อจึงหลีที่กำลังจะเดินออกจากร้านก็หน้า ตึงทันที ฝีเท้าหยุดชะงักเล็กน้อยก่อนรีบดึงเยี่ยทิ้งให้เดินต่อ และไม่หันกลับมามองอีกเลย

[1] ไทเฮา คำเรียกมารดาของฮ่องเต้


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ