เจ้าหญิงของลูกสาวของภรรยาคนแรก

ตอนที่ 3 ท่านป้าสะใภ้ออกโรง



ตอนที่ 3 ท่านป้าสะใภ้ออกโรง

“คุณหนู ฮูหยินมาแล้วเจ้าค่ะ”

เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้น เห็นป้าสะใภ้รองของตนกำลังเดินเข้า มา จึงรีบยืนขึ้นต้อนรับ “ท่านป้าสะใภ้รอง

สวีฮูหยินปีนี้อายุสามสิบหกสามสิบเจ็ดปีแล้ว นางดูแลตัว เองอย่างดี มองผาดๆ ก็พอจะกล่าวได้ว่านางเป็นคนค่อนข้าง สะสวย แต่หากพิศมองตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วสิ่งที่ชัดเจนกว่านั้น คือกิริยาท่าทางที่บ่งบอกว่านางมาจากครอบครัวที่ได้รับการ อบรมสั่งสอนมาอย่างดี

สวีฮูหยินขมวดคิ้วมองสำรวจห้องของเยี่ยหลีหนึ่งรอบ อด พูดในสิ่งที่นางคิดไม่ได้ว่า “ป้าสะใภ้กับท่านลุงบอกเจ้าแต่แรก แล้วว่าให้ย้ายไปอยู่จวนของท่านลุง เจ้าก็ไม่ฟัง แล้วดูสิว่าเจ้า ต้องอยู่ในสภาพเช่นใด แล้วยังเรื่องออกเรือนของเจ้าอีก…เจ้า อยากให้ท่านแม่ที่อยู่ในหลุมของเจ้าไม่สบายใจ ใช่หรือไม่

เยี่ยหลีได้แต่นวดหน้าผากเบาๆ ก่อนถึงสวีฮูหยิน ให้นั่งลง “หลายปีมานี้ท่านลุงเองก็ลำบากไม่น้อย แล้วท่านย่าและท่าน พ่อก็ยังอยู่ จะให้บุตรสาวอย่างข้าย้ายไปอยู่จวนท่านลุงได้ อย่างไรเจ้าคะ รังแต่จะทำให้คนเขาว่ากันว่าท่านแม่ไม่รู้จักสั่ง ลอน

ตั้งแต่ฮ่องเต้องค์นี้ครองราชย์ ได้ล้างไพ่ขุนนางเก่าแก่ในรัชสมัยก่อนเป็นการใหญ่ ท่านตา ท่านลุงใหญ่ และดนตระกูล สวีอีกหลายคนต้องออกจากราชการ ทุกวันนี้เหลือเพียงท่านลุง รองที่ยังรั้งตำแหน่งขุนนางชั้นสามอยู่ในสำนักฮั่นหลิน (ราช บัณฑิต) เท่านั้น ในสายตาคนทั่วไปตระกูลใหญ่อย่างตระกูลส ที่รุ่งเรืองนับร้อยปีได้ถึงกาลเสื่อมถอยลงแล้ว

เมื่อได้ยินเยี่ยหลีเอ่ยเช่นนี้ สวีฮูหยินก็ทำได้เพียงถอน หายใจ “ถ้าเห็นเจ้าต้องมาลำบากเช่นนี้ ท่านตาของเจ้าจะปวด ใจเพียงใด

ตระกูลสวีไม่ว่ารุ่นใดมักมีบุตรชายมากกว่าบุตรสาว รุ่น นายท่านผู้เฒ่าสวีก็มีเพียงมารดาของเยี่ยหลีคนเดียวที่เป็นบุตร สาว แน่นอนว่าทั้งรักทั้งเอ็นดูนางเป็นที่สุด หากรู้ว่าหลานสาว คนเดียวต้องมามีชีวิตที่น่ารันทดเยี่ยงนี้ คนอารมณ์ร้อนอย่าง นายท่านผู้เฒ่าสวีคงจะรีบเข้าเมืองหลวงมาด่าทอบุตรเขย ยกใหญ่สักยกหนึ่งเป็นแน่

เยี่ยหลีหัวเราะแล้วกล่าวว่า “รันทดที่ใดกันเจ้าคะ หลีเออร์ มีหรือจะยอมให้ตัวเองเสียเปรียบ

สวีฮูหยินมองหน้านางด้วยความกังวลใจ “เรื่องงานสมรส ของเจ้านะ…เอาเข้าจริงท่านตั้งอ๋องถือว่ามิใช่คู่ครองที่ดีนัก น้องสาวเจ้าก็ไม่ได้ความเอาเสียเลย แย่งได้แม้กระทั่งสามีของ พี่สาว เรื่องเช่นนี้คุณหนูตระกูลใหญ่ผู้ใดกล้าทำกัน

สายตาของเยี่ยหลีเปลี่ยนไป แตกต่างจากยามอยู่ในจวน ที่ดูอ่อนโยนไร้พิษสงอย่างสิ้นเชิง นางหัวเราะน้อยๆ “ท่านตั้งอ๋องก็มีข้อดีของท่านตั้งอ๋อง ท่านป้าสะใภ้กับท่านลุงไม่ต้องเป็น ห่วงหลีเอ๋อร์เรื่องนี้หรอกเจ้าค่ะ”

ตำหนักตั้งอ๋องถือได้ว่าเป็นตำหนักที่มียศศักดิ์ยิ่งใหญ่ แห่งแผ่นดินต้า ขอเพียงตั้งอ๋องไม่อุกอาจคิดชิงราชบัลลังก์ ต่อให้เป็นฮ่องเต้เองก็มิอาจลงมือกระทำการใดๆ กับตำหนัก ตั้งอ๋องได้ ทุกวันนี้ด้วยเหตุผลทางกายภาพของตั้งอ๋องก็ทำให้ เขาแทบจะตัดขาดจากราชสำนักอยู่แล้ว แต่งงานไปแน่นอนว่า ย่อมสามารถตัดเรื่องไร้สาระกวนใจต่างๆ ออกไปได้อย่างสิ้น เชิง สำหรับเยี่ยหลีแล้ว การออกเรือนครั้งนี้เป็นเพียงการย้าย จากจวนตระกูลเยี่ยไปอยู่ตำหนักทิ้งฮ่องเท่านั้น ชาติที่แล้วนาง เหนื่อยมากแล้วจริงๆ ชาตินี้ขอเพียงได้กินอยู่เพื่อรอความตาย ไปวันๆ อย่างสบายใจก็พอแล้ว

ไม่เลวเลย กินอยู่เพื่อรอความตายไปวันๆ นี่เป็นเป้าหมาย ที่เยี่ยหลีวางไว้ให้ตนเองในชาตินี้ ชาติก่อนนางเป็นนายทหาร คนหนึ่งในหน่วยรบพิเศษ เอาชีวิตตนเองเข้าเสี่ยงเพื่อแผ่นดิน ท้ายที่สุดได้สละชีพเพื่อแผ่นดินถือว่าเป็นการตายอย่างไม่เสีย ชาติเกิด จิตใจของนางไม่ได้เต็มไปด้วยความโกรธแค้นและไม่ ทะเยอทะยานมักใหญ่ใฝ่สูงอะไร นางถือว่านางหน้าแผ่นดินนี้ ได้อย่างเต็มภาคภูมิและไม่ถือว่าแผ่นดินนี้ทำผิดต่อนาง การ สละชีพเพื่อแผ่นดินนับเป็นภารกิจและความรับผิดชอบของ ทหาร เพียงแต่การดำรงอยู่ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดมาเป็นสิบ ปีนั้น นางได้ผ่านอะไรมามากมายจนเหนื่อยล้าเกินไปแล้วจริงๆ ชาตินี้นางขอมีชีวิตที่สงบสุขและเรียบง่ายก็พอแล้ว
เมื่อเห็นนางใจเย็นเช่นนี้ สวีฮูหยินทั้งวางใจและกังวลใจ สุดท้ายทำได้เพียงถอนหายใจ ไม่พอใจแล้วอย่างไร ฮ่องเต้ พระราชทานงานสมรสนี้ด้วยตนเอง ผู้ใดเลยจะกล้าขัด ราชโองการ

“นี่เป็นของที่ท่านตาฝากขาและท่านลุงมามอบให้เจ้าก่อน ท่านจะเดินทางออกจากเมืองหลวง เป็นของที่ท่านตาเตรียมไว้ ให้เป็นสินเดิมของเจ้า พวกเรามิอาจมอบมันให้เจ้าอย่างเปิด เผยได้ จึงนำไปแลกเป็นตัวเงินให้เจ้าเก็บไว้กันหีบ” สวีฮูหยิน นำตั๋วเงินปีกหนึ่งออกมาส่งให้กับมือของเยี่ยหลี

เยี่ยหลีเปิดออกดูเห็นเป็นตัวเงินหนึ่งพันตำลึงหนึ่งใบ ห้า ร้อยตำลึงสองใบ แล้วยังมีตัวทองและตั๋วเงินจำนวนย่อยอีก สองสามใบ ค่านวณแล้วประมาณสองหมื่นสองพันตำลึงได้

สวีฮูหยินไม่ยอมให้นางพูดอะไร รีบเอ่ยต่อว่า “ข้าได้ยิน มาว่าหญิงตระกูลหวังคนนั้นคิดจะแบ่งเอาสินเดิมบางส่วนที่ ท่านแม่ของเจ้าทิ้งไว้ให้ไปด้วยหรือ เรื่องนี้เจ้าวางใจเถิด ป้า สะใภ้จะช่วยเจ้าจัดการเรื่องนี้เอง เหอะ บุตรสาวตระกูลสวีคน ใดบ้างที่ไม่ได้ออกเรือนไปอย่างมีหน้ามีตา ถึงตระกูลเราจะ ถดถอยลงก็จริง แต่ใช่ว่าจะเอาสินเดิมของเราไปเสริมให้บุตร สาวของภรรยารองได้ หลายปีมานี้สินเดิมของท่านแม่เจ้าถูก พวกนางผลาญไปเท่าไรแล้วก็ไม่รู้ เรือนกับร้านค้าพวกนั้น ป้า สะใภ้จะไปจัดการเอาคืนมาให้เจ้าให้ได้

เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “เรื่องนี้หลีเออร์จัดการเองได้เจ้าค่ะ ท่าน ป้าสะใภ้อย่าถึงกับต้อง…”
สวีฮูหยินพูดกลั้วหัวเราะว่า “เจ้าวางใจเถิด แม้ตำแหน่ง ของท่านพ่อเจ้าจะสูงกว่าท่านลุง แต่หากฮ่องเต้ยังคิดจะรักษา พระพักตร์ขององค์เองอยู่ละก็ คงไม่ทำให้ท่านลุงของเจ้า ลำบากไปมากกว่านี้หรอก”

ตระกูลสวีเป็นขุนนางมาตั้งแต่สมัยก่อร่างสร้างแผ่นดิน ทั้งยังเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงดีงามมาโดยตลอด แม้จะไม่ได้อยู่ ในราชสำนักแล้ว แต่เรื่องอิทธิพลนั้นตระกูลธรรมดาๆ อย่าง ตระกูลเยี่ยและตระกูลหวัง มีหรือจะเทียบชั้นได้ ภายหลังฮ่องเต้ องค์ปัจจุบันขึ้นครองราชย์ก็บีบคั้นคนตระกูลสวีทั้งที่ลับและที่ แจ้งให้ต้องออกจากราชการ ซึ่งก็ดูไม่ดีมากพออยู่แล้ว หาก เกิดอะไรขึ้นกับตระกูลสวีโดยไร้คำอธิบายที่ดีพออีก น้ำลาย ของคนใต้หล้าคงมากพอจะท่วมองค์ฮ่องเต้ได้เลยทีเดียว

เยี่ยหลีขมวดคิ้วคิดแน่น จริงๆ ก็มิใช่เรื่องใหญ่อะไรจึง พยักหน้าขอบคุณป้าสะใภ้

สวีฮูหยินค่อยสบายใจขึ้น เอ่ยยิ้มๆ ว่า “อีกหน่อยจานนี้ คงไม่ช่วยออกหน้าแทนเจ้าเท่าไรหรอก ออกเรือนไปแล้วเจ้าก็ ไปที่จวนข้าบ้าง พอให้ท่านลุงและท่านตาของเจ้าวางใจ

“ฮูหยินมาแล้วเจ้าค่ะ” มีเสียงฝีเท้าดังมาจากหน้าประตู หวังชื่อปรากฏตัวขึ้นพร้อมสาวใช้เก่าแก่นางหนึ่ง นางยืนอยู่ที่ หน้าประตูเห็นสวีฮูหยินเข้าก็เลิกคิ้วแล้วกล่าวว่า “สวีฮูหยินมา ถึงนี่เหตุใดไม่บอกกันบ้าง ช้าเลยไม่ทันได้เตรียมการต้อนรับ

แต่ไหนแต่ไรมาส ฮูหยินก็ไม่ชอบใจการวางท่าวางทางของหวังชื่ออยู่แล้ว เลยส่งเสียงในลำคอเบาๆ ก่อนกล่าว เรียบๆ ว่า “ข้าเพียงรับคำสั่งท่านพ่อให้แวะมาเยี่ยมหลีเออร์ หน่อยเท่านั้น จวนตระกูลเยี่ยสูงศักดิ์เช่นนี้ ข้าไม่กล้ารบกวน เยี่ยฮูหยินให้ออกมาต้อนรับหรอก”

จวนตระกูลสวีเป็นตระกูลสูงศักดิ์และมีการศึกษาสูง แต่ ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีการเลื่อนภรรยารองขึ้นมาเป็นภรรยาเอก มาก่อน สวีฮูหยินจึงดูถูกสถานะของหวังชื่อมาโดยตลอด แล้ว ไหนน้องสามีของตนต้องมาตรอมใจตายอีก ถึงอย่างไรหวังชื่อ ก็ต้องมีส่วนกับเรื่องนี้ไม่มากก็น้อย แล้วจะให้มองหน้ากันดีๆ ได้อย่างไร

หวังชื่อเองก็เกลียดสวีฮูหยินที่มักมองนางด้วยสีหน้า เหยียดหยามเสมอมา เห็นอยู่ว่าตนเป็นถึงฮูหยินของขุนนางชั้น สอง สวีฮูหยินเป็นเพียงฮูหยินของขุนนางชั้นสามเท่านั้น กล้า อย่างไรมาดูถูกนาง หวังชื่อ ใช้สายตาดูแคลนมองสำรวจเรือนข องเยี่ยหลีหนึ่งรอบ จนเมื่อเดินเข้ามานั่งเรียบร้อยแล้ว จึงกล่าว กับสวีฮูหยินว่า “ตระกูลของพวกเราส่งวันเดือนปีเกิดของลูก สามไปยังตำหนักตั้งอ๋องแล้ว อีกไม่กี่วันก็คงได้ฤกษ์มงคลกลับ มา ตัวข้าเป็นภรรยาเอก อย่างไรก็ต้องให้ลูกสามแต่งออกไป อย่างมีหน้ามีตา สวีฮูหยินไม่ต้องกังวลไปหรอก

สวีฮูหยินหัวเราะเรียบๆ แล้วเดินไปนั่งอีกมุมหนึ่ง หาก แต่งออกไปอย่างมีหน้ามีตาจริงก็ดี หลีเอ๋อร์ถึงแม้จะแซ่เยี่ย แต่ ก็เป็นสายเลือดตระกูลสวี บุตรสาวตระกูลสวีหากแต่งออกไป อย่างไม่สมเกียรติแล้ว นายท่านผู้เฒ่าตระกูลของพวกเราคงไม่ชอบใจเป็นแน่ ใช่สิ…ทรงเกอเอ๋อร์ บุตรชายเจ้ากำลังเรียน หนังสืออยู่มิใช่หรือ ไม่รู้ว่าการสอบเกอรี่ (1) ในปีหน้าจะไป ลองสนามด้วยหรือไม่”

ประโยคเรียบๆ ของสวีฮูหยินเพียงไม่กี่ประโยค กลับ ทำให้หวังชื่อกระวนกระวายทันที ลูกทรงเกอเอ๋อร์ของตนเรียน หนังสืออยู่ที่สำนักศึกษาจงเสว นางลืมนึกไปเลยว่าถึงแม้ ตระกูลสวีจะถดถอยลงไปมาก แต่ก็ยังทำหน้าที่กำกับดูแล สำนักศึกษาหลีซาน ซึ่งเป็นหนึ่งในสามสำนักศึกษาที่ดีที่สุดใน ใต้หล้านี้ และเป็นสำนักศึกษาที่ดีที่สุดเพียงสำนักเดียวบนแผ่น ดินต้าฉู่

ปีนี้นางอยากให้ทรงเกอเอ๋อร์ไปเรียนหนังสือที่สำนัก ศึกษาหลีซานพอดี การสอบเคอจปีหน้า ลูกของนางจะได้พอรู้ แนวทางบ้าง หากนางเล่นลูกไม้กับสินเดิมของเยี่ยหลีแล้ว เกรง ว่า…เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ นางจึงตวัดสายตาไปจ้องหน้าสวีฮูหยิน ด้วยความคับแค้นใจ

สวีฮูหยินไม่สนใจอะไร เพียงยิ้มน้อยๆ

หวังชื่อเปลี่ยนสีหน้าเป็นนิ่งเฉย แล้วกล่าวว่า “ทรงเกอเอ อร์อายุยังน้อย คงจะต้องรออีกสักสองปี แล้วยังเป็นถึงน้องร่วม อุทรของเจ้าอี้ แค่การสอบเคอจะไปยากอะไร

สวีฮูหยินพยักหน้ารับค่เห็นด้วย กล่าวยิ้มๆ ว่า “ทรงเกอ เอ๋อร์มีความมั่นใจแน่นอนว่าย่อมดีที่สุด เพียงแต่พี่ชายน้อง ชายของหลิวกุ้ยเฟย[2] ที่สอบได้เป็นถึงขั้นโล่ว [3] ของเมืองหลวง และเจี๊ยหยวน [4] กลับไม่วางใจในความสามารถของตน ถึงกับต้องไปขอคำแนะนำจากนายท่านผู้เฒ่าที่อยู่ไกลถึงสำนัก ศึกษาหลีซาน นี่ก็ดูจะตื่นตัวเกินไปสักหน่อย บุตรชายของเจ้า คงไม่ต้องทำถึงเพียงนั้น ถึงอย่างไรคงสอบได้อันดับหนึ่งทั้ง สามการสอบเป็นแน่ แล้วยังช่วยเป็นหน้าเป็นตาให้เขาได้อีก ด้วย

หวังชื่อได้ฟังเช่นนี้สีหน้าย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม หลิวกุ้ยเฟยได้ ชื่อว่าเป็นหญิงสาวที่ชาญฉลาดและมากความสามารถที่สุดใน บรรดาสาวๆ ทั้งหมดในเมืองหลวง เมื่อเข้าวังไปก็เป็นที่ โปรดปรานมาโดยตลอด แล้วยังคลอดองค์ชายอีกสององค์ และองค์หญิงอีกหนึ่งองค์ จนได้เลื่อนขั้นเป็นกุ้ยเฟย กดหัวบุตร ของนางอย่างเห็นได้ชัด

บุตรชายตระกูลหลิ่วก็ขึ้นชื่อเรื่องความเก่งกาจสามารถจน ทำให้บุตรของนางกลายเป็นเด็กธรรมดาที่ไม่มีผู้ใดพูดถึง หาก ปีหน้าบุตรชายตระกูลหลิ่วสอบเป็นจ้วงหยวนได้อีก เราจะ ต้องโกรธมากแน่ๆ อันที่จริงอายุของเยี่ยทรงกับบุตรชาย ตระกูลหลิ่วก็ต่างกันหลายปี อย่างไรคงเอามาเปรียบกันไม่ได้ แต่ด้วยเยี่ยทรงเองเป็นเด็กที่มีความสามารถธรรมดาๆ คนหนึ่ง ไม่โดดเด่นอะไร เลยยิ่งทำให้หวังชื่อรู้สึกไม่ถูกโฉลกกับบุตร ชายตระกูลหลิ่วเข้าไปอีก

หวังชื่อส่งเสียงเบาๆ แล้วเหลือบมองหน้าเยี่ยหลีเล็ก น้อย “หากได้รับคำชี้แนะจากนายท่านผู้เฒ่าสวี เป็นธรรมดาที่ ทรงเกอเอ๋อร์จะมั่นใจมากขึ้น ประโยคนี้ชื่อว่านางยอมลงให้แล้ว

แต่สวีฮูหยินก็ยังไม่มีท่าทีอะไร นางเพียงยิ้มน้อยๆ “ข้าก็ แค่พูดไปอย่างนั้นเอง เยี่ยฮูหยินเป็นคนฉลาด มองการณ์ไกล ถึงอย่างไรคงไม่รังแกบุตรสาวของภรรยาเอกคนก่อนหรอก ข้า กลับไปจะไปขอรายการสินเดิมของคุณหนูใหญ่ตระกูลข้าส่งมา ที่จวนให้พวกเจ้าตระเตรียมกันใหม่ก็แล้วกัน ประเดี๋ยวจะไม่ทัน วันมงคลของหลีเออร์”

หวังชื่อได้แต่เดินหน้าตึงออกไป พร้อมเสียงหัวเราะเย็นๆ ของสวีฮูหยินดังไล่หลัง

[1] การสอบเคอรี่ คือการสอบคัดเลือกเข้าเป็นขุนนาง ระดับราชสำนัก ผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่งเรียก จ้วงหยวนหรือจอ หงวน อันดับสองเรียกฝั่งเหยียน อันดับสามเรียกกันฮวา

[2] กุ้ยเฟย ตำแหน่งพระสนมชั้นสูง รองจากฮองเฮา และ หวงกุ้ยเฟย

[3] อันโว คำเรียกผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่งในการสอบ ขุนนางระดับประเทศหรือระดับเมือง

[4] เบี้ยหยวน คำเรียกผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่งในการสอบ ขุนนางระดับมณฑล


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ