เกิดอีกคราเป็นชายาตัวร้าย

บทที่ 1 อุบัติเหตุบนหน้าผา



บทที่ 1 อุบัติเหตุบนหน้าผา

…ข้าตายแล้ว! ข้าตายแล้วจริงๆ หรือ?….

รถม้าที่แยกส่วนเป็นเสี่ยงๆ อยู่ตรงหน้ายังไม่น่ากลัวเท่าร่าง ของนางในชุดเจ้าสาวสีแดงสดที่พาดฟุบอยู่บนโขดหินเบื้องหน้า เลือดสดๆ ไหลอาบทั่วร่าง ใบหน้าบิดเบี้ยวจนแทบจะมองเค้า เดิมไม่ออก สองแขนห้อยเหมือนไร้กระดูก เท้าสองข้างบิดกลับ หลัง ศพของนางกระเด็นออกจากรถม้าไปไม่ไกลนักคงจะเป็น เพราะการกระแทกกับก้อนหินบริเวณนี้ พลันนางจึงนึกขึ้นได้ว่า ในรถม้าคันนี้มีสาวใช้ประจำตัวที่นั่งมาด้วย “หยวนจุน! หยวนจุน!” นางส่งเสียงร้อง พยายามมองหาสาวใช้ประจำตัว รอบข้างช่างเงียบงันนัก นางขยับออกไปไกลกว่าเดิม ยามนี้ใกล้ จะฟ้าสางแล้วทำให้พอมองเห็นได้รางๆ

นางก้มลงมองตนเองยิ่งตกใจเมื่อเห็นว่าตั้งแต่หัวเข่าจนถึง ปลายเท้าของตน ไม่มีอยู่แล้ว ร่างของนางคล้ายลอยไปตามที่ จิตตั้งความปรารถนา

จริง! ขาตายไปแล้ว นี่เป็นเพียงวิญญาณเท่านั้น…

ความรู้สึกเจ็บปวดที่จำได้เลือนรางเพียงไม่กี่อึดใจนั้นไม่มี หลงเหลืออยู่แล้ว นางจำได้ว่าอนุสติสุดท้ายได้ยินเสียงรถม้า กระทบกับก้อนหินดังลั่น ร่างของนางถูกอัดอย่างแรง หน้าอกถูก กระแทกคราหนึ่งบีบแน่นจนหายใจไม่ออก จากนั้นนางก็วูบดับ ไป รู้ตัวอีกทีก็มายืน ไม่…ลอยนิ่งๆ อยู่เบื้องหน้าเศษซากรถม้านิ่มแล้ว!

นางลอยไปรอบๆ จนพบศพหยวนจุนที่กระเด็นไปติดอยู่ใน ซอกหินใหญ่ ริมแม่น้ำ ใบหน้าของนางเละไปอีกหนึ่ง แขนขา ห้อยรุ่งริ่งสลับกลับข้างอย่างน่ากลัว ร่างของเยาหยวนจุนเองก็ แหลกเหลวไม่ต่างจากศพของนาง

“หยวนจน ข้าขอโทษที่พาเจ้ามาตายอนาถเช่นนี้

นางมองไปรอบๆ แล้ววิญญาณของหยวนจนเล่า? เหตุใดนาง จึงไม่เห็นวิญญาณของสาวใช้คนสนิท? ทั้งๆ ที่เป็นคนตาย เหมือนกันแท้ๆ นางจึงตะโกนร้องเรียกอีกครั้งเพื่อวิญญาณของ หยวนจุนจะได้ยิน

….แปลกจริง! หรือว่า? วิญญาณหยวนจนจะถูกยมทูตพาไป ก่อนแล้ว….

เวิ้งแม่น้ำนี้มีแต่โขดหินระเกะระกะ หินขนาดใหญ่น้อยวาง ทับซ้อนกันอยู่เป็นบริเวณกว้าง มองเลยออกไปเป็นหน้าผาสูงชัน หน้าแหงนมองจนรู้สึกปวดคอ นางอยากจะตะโกนร้องให้คนช่วย แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนเองคือดวงวิญญาณที่ออกจากร่าง ยังคงได้ แต่สงสัยว่าจากนี้นางต้องทำอย่างไร? หรือต้องรอให้มียมทูตมา รับนางไปยมโลกอย่างที่เคยอ่านในบันทึกเก่าแก่? จากนั้นก็ไป เข้าแถวดื่มน้ำแกงยายเมิ่งเพื่อให้ลืมชาติที่แล้วเป็นการเตรียมมา เกิดใหม่

เสียงฝีเท้าม้าก้องไปทั่วหุบเขา เผยรู้สึกใจเต้นโครม ครามด้วยความตื่นเต้น มีคนผ่านมาทางนี้แล้ว หากว่านางยังคงนั่งรอเฝ้าดักข้างบนดีกว่า รถม้าของนางเองก็มาจากข้างบนนั่น นางหันกลับมองซากรถและของตนเองอย่างเศร้าใจ

…แปลกจริงไม่ซากแม้สักตัว…

เพียงจิตปรารถนาจะขึ้นข้างตรงตามหน้าผา รถม้าคันใหญ่วิ่งช้าๆ เพราะชัน เผยซีถูกดึงดูดจนร่างนางลอยหรือเข้าไปแปะติดอยู่ ข้างม้า จากวูบเข้าไปในม้า นางมองเห็นเด็กหญิง หน้าตาจิ้มลิ้มอายุประมาณสิบขวบนอนหายใจรวยริน โดยมี หยินงดงามหนึ่ง

“หลานเอ๋อร์เจ้าอดทนหน่อยเถิด ไม่นานถึงโรงหมอ แล้วโฉมงาม

เผยก้มลงมองคนทั้งรถมาด้วยความเห็นใจ ใบหน้า ของเด็กหญิงถูกเรียกว่าหลานเอ๋อร์ซีดขาว ริมฝีปากเผือดสี แตกเป็นเกล็ดลอกออกหลายส่วน ร่างกายดูอ่อนระโหยโรย แรงคล้ายคนเจ็บป่วยมาเป็นเวลานาน เผยมซีคิดอยากออก จากรถม้าคันตั้งจิตปรารถนาเท่าใดนางอาจออกไปได้

เอ๊ะรถม้าสิ่งใดกันทำให้ข้าออกไป?

ก๋ากันว่าศักดิ์สิทธิ์นัก! เทพยดาฟ้าดินจะต้องช่วยได้

เผยชีตะลึงมองหน้ามารดาของหลานเอ๋อร์ที่กำลังตัดผ้ายันต์เหลืองผืนเล็กใส่มือของบุตรสาว เด็กหญิงมือแน่น สาวใช้จึงช่วยฮูหยินแกะมือน้อยนั้นออก ครั้นฮูหยินกุมมือของ บุตรสาวที่ยันต์เอาไว้ แสงสีทองประกายประกายจากกามือของหลานเอ๋อร์ เผยมซีมัวเห็น ว่าร่างของตนเองเข้าไปกำมือของ หลานเอ๋อร์

“โอ๊ะอ๊ะนี่เกิดอะไรขึ้น?

เด็กหญิงนอนหลับตาดิ้นกระสับกระส่ายอยู่เมื่อนอนสาวเห็นนั้นอังนิ้วที่ปลายจมูกของหลานเอ๋อร์

“ฮูหยิน คุณหนูไม่หายใจแล้วเจ้าค่ะสีหน้าของสาวเผือด

ฮูหยินได้ยินเช่นนั้นตกใจจนปาก นางสายศีรษะเหมือน

ไม่เชื่อก่อนจะยื่นนิ้ววางเหนือปากบนจนบุตรสาว

….สตรีทั้งสองเฝ้ารถม้าร้องเรียกหลานเอ๋อร์มา

พร้อมกัน เสียงร่ำไห้ระงมก้องรถม้า

หลานเอ๋อร์อย่าจากแม่ฮือฮือเสียงร่ำไห้น่า เวทนานั้นดังอยู่ไม่ขาดกระทั่งรถจอดหน้าโรงหมอ

หมอเกาเคยอยู่ที่หัวเลื่องลือ ฮ่องเต้จึงราชโองการจัดตั้งโรงหมอและดูแล ช่วยร่างใหญ่หมอเก่าขึ้นไปบนรถม้าช่วยเด็ก หญิงสิ้นสติมา ท่านหมอมองร่างระทดระทวยของเด็กหญิง สายเวทนา
“พานางเข้าไปนอนข้างใน

“ท่านหมอ! ช่วยลูกสาวข้าที นางไม่หายใจแล้ว!”

“ท่านวางใจ…เข้ารักษาผู้ป่วยทุกคนเต็มที่อยู่แล้ว” หมอเกา เดินลิ่วตามเข้าข้างใน นั่งลงตรวจชีพจรของเด็กหญิงอยู่ครู่หนึ่ง “ฮูหยินชีพจรของบุตรสาวท่านอ่อนมาจริงๆ แต่ยังพอมีความหวัง อยู่”

สตรีทั้งสองที่ยืนสะอื้นฮักๆ เมื่อครู่บนรถม้าเห็นอยู่ชัดๆ ว่า หลานเอ๋อ ไม่หายใจแล้ว คนทั้งสองหันมาจับมือกันด้วยสีหน้า ยินดีเปี่ยมล้น

“ท่านหมอ บุตรสาวของข้ามีโอกาสจะฟื้นใช่หรือไม่?

“ข้าคิดว่าเป็นเช่นนั้น” หมอเกาหันไปเทยาลูกกลอนเล็กๆ ใน ขวดกระเบื้องสีน้ำตาลใส่ปากหลานเอ๋อร์สองสามเม็ดก่อนจะ ป้อนน้ำตามไป “ร่างกายของนางยังตอบสนองดีอยู่ ท่านดูสิว่า นางกลืนยาเข้าไปแล้ว เช่นนี้นับว่าเป็นสัญญาณที่ดี เดี๋ยวข้าจะไป ต้มยาให้นางก่อน พวกท่านดูแลนางให้ดีเถิด”

เหงื่อของเด็กหญิงผุดออกมาไม่ขาดสาย เปลือกตาของนาง เริ่มขยุกขยิก ใบหน้าของนางสายไปมา ฮูหยินดีใจยิ่งนักที่ได้ เห็นบุตรสาวเคลื่อนไหวอีกครั้งเพราะเห็นหลานเอ๋อร์หยุดหายใจ นางเกือบจะกลับรถกลับไปอำเภอเฉินแล้ว

“ฮูหยินช่างเป็นโชคของพวกเราเสียจริงที่มาจนถึงโรงหมอ ของท่านหมอเกา”
“อืม! ไม่เสียทีที่ข้าจ้างรถม้าพาหลานเอ๋อร์มาถึงที่นี่” จังฮูหยิน ทอดถอนใจ เงินเก็บของนางมิได้มีมากนักที่ผ่านมาได้แต่เก็บ หอมรอบรับจากเงินที่สามีแอบให้คนนำมามอบให้เป็นครั้งคราว จนมากพอที่จะพาบุตรสาวมาหาหมอได้ แต่หากจ่ายไปในคราว นี้เห็นทีคงต้องรับงานเย็บปักเพิ่มขึ้น สินเดิมที่นางนำติดตัวมา ด้วยถูกสตรีร้ายกาจผู้นั้นใช้เล่ห์กลยึดเอาไว้ส่วนหนึ่ง สิ่งที่นาง ซุกซ่อนออกมาจากจวนได้ก็ถูกนำมาขายประทังชีวิต กระทั่งได้ พบกับเถ้าแก่เนี้ยใจดีคอยหยิบยื่นงานเย็บปักให้ จึงมีรายได้พอ เลี้ยงบุตรสาวและดูแลสาวใช้ที่ติดตามอย่างจงรักภักดี

“ฮูหยินท่านอย่ากังวลไปเลยเจ้าค่ะ ท่านหมอเกามีวิชาแพทย์ ล้ำเลิศ ย่อมช่วยชีวิตคุณหนูได้แน่ กลับไปข้าจะขยันช่วยท่านเย็บ ปักงานให้เยอะกว่าเดิม พวกเราจะได้มีเงินพอใช้จ่าย

“เสี่ยวลิ่งที่ผ่านมาเจ้าเองก็ยอมอยู่ดูแลพวกเราทั้งๆ ที่ไม่อาจ จ่ายค่าจ้างได้ ข้าเองก็ละอายใจอย่างยิ่ง นับตั้งแต่หลานเอ๋อร์ เจ็บป่วยเจ้าเองก็ต้องเหน็ดเหนื่อยช่วยข้าหาเงินอีก เพียงเท่านี้ก็ ไม่รู้ว่าจะชดเชยเจ้าอย่างไรไหว?

เสี่ยวลิ่งเห็นสีหน้าจังฮูหยินก็รีบยื่นมือไปกุมอีกฝ่ายเอาไว้ “ท่านอย่ากล่าวเช่นนั้น ข้าเป็นเด็กกำพร้าที่สกุลจังเมตตาชุบ เลี้ยง ขอเพียงมีที่อยู่ที่กินให้ข้า เบี้ยหวัดย่อมไม่จำเป็นต้องจ่าย ให้ข้ายินดีตอบแทนพระคุณท่านไปชั่วชีวิต”

“หากไม่มีเจ้า ข้าสองคนแม่ลูกคงไม่อาจจะอยู่ดีมีสุขมาจน ป่านนี้ ความจริงพวกเราต่างหากที่ได้พึ่งพาเจ้า


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ