อย่าลืมรัก

Chapter 3



Chapter 3

Chapter 3

ครั้งหนึ่งในห้วงแห่งความทรงจํา…

“คุณเดย์คะ”

ในขณะที่ผมและซงโฮเดินกลับมาจากซุปเปอร์มาเก็ต เพื่อไปซื้อของว่างเล็กน้อยยามดึก ก่อนจะต้องกลับไป คิดเมโลดี้กันต่ออีกทั้งคืน อยู่ๆกลับมีเสียงเรียกปริศนาดัง ขึ้นจากมุมมืดข้างประตูรั้วของตึกค่ายเพลง ทว่าเมื่อหัน ไปมองกลับพบสาวตาคมคนเดิมที่คอยเฝ้าติดตามผมมา ตั้งแต่สมัยที่พวกเราเป็นวงใต้ดินเช่าห้องทำเพลงและเล่น ดนตรีประจำที่บาร์ฝรั่ง จนบัดนี้ได้ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ฉุด พวกเราให้โผล่พ้นดินขึ้นมาเป็นที่รู้จักในหมู่กว้าง เธอก็ยัง ไม่เคยย่อท้อที่จะนำของขวัญมาให้ จนในบางครา ด้วย ความเบื่อหน่าย ผมแอบมีความรู้สึกอยากแสร้งทำเป็นไม่ ได้ยินบ้าง แต่อีกใจหนึ่งก็อดสงสารสาวเจ้าที่ยืนรอคอย จะได้เจอผมมานานหลายชั่วโมงไม่ได้เช่นกัน

“เดย์ พี่ว่าแกเข้าตึกไปก่อนไป เดี๋ยวทางนี้พี่จัดการเอง”

ซงโฮกระซิบกับผมพลางส่งสายตาขึงขังดุดันให้สาวคน นั้นเพื่อเป็นการตักเตือน
“พี่ แต่เธอก็น่าสงสารออกนะ ยืนรอตั้งหลายชั่วโมงแล้ว มั้งนั่น อีกอย่าง เธออยากเจอผมไม่ได้อยากเจอพี่สัก หน่อย”

ผมฉีกยิ้มทะเล้นจนตาเฉี่ยวโค้งขึ้นอย่างยียวนกวน อารมณ์ พลันทําให้ผมได้รับสัมผัสมืออันหยาบกร้านที่ส่ง แรงมายังหัวของผมจนเกือบหน้าหัน

“โอ๊ย เจ็บนะ!” ผมแสร้งทำเป็นไม่พอใจ ก่อนจะเอามือ ลูบหัวตัวเองเพื่อบรรเทาอาการแสบคัน

“ขึ้นเสียงกับใครไอ้เดย์ เดี๋ยวจะโดนดี” ซงโฮใช้นิ้วทั้งสี่ ผลักหัวผม

“ไม่ได้ขึ้นเสียงกับพี่สักหน่อย ผมแค่อยากให้พี่เห็นใจ เธอ ก็เธอน่าสงสารนี่นา เธอแค่อยากส่งของให้ถึงมือผม เท่านั้นเอง ครั้งก่อนที่พี่ลากลับบ้าน ผมแวะมาซ้อมดนตรี กับวง ผมก็เอาช็อคโกแลตเธอมากิน ก็อร่อยดีนะ หมด เกลี้ยงเลย หรือบางวันตอนดึกๆก็มีชีสเบอร์เกอร์ให้กิน ด้วย ดีจะตาย ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย” ผมพูดไปพลาง คว้าหมากฝรั่งในถุงแก๊ปมาแกะเคี้ยว ยักไหล่อย่างไม่ได้ ใส่ใจกับท่าทีขึงขังของซงโฮมากนัก

“ก็เพราะแบบนี้ไง เธอถึงได้ใจเอานั่นเอานี่ให้แกกินจน อ้วนน่ะ หืม? ถึงจะเป็นวงร็อกก็ต้องรักษาภาพลักษณ์บ้าง นะเว้ย!” ซงโฮใช้มือหยิกติ่งหูผมจนเจ็บไปหมด
“โอ๊ย! พอแล้ว ปนอยู่ได้ กีดกันนักก็ไปคุยกันเองเลย พี่ แต่…ฝากเอาของกินมาให้ผมด้วยแล้วกันนะพี่” ผมทิ้ง ท้ายและเดินผ่านหน้าเธอไปอย่างเป็นเฉย ส่วนหนึ่งผมก็ แอบเห็นด้วยกับซงโฮที่ว่าผมไม่ควรให้ความสนิทสนมกับ เธอมากจนเกินไป เพราะผมเองก็ไม่มีทางรู้ได้ว่าเธอหวังดี ประสงค์ร้ายหรือเปล่า

แสงแดดอ่อนยามเช้าของโอซาก้าส่องกระทบใบหน้าจน ผมรู้สึกอุ่นร้อนไปทั่ว ป่านนี้แล้วยังคงนอนตะแคงกอด หมอนฟังเพลงยุคเจ็ดศูนย์เหม่อมองตรงหน้านิ่งงัน ไร้จุด หมาย ไร้ซึ่งความอ่อนเพลียใดๆแม้ผมจะเล่นโทรศัพท์มา ทั้งคืน หวนย้อนนึกถึงอดีตที่ผ่านมา ดาริณคอยติดตาม ผมด้วยความห่วงใยมาโดยตลอด เธอมักจะส่งของขวัญ มาให้ผมเสมอ บ้างมายืนคอยให้ของขวัญกับมือหน้า ตึกค่ายเพลง บ้างส่งมาทางไปรษณีย์ วันไหนที่ผมขึ้น เวทีแสดงดนตรีในผับแล้วเธอสัมผัสได้ว่าผมเสียงแหบ ไป เธอจะรีบไปซื้อยาแล้วส่งผ่านมือทีมงานให้ผมทันที หรือตอนที่ผมซ้อมดนตรีจนดึกดื่นก็มีเธอนี่แหละที่คอย ซื้ออาหารมาให้ หรือในบางคราหากเธอได้มีโอกาสไป เที่ยวในสถานที่สวยๆ เธอจะถ่ายรูปทำเป็นโปสการ์ดส่ง มาให้ผมได้ชื่นชมผลงาน แม้ใครต่อใครจะขนานนามให้ เธอเป็นซาแซงโรคจิต (แฟนคลับโรคจิตในภาษาเกาหลี) ทว่าสำหรับผม ผมเปรียบเธอเป็นเสมือนดั่งเพื่อนคนหนึ่ง ที่เติบโตมาด้วยกัน เพราะเรามีความความชอบและไลฟ์ สไตล์ที่คล้ายกัน
ผมสัมผัสได้ถึงการสั่นสะเทือนของโทรศัพท์ภายใต้ กรอบลายสกรีนรูปโลโก้ของวงคู่ใจใต้หมอน คว้ามัน ออกมาเพื่อตรวจดูการแจ้งเตือน ซึ่งเป็นข้อความสถานะ ล่าสุดของดาริณผ่านสื่อโซเชียล ได้เห็นแล้วก็ทำให้ไม่ สามารถนอนอยู่เฉยได้อีกต่อไป จึงเด้งลุกออกจากเตียง อย่างกระตือรือร้น รีบอาบน้ำแต่งตัวด้วยเสื้อยืดสีขาว และกางเกงเอี๊ยมสีดำ เสยผมตรงสลวยไพล่หลังก่อนสวม หมวกไบเล่ทับลงไป เมื่อเสร็จแล้วจึงรีบคว้าคีย์การ์ดที่ซง โฮให้ผมไว้เมื่อคืน สอดส่องทั่วห้องเพื่อรีบปลูกใครสักคน ที่พร้อมไป ‘ที่นั่น’ เป็นเพื่อนกัน

ทันทีที่ผมแตะคีย์การ์ดเข้าไปในห้องของซงโฮ ผมได้ เห็นสภาพแต่ละคนเมามายไม่ได้สติ เคนนอนกางแขน กางขากองอยู่บนพื้นโดยมีจีซุนกอดซบอยู่เคียงข้าง มัน ช่างเป็นภาพที่อุจาดตาน่าชวนอ้วกยิ่งนัก ส่วนโจนั่งพิง ขอบเตียงเงยหน้าหลับไม่รู้ร้อนรู้หนาว เนลสันก็นอนคว่ำ ขวางเตียงเสียเฉยๆ ซงโฮกอดโถส้วมหลับคาชักโครก ผม ละคันไม้คันมืออยากจะถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึกนัก แต่ สิ่งที่แล่นมาในหัวของผมเมื่อนึกถึงข้อความของดาริณ จึงต้องอดใจเอาไว้ เพราะการไปเจอดาริณนั้นสำคัญเกิน กว่าจะมาเล่นพิเรนทร์อะไรทั้งนั้น

“ตื่นเร็ว” ผมทั้งตบก้นทั้งผลักหัว แต่พวกเขาก็ไร้วี่แววที่ จะตื่น

“อืม อารายของแกวะไอ้เดย์ คนจะน้อน” ดั่งสวรรค์ฟ้า ทรงโปรด เนลสันขยับปากด่าผมแล้ว เขานี่แหละจะต้องไปอาร์ตแกลเลอรีกับผม เขาคือคนที่ถูกเลือก

“ตื่นเร็วป่า ไปอาร์ตแกลเลอรีเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ” ผม ดึงแขนแทบจะฉุดกระชาก นาทีนี้ผมขอวิธีไหนก็ได้เพื่อ ทำให้เขาลุกออกจากเตียงขึ้นมาให้จงได้

“มาอาร์ตอะไรของแกแต่เช้าว่า คนจะนอน” เนลสันตอบ ผมเสียงเอื่อย

“นะพี่เนล พาผมไปอาร์ตแกลเลอรีหน่อย” คนขี้เซากลับหันหน้าหนีฟุบแขนนอนต่อ “ถ้าไม่ไป ผมจะแฉว่าป่า…”

ได้ผล… ในที่สุดก็ยอมตื่นและเด้งตัวขึ้นมาล็อคคอผมไว้

แน่น

“งั้นแกก็ตายก่อนจะไปอาร์ตแกลเลอรีบ้าบออะไรนั่น” เนลสันกัดฟันกรอดที่ข้างหู

“จะ…ใจเย็นๆ ป่า ผมแค่อยากทำให้ป่าตื่นเฉยๆหรอกน่า เร็วป่า ลุกเถอะ ไปกับผมหน่อยนะ”

ในที่สุดจึงยอมปล่อยผมและลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวจากนั้นเราสองคนก็ออกจากโรงแรมเพื่อไปอาร์ตแกลเลอ

รีด้วยกันทันที

หลังจากที่ฉันเก็บข้าวของเสร็จ จึงรีบออกจากพื้นที่ คอนเสิร์ตเพื่อหาห้องอาบน้ำ หวังที่จะได้ชำระร่างกาย ก่อนจะตะลุยเที่ยวต่อในวันนี้ เดินตระเวนหาจนทั่วก็เจอ กับห้องอาบน้ำรวมที่ผู้หญิงทุกคนต้องแก้เสื้อผ้าเข้าไป แช่อ่างร่วมกันด้วยเรือนร่างเปลือยเปล่า ฉันเดินลงแช่ใน อ่างอย่างทุลักทุเลพลางวางสายตาดูกระอักกระอ่วน แต่ จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเข้าเมืองตาหลิ่วมาขนาดนี้เห็นที คงต้องหลิ่วตาตาม เมื่อแล้วจึงเดินลากกระเป๋าไป ตามทางฟุตบาทอย่างเอ้อระเหย เกิดคำถามผุดขึ้นในหัว มากมายจนรู้สึกสับสนใจ จุดประสงค์ที่ฉันมาถึงที่โอซา ก้านั้นคืออะไร เพียงเพื่อที่จะได้ตามติดชีวิตร็อกเกอร์แค่ นั้นเองเหรอ? ไร้ค่าสิ้นดี เป็นอย่างไรล่ะ? ตอนนี้เขามีคน อื่นในใจ ฉันจะไปมีความสำคัญอะไรอีก?

‘งั้นเราเลื่อนตั๋วกลับวันพรุ่งนี้ไปเลยดีไหม?

ฉุกคิดขึ้นได้ดังนั้นจึงรีบคว้าโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพาย ขวางใบเล็กสีน้ำตาลเข้มขึ้นมาเพื่อจะโทรเลื่อนไฟลท์ แต่ แล้วกลับมีข้อความแจ้งเตือนขึ้นมาจาก ‘ซง’ แฟนคลับวง ชาร์มมิ่ง พริซอนเนอร์ คนเดิมที่สนทนากันค้างไว้จากเมื่อ คืน และบัดนี้เขาก็ได้ทิ้งข้อความให้ฉันมา


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ