๑.๔ ผู้ร้ายปากแข็ง
“ห…ห…หยุด…” ยศสิตาครางออกมาเหมือนคนละเมอเสียง ตั้งเท่ากระซิบ และพยายามรวบรวมเรี่ยวแรงที่มีผลักอกเขาไว้แต่ ชายหนุ่มกลับยิ่งระดมจูบอย่างดูดดื่มจนหลอนอ่อนระทวยไปทั้ง ร่าง ริมฝีปากหนาดูดเม้มกลีบปากอิ่มสลับบนล่างเบาๆ อยู่เป็น นานกว่าจะถอนจูบ
ปากรูปกระจับกลายเป็นสีแดงจัด ใบหน้าหวานระเรื่อแดง ดวงตาหวานหยดกะพริบถี่ๆ จ้องมองหน้าเขาเขม็งเหมือนตื่น จากความฝัน…
“คนบ้า คนฉวยโอกาส เกลียดที่สุด!”
“บอกมาเป็นร้อยครั้งแล้ว ผมจำได้ขึ้นใจ” ภูริภัชร์อมยิ้ม “จะบอกอย่างนี้ตลอดไป
“หมายความว่าจะอยู่ทะเลาะกับผมไปตลอดชีวิตเลยใช่ไหม” เขาพูดด้วยอารมณ์ขบขัน หลิ่วตาให้อย่างล้อเลียน
“บ้า!!!” หญิงสาวตวัดเสียง ใส่ มองเขาตาเขียวปั๊ด
“ไม่อยากอยู่กับผมจริงๆ น่ะเหรอ” เขาจ้องหล่อนนิ่ง ใบหน้า แสนหวานที่เปล่งปลั่งด้วยเลือดสาว งดงามราวกับดอกกุหลาบ แรกแย้ม ผมยาวปล่อยสลวยเต็มบ่า เวลานี้มันช่างชวนมองจน ทำให้ชายหนุ่มจับจ้องไปอย่างลืมตัว
“จ้องอะไร?”
“อยากรู้ว่ารสจูบผมมันจืดชืดจริงหรือเปล่า”
“ใช่! จืดชืด ไร้รสชาติและน่าขยะแขยงที่สุด” หญิงสาวหยีหน้า ตอบโต้ออกไปด้วยสิ่งที่ตรงข้ามกับความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง หล่อนไม่มีทางปฏิเสธได้เลยว่าจูบของเขาช่างหวานหวามตรึงใจ ยิ่งนัก
“เพราะผมมันเป็นแค่ชาวไร่ต่ำต้อยใช่ไหม ไหนจะไปเทียบชั้น คุณหนูเอยลูกสาวเจ้าของโรงแรมชื่อดังได้” พูดจบเขาก็หันหลัง เดินไปหยุดตรงหน้าต่าง ยืนกอดอกมองสายฝนที่กำลังตกพรำๆ อยู่ข้างนอก อย่างไม่คิดจะสนใจหล่อนอีก
หญิงสาวสะอึก คำพูดนั้นทำให้คนฟังคอแข็งทันที นึกอยากจะ ตะโกนใส่หน้านักว่าหล่อนไม่เคยคิดรังเกียจที่เขามีอาชีพอะไร คนอะไรช่างสรรหาคำพูดมาประชดประชันเก่งนัก จะว่าไปแล้ว สถานะทางการเงินของครอบครัวเขาก็มั่งคั่งและมั่นคงกว่า ครอบครัวหล่อนด้วยซ้ำ แต่เหตุผลที่หล่อนตั้งป้อมกับเขาก็ เพราะ…กลัวใจตัวเองต่างหาก ภูริภัชร์เป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์อย่าง ร้ายกาจ หล่อนเองก็ประจักษ์ต่อสายตามาแล้ว ยศสิตาเกลียด ความเป็นผู้ชายเจ้าเสน่ห์ของเขา
ร่างอรชรเดินไปนั่งลงที่อีกมุมหนึ่งและไม่ยอมปริปากพูดอะไร เช่นกัน ต่างคนต่างเงียบตามแบบฉบับของตัวเอง ห้องทั้งห้องจึง ตกอยู่ในสภาวะที่น่าอึดอัดชั่วขณะ
“จะไปฝรั่งเศสเมื่อไหร่?” ชายหนุ่มเป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา
หญิงสาวมองไปทางภูริภัชร์อย่างแปลกใจ เขารู้เรื่องที่หล่อน กำลังจะไปเรียนต่อด้วยเหรอ? “เดือนหน้าค่ะ…” เสียงหวานตอบเรียบๆ “แล้วคุณจะ
แต่งงานกับคุณอิงฟ้าเมื่อไหร่?” ไม่รู้อะไรทำให้ยศสิตาถามโพล่ง
ออกไปอย่างนั้น แล้วก็นึกอยากจะกัดลิ้นตัวเองเมื่อเขาหันมาจ้อง
หล่อนอย่างค้นคว้าราวกับกำลังจับพิรุธ
“อยากให้แต่งจริงๆ น่ะเหรอ?” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ดวงตา ที่นิ่งเฉยกลับมาแพรวพราวระยับอีกครั้ง
“มันเรื่องของคุณ”
“แน่ใจนะว่าถ้าผมแต่งกับคนอื่นจริงๆ แล้วจะไม่ร้องไห้ขี้มูก โป่ง”
“แน่ใจสิ ทำไมเอยจะต้องร้องไห้ด้วย” ยศสิตาย่นจมูกใส่และ โต้เสียงแข็งก่อนจะสะบัดตัวฟีดฟัดลุกขึ้นหันหลังให้เขาอย่าง รวดเร็วเพื่อซ่อนอะไรหลายอย่างที่อาจจะเผยให้อีกฝ่ายได้สังเกต เห็น
รอยยิ้มแสนเสน่ห์ผุดขึ้นที่มุมปากของชายหนุ่มแต่ก็ไม่ตอบโต้ อะไร ร่างสูงสง่าก็เดินไปเปิดประตูกระท่อมออก ตอนนี้ฝนเริ่มซา ลงเหลือเพียงละอองเม็ดเล็กๆ เขาจึงหันไปคว้าข้อมือบางให้เดิน ตามและพากลับไปยังรถ หลังจากนั้นรถจี๊ปคันเดิมก็แล่นช้าๆ จากท้ายไร่มุ่งหน้ากลับไปยังบ้านหลังใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าของไร่
ตลอดทางยศสิตานั่งคอแข็งและถ้าจะมองอะไรสักอย่างก็คง เป็นวิวทิวทัศน์ข้างทาง ยกเว้นสิ่งเดียวที่หล่อนไม่มองก็คือ ใบหน้าหล่อคมคร้ามของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ หากชายหนุ่มก็ไม่คิด จะตอแยนอกจากอมยิ้มเป็นระยะๆ เมื่อปรายตามองเสี้ยวหน้า สวยหวานที่ขยันทําหน้าบูดบึงใส่เขา
ภูริภัชร์ใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาทีรถจี๊ปคันนั้นก็ตรงเข้ามาจอด อย่างนิ่มนวลบริเวณลานจอดรถหน้าบ้านวลีพรรณ หญิงสาวไม่ เสียเวลาคิด รีบก้าวพรวดลงจากรถด้วยความรวดเร็วและเดิน ฉับๆ เข้าบ้านอย่างไม่เหลียวหลัง
สายตาคู่คมได้แต่มองตามแผ่นหลังหล่อนแล้วส่ายหัวยิ้มๆ
งอนอีกตามเคย เขารำพึงในใจกับตัวเอง
ส่วนอีกคนเมื่อปิดประตูห้องแล้วก็รีบตรงเข้าห้องน้ำ ไปหยุด ยืนทำหน้าบึ้งตึงอยู่หน้ากระจกพลางยนจมูกใส่ตัวเอง เมื่อคิดถึง รสจูบที่ซาบซ่านหวานระรื่นและแสนอบอุ่นของเขา ใบหน้าขาว เนียนก็แดงซ่านขึ้นมาอีกทันที
“เผลอให้คนขี้เก๊กนั่นจูบอีกจนได้” เสียงหวานบ่นพึมพำแต่ริม ฝีปากเย้ายวนกลับเผลอยิ้มเขินๆ ออกมาอย่างไม่รู้ตัว
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ