จักรพรรดิเซียนตกสวรรค์

บทที่ 13 ถ้าพวกเราไม่ไปล่ะ



บทที่ 13 ถ้าพวกเราไม่ไปล่ะ

โจวจิ้งตกใจจนหน้าซีด ไม่รอให้เลขาหยางได้พูดอะไร เขาก็มอง โจวเฟินด้วยสีหน้าโกรธปนอ้อนวอน น้ำเสียงของเขาสั่นเครือ เหมือนจะร้องไห้ “พี่ครับ นี่พี่คิดจะทำอะไรกัน นั่นคือเลขาหยาง นะครับ!”

“พี่ตั้งใจจะฆ่าผมหรือไงกัน?” โจวจิ้งร้อนใจจนกระวนกระวาย

โจวเฟินจ้องไปที่โจวจิ้ง แล้วพูดตำหนิด้วยสีหน้าโกรธจัด “ไม่ ว่าคนบ้านตระกูลโจวของเราทำอะไร ขอแค่ไม่ผิดต่อจิตสำนึกฟ้า ดินก็พอ ทำไมต้องสนหน้าใครด้วย!”

โจวจิ้งร้อนใจจนร้องไห้ นี่คือพี่สาวๆแท้ของเขาเหรอ? หยางรุ่ยไม่สนใจโจวเฟิน แต่มองไปที่โจวจิ้งด้วยสายตาเย้ย หยัน “ผู้จัดการโจวนี่คือคำตอบของคุณเหรอครับ?”

โจวจิ้งรีบอธิบายทันที “เลขาหยางท่านฟังผมพูดก่อน พี่สาว ของผมเธอยังไม่ค่อยได้สติน่ะ ท่านอย่าฟังเธอพูดจาเหลวไหลนะ ครับ ผมจะรีบพาคนออกไปเดี๋ยวนี้ แล้วสละห้องให้ท่านครับ!”

พูดจบโจวจิ้งก็ใช้สายตาขอความช่วยเหลือจากเซี่ยเจี้ยนโก๋

ในขณะที่ตัวเขาเองก็ยังพูดจาเกลี้ยกล่อมว่า “พี่ครับ ถือว่าผม ขอร้องพี่นะ พี่อย่ายุ่งเรื่องนี้จะได้ไหม?”

โจวเฟินพูดอย่างโมโหว่า “เป็นพวกเขาต่างหากที่ไม่เอาเหตุผลมาก่อน พวกเรากำลังทานข้าวกันอยู่ มีเหตุผลอะไรมาไล่ เรา! นายเองก็จ่ายเงินนะ ยังไงก็ต้องมาก่อนมีสิทธิ์ก่อน

“เธอก็พูดให้น้อยลงบ้างเถอะ เธออยากเห็นน้องชายเสียงาน หรือยังไงฮะ?” สีหน้าของเซี่ยเจี้ยนโก๋ดจนปัญญา แต่งงานกันมา ก็หลายปีขนาดนี้แล้ว แต่อาการเอาจริงเอาจังของโจวเฟินก็ไม่ เคยแก้ได้เลย

“แม่คะ นี่เป็นธุระของคุณอานะคะ แม่เคารพการตัดสินใจของ คุณอาเถอะค่ะ!” เซี่ยหยูเวยพูดจาเกลี้ยกล่อม

“ใช่แล้ว เสียวเฟิน ลูกก็ให้เสียวจิ้งเป็นคนเลือกเองเถอะ!” พ่อ ของโจวเฟินก็ช่วยพูดด้วยอีกแรง

โจวเฟินจ้องมองทุกคนคนอย่างโกรธเกรี้ยว เธอรู้สึกว่าคน เหล่านี้ช่างไม่มีอุดมการณ์เลยสักนิด แต่เธอจะยอมขัดใจกับคน มากขนาดนี้เพราะอุดมการณ์ไม่ได้

ทำอะไรไม่ได้แล้ว โจวเป็นทำได้เพียงหันหน้าหนีไปทางอื่น แล้วไม่พูดอะไรอีก

สีหน้าของเลขาหยางผ่อนคลายลงกลับไปเป็นรูปลักษณ์ที่คุ้น เคยเป็นอย่างดี “ต้องประมาณนี้แหละครับ ในเมื่อตัดสินใจแล้ว ก็ออกไปซะ!”

คนกลุ่มใหญ่ที่เดิมกำลังครึกครื้น ตอนนี้กลับกลายเป็น เงียบกริบ ไม่ว่าจะเป็นใคร ถ้าทานอาหารกันอยู่แล้วถูกไล่ออก มากลางคันแบบนี้ก็คงจะไม่ค่อยพอใจเท่าไรกันทั้งนั้น
“เดี๋ยวก่อน ใครบอกกันว่าเราจะไป?” จู่ๆก็มีเสียงเบาดังแว่ว ขึ้นจากที่ไหนสักแห่ง ซึ่งได้ยินชัดเจนมากในห้องที่เงียบสงบ

สายตาของทุกคนไม่มองหาเจ้าของเสียงพูดนั่นทันที

เมื่อเห็นว่าคนพูดคือหลินหยุน โจวจิ้งก็โกรธจนปอดแทบจะ ระเบิด

ไอ้เจ้าเด็กบัดซบนี้ต้องถือโอกาสเอาคืนผมแน่

“หุบปากซะ ผู้ใหญ่อยู่เยอะขนาดนี้ เด็กอย่างแกมีสิทธิ์พูด แทรกตั้งแต่เมื่อไหร่กันฮะ!” โจวจึงชี้นิ้วไปที่หลินหยุนด้วยความ โมโห

“ไอ้หนุ่ม รีบนั่งลงซะ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเลยนะ!” เพื่อนของโจว จึงคนนั้นหัวเราะเยาะอย่างเหยียดหยาม

เซี่ยเจี้ยน โก๋จ้องหลินหยุน แล้วพูดด้วยความโมโหว่า “หลิน ที่นี่มีพื้นที่ให้แกออกเสียงหรือไง ไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่!! เซี่ยเจี้ยน โก๋เก็บกดมานาน เขาหาเวลาที่จะได้สั่งสอนหลินหยุ นมาโดยตลอด

ป้าสะใภ้ใหญ่สีหน้าเต็มไปด้วยความรังเกียจที่มีต่อหลินหยุน เธอพูดกับโจวเฟินว่า “พี่สาวรอง เธอควรจะควบคุมดูแลลูกเขย แต่งเข้าของเธอซะบ้างนะ!”

เมื่อเห็นว่าทุกคนกำลังตำหนิหลินหยุนอยู่ โจวเถียนเถียนก็รีบ พูดขึ้นทันทีว่า “วันนี้เขายังล่วงเกินท่านรองจินด้วยนะ!”

“อะไรนะ!?”
โจวจิ้งร้องเสียงหลงเหมือนเห็นผี ท่านรองจินน่ะเป็นคนที่ แม้แต่เลขาหยางก็ยังต้องให้ความเคารพ

“ไอ้เด็กบัดซบ! แกใช้ชีวิตจนเบื่อแล้วใช่ไหมฮะ? แม้แต่ท่าน รองจินแกก็ยังกล้าล่วงเกิน” โจวจิ้งพูดด่าเขาออกมาตรงๆ

คนอื่นๆพากันตำหนิและดุด่าเขาเสียงดัง ตอนนี้หลินหยุนเป็น เหมือนกับหนูที่วิ่งข้ามถนนที่ผู้คนต่างร้องรุมตีไม่มีผิด

สายตาของหยางรุ่ยที่ใช้มองหลินหยุนเปลี่ยนไปเย็นยะเยือก ในพริบตา ล่วงเกินท่านรองจีน นั่นหนักหนากว่าล่วงเกินเขาเสีย อีก

หลินหยุนถูกเลขาหยางขึ้นบัญชีดำไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เซี่ยหยูเวยมองดูหลินหยุน ความรังเกียจในดวงตาของเธอ ทำให้คนที่เห็นมีความรู้สึกอยากตาย “ไอ้คนไร้ประโยชน์นี่ เขา คิดจะอวดความสามารถอีกแล้วเหรอ? หรือเขาคิดจริงๆว่าที่ บังเอิญช่วยลูกชายของจินซื่อทรงไว้ จะทำมีคุณสมบัติพอที่จะ ท้าทายผู้บริหารระดับสูงของชิรงกรุ๊ปน่ะ?”

โจวเฟินมองไปที่หลินหยุนอย่างงุนงง เธอไม่เข้าใจว่าหลินหยุ นต้องการทําอะไรกันแน่

หลินหยุนส่งสายตาให้โจวเฟินสบายใจ จากนั้นเขากวาด สายตาผ่านโจวจิ้งไปโดยไม่หยุดเลยสักนิด

เขามองหน้าเลขาหยาง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า

“น้าเฟินไม่อยากไป ดังนั้นพวกเราก็จะไม่ไปครับ
พวกเพื่อนๆและญาติทุกคนพากันตำหนิหลินหยุนดังขึ้น

โจวจิ้งโมโหมากจนเดินตรงไปยกมือขึ้นทำท่าจะตบลงที่หน้า ของหลินหยุน “ไอ้เด็กบัดซบ แกตั้งใจสินะ ฉันตีแกตายแน่!”

โจวเฟินรีบเขามาห้าม แต่การกระทำของโจวจิ้งนั้นกะทันหัน เกินไป เธอมาห้ามไว้ไม่ทันแน่

“โจวจิ้ง แกคิดจะทำอะไรฮะ!?” โจวเป็นพูดด้วยความโมโห ดวงตามองจ้องไปที่มือของโจวจิ้งที่หวดลงมาจนอยู่เหนือหัว ของหลินหยุน เลขาหยางและทุกคนมีท่าทางราวกับกำลังดูละคร ฉากหนึ่ง

แต่แล้ว จู่ๆหลินหยุนก็ยกมือขึ้น เขาคว้าข้อมือของโจวจึงเอา ไว้แน่น

เพียงแค่สะบัดเบาๆ โจวจิ้งก็เซล้มลงไปบนพื้น

หลินหยุนมองเขาอย่างเย็นชา “ถ้าผมไม่ได้เห็นว่าอยู่ต่อหน้า น้าเฟินล่ะก็ ตอนนี้คุณคงเป็นได้กลายเป็นศพไปแล้ว!!

โจวจิ้งตกตะลึง หลินหยุนในเวลานี้ยังเป็นไอ้คนไร้ประโยชน์ที่ ใครก็แกล้งได้คนนั้นที่ไหนกัน? นี่เขาเป็นเหมือนกับสัตว์ร้ายที่ หิวโหยมาแปดวันชัดๆ

โจวจิ้งไม่สงสัยค่าพูดเมื่อกี้ของหลินหยุนเลยแม้แต่น้อย “หลินหยุน แกกล้าลงมือกับผู้ใหญ่ได้ยังไง!” เซี่ยเจี้ยนโกดเขา หลินหยุนตอบกลับมาอย่างเรียบๆเพียงหนึ่งประโยคว่า “คุณไม่เห็นเหรอครับว่าเขาลงมือก่อน?

เซี่ยเจี้ยน โก๋พูดไม่ออก

เลขาหยางมองหลินหยุนด้วยสายตาเย็นชา เขาพูดด้วยสีหน้า มืดมนว่า “ไอ้เด็กหนุ่ม เขาน่ะเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคลของบริษัท รงกรุ๊ป นายทำแบบนี้คิดจะเป็นศัตรูกับชิรงกรุ๊ปรึไง?”

เลขาหยางเห็นว่าหลินหยุนมีสองมือ เขาก็เลยไม่กล้าทำอะไร ผลีผลาม เริ่มเปลี่ยนมาใช้อำนาจจากโรงกรุ๊ปแทน

เซี่ยเจี้ยน โก๋พูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “หลินหยุน แกล่วงเกิน ท่านรองจินยังไม่พอ แกยังจะกล้าล่วงเกินเลขาหยางอีกเหรอ? แกอยากฆ่าเราให้ตายทั้งบ้านหรือไง”

หลินหยุนไม่ได้คิดเยอะขนาดนั้น เขามีเพียงแค่ความคิดเดียว เท่านั้น นั่นคือการทำให้โจวเฟินมีความสุข

โจวเฟินไม่ยอมสละห้อง ถ้างั้นหลินหยุนก็ไม่ยอมเหมือนกัน เกี่ยวกับความคิดของอื่น หลินหยุนไม่สนใจหรอก

หลินหยุนมองเลขาหยางแล้วส่ายหน้า “คุณแทนตัวเองเป็นจิน ชื่อหรงไม่ได้หรอก วันนี้เช้าผมยังอยู่กับเขาอยู่เลย เพราะงั้น พูดที่ว่าเป็นศัตรูกับชิรงกรุ๊ปนะ คุณอย่าพูดมั่วดีกว่านะครับ

“อีกอย่างต่อให้ผมเป็นศัตรูกับบริษัทชิรงกรุ๊ปจริงๆ แล้วผมมี อะไรต้องกลัวด้วย?”

เลขาหยางพูดอย่างเย้ยหยันว่า “พูดจาเหลวไหล ฐานะของ ท่านประธานจินมีเกียรติระดับไหน คนอย่างนายจะไปเจอเขาได้ยังไงกัน!”

พวกญาติๆพากันจับผิดหลินหยุนว่า “ไอ้เจ้าเด็กนี่มันบ้าไป แล้วเหรอ? คิดไม่ถึงว่าแกจะบอกว่าตัวเองเคยเจอท่านประธาน จิน คนที่มีเกียรติแบบท่านประธานจินน่ะเป็นคนที่แกจะเจอได้ ด้วยรึไง?”

“หลินหยุน นี่นายยังขายหน้าไม่พออีกเหรอ!” ในที่สุดเสียห

เวยก็ทนดูต่อไปไม่ไหว เธอตำหนิเขาด้วยสีหน้ามืดมน

“พวกคุณไม่เชื่อเหรอครับ?” หลินหยุน ใช้สายตามองกวาดทุก คน ในตอนนั้นเองมุมปากของเขาก็ยกยิ้ม “จริงสิ จินซื่อทรงยัง ให้บัตรผมมาใบหนึ่ง คุณลองดูแล้วกันว่ารู้จักมันไหม?”

หลินหยุนพูดพร้อมกับหยิบบัตรทองม่วงใบหนึ่งทิ้งลงบนโต๊ะ

“ไอ้เด็กนี่มันบ้าไปแล้วจริงๆ ใช่ไหมฮะ!?” พวกญาติๆมองไปที่ หลินหยุนด้วยแววตาสงสัยงุนงง พวกเขากังวลว่าหลินหยุนจะรับ การรังแกของพวกเขาไม่ไหว จนเกิดสติฟั่นเฟือนขึ้นมาซะแล้ว

“น้องรอง เธอรีบพาลูกเขยเธอไปตรวจที่โรงพยาบาลดูหน่อย เถอะ!” ป้าสะใภ้ใหญ่หัวเราะเยาะด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความ สะใจ

แต่แล้วเลขาหยางก็ต้องนิ่งอึ้งไปในชั่วพริบตา เขาก้าวไปข้าง หน้าสองสามก้าว แล้วหยิบบัตรทองม่วงบนโต๊ะขึ้นมาดู ก่อนที่ สีหน้าของเขาจะเปลี่ยนไปอย่างมาก

“นี่…นี่มันคือบัตรทองม่วงสูงศักดิ์ของท่านประทานจีน ท่านเคยบอกไว้ว่า ผู้ที่ถือบัตรใบนี้เป็นบุคคลที่ท่านเคารพนับถือมาก ที่สุด!”

เลขาหยางมองไปยังหลินหยุน แล้วสายตาของเขาก็เปลี่ยนไป เป็นนอบน้อมในชั่วพริบตาเดียว “ที่แท้ท่านเป็นแขกคนพิเศษของท่านประธานจิน หยางกุ้ยมีตา

หามีแววไม่ ล่วงเกินคุณชายไป หวังว่าคุณชายจะให้อภัยครับ!”

เลขาหยางโค้งตัวอย่างมีมารยาทและใช้เสียงพูดที่นอบน้อม

ความเงียบงันเกิดขึ้นภายในห้อง ทุกคนมองฉากตรงหน้าแล้ว ราวกับถูกแช่แข็ง


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ