บทที่ 3 เตียงเจ้าช่างใหญ่โต
บรรยากาศรอบวังเต็มไปด้วยบรรยากาศมงคล ทั้งผ้าที่ ประดับประดาระโยงระยางตามคานไม้ทั้งตัวอาคารและ ทางเดินสีแดง พรมปูพื้นสำหรับให้ฮ่องเต้และฮองเฮาย่าง พระบาทผ่าน ปะรำพิธีที่มีโต๊ะเก้าอี้สีแดงขลิบทอง ภาพ ประดับอันเป็นอุดมมงคลล้วนถูกคัดสรรเข้ามาในห้องโถง ใหญ่
เจ้าบ่าวตัวสูงเพรียวโดดเด่นในชุดสีแดง ในขณะที่เจ้า สาวร่างใหญ่สวมชุดแดงที่มีขนาดใหญ่กว่าเจ้าสาวทั่วไป ถึงสี่เท่า แม้จะขยายไปในทางกว้าง แต่ความสูงของนางก็ ยังอยู่ใต้ระดับจมูกของเจ้าบ่าว
‘โอ๊ย! ซูเจินกับซูเมิ่ง พวกเจ้าทำชุดเจ้าสาวเล็กไปนะ เปิ่นกงจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว’ หานซู่ลี่หมุนตัวซ้ายขวา อย่างอึดอัด สายรัดเอวที่พยายามจะให้เห็นช่วงเว้าอัน คอดกิ่ว กลับกลายเป็นเครื่องทรมานการหายใจ
เจ้าสาวร่างใหญ่ท้องร้องโครกคราก เมื่อเช้าเป่ยซูเจิน แอบเอาหมั่นโถให้นางหนึ่งลูก ท่านอ๋องเก้าที่ยืนใกล้ ได้ยินเสียงอย่างชัดเจน “เจ้าทนไหวไหม?”
“จะ จะ ไม่ไหวแล้วเพคะ” จบคำนั้น องค์หญิงหมีขาว ก็หงายผลึงลงไป ท่านอ๋องเก้าเกร็งลมปราณที่แขน ประคองนางไว้ได้ เคราะห์ดีที่ผ้าแดงปิดหน้าเจ้าสาวยังไม่ หลุดออก
บรรดาแขกผู้ใหญ่ร้องเอะอะโวยวาย ฮ่องเต้ที่ยังไม่เสด็จ กลับ มองภาพนั้นแล้วส่ายพระพักตร์เบาๆ ‘อ๋องเก้าเอ๋ย! เราคงต้องทำดีกับเจ้าให้มากขึ้น เกือบไปแล้ว เกือบเป็น เราที่ต้องเป็นเจ้าบ่าว’
ห้นมองซ้ายมองขวา ก็ไม่มีผู้ใดคิดจะช่วย “นี่เป็นเจ้าสาว ของเจ้า เจ้าก็อุ้มนางเข้าหอเลยแล้วกัน” ชินอ๋อง พี่ชายผู้ รูปงามสง่ายืนเคียงข้างกับพระชายาเอกที่งดงามราวนาง สวรรค์ทำสีหน้าเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ “ท่าทางนางคงจะ หิวมากแล้ว เจ้ารีบพานางไปเถิด”
เท่านั้นเอง ท่านอ๋องเก้าก็ต้องแบกนางขึ้นหลังเข้าหอ เหมือนครั้งแรกที่ได้ช่วยชีวิตนางในอุทยานหลวง หากจะ ให้อุ้มปกติ ท่านอ๋องเก้าอาจจะท่อนแขนหักทั้งสองข้างได้ ใบหน้าของพระสนมโจว มารดาของท่านอ๋องเก้าดูเหยเก ลูกสะใภ้ร่างใหญ่ราวหมีขาว ทำให้นางอับอายผู้คนยิ่ง ซ้ำ ร้ายยังมาเป็นลมในงานแต่งงานอีก
อ๋องเก้าแบกนางไปวางในห้องหอที่มีเตียงขนาดใหญ่ สั่งทําพิเศษ ระหว่างที่ประวิงเวลาการอภิเษกสมรส เป็น ช่วงการสั่งทําเตียง โต๊ะ เก้าอี้ใหม่ที่มีขนาดเหมาะกับนาง เพราะเก้าอี้ธรรมดานางไม่สามารถวางส่วนก้นลงไปได้ อีกทั้งขาเก้าอี้ก็มีแต่โอนเอนเหมือนจะหัก ยิ่งเตียงนอนใน คืนสมรส ท่านอ๋องยิ่งหนักใจ
“ท่านอ๋อง ท่านจะเข้าหอกับนางจริงหรือพะยะค่ะ?” ตง ชาง องครักษ์ฝ่ายซ้ายขมวดคิ้วมองดูเตียงที่ท่านอ๋องสั่งให้ยกเข้ามารอในห้องหอด้วยความหวาดหวั่น
“แค่เข้าหอ จะเป็นไร?” นางเป็นองค์หญิงจากต่างแคว้น การจะไม่เข้าหอดูไม่สมควร แต่เรื่องจะหลับนอนกับนาง หรือไม่ นั่นเป็นการตัดสินใจของตน
หนานเฉิง องครักษ์ขวาได้แต่มองตาปริบๆ เขาไม่ค่อย ออกความเห็นสิ่งใด ปล่อยให้ตงบางพูดจะดีกว่า
“ตะ แต่ แต่ว่า….” เมื่อทั้งสองคิดถึงรูปร่างของเจ้าสาว แล้วถึงกับตาเหลือกขึ้นเล็กน้อย
“เล่นงิ้วอีกสักฉาก ประเดี๋ยวก็จบแล้ว” ท่านอ๋องตัดบท ก็เพียงแค่รักษาหน้าให้นางในฐานะองค์หญิงต่างแคว้น เท่านั้น แค่เห็นรูปร่างของนางก็ยากจะทำอะไรได้แล้ว
นางกำนัลรูปร่างล่ำสันทั้งสองเข้ามานวดเนื้อนวดตัวให้ ไม่นานนักเจ้าสาวของเขาก็ผุดลุก
“เป็นกงหิวมาก….” เสียงนางแหบโหย ลุกขึ้นได้ก็ซวนเซ ไปที่โต๊ะอาหาร
อ๋องเก้ามองแล้วส่ายหน้า เขากลับออกไปห้องโถงเพื่อ ร่วมดื่มกับแขกเหรื่อ แต่แล้วก็ต้องประหลาดใจที่เพื่อน สนิทดั้นด้นเดินทางจากแคว้นผิงกลับทันดื่มอวยพรใน ค่าคืนนี้
“หลีเปียว เจ้ามาทันเวลาเสียด้วย
ผู่หลี่เปียวเป็นคนสูงสันทัด ผอมบาง มีรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม ประดับบนใบหน้าเสมอ”กระหม่อมต้องมาวันสำคัญของ สหายอยู่แล้ว” แม้จะสงสัยที่งานเลื่อนเข้ามากะทันหัน แต่ ยามนี้ไม่เหมาะที่จะมาซักถาม
ฝูหลี่เปียวมอบสร้อยไข่มุกล้ำค่าที่ได้มาจากการเดินทาง ไปค้าขายแถบทะเล เขาเดินทางไปทั่วทั้งแคว้นผิง แคว้น เหลียน และแคว้นจิน กว่าจะวนเวียนกลับมาถึงแคว้นหม งก็มักจะค่อนปลายปี
ชายหนุ่มทั้งสองดื่มสุราสนทนากันอย่างออกรส เพราะ ไม่ได้เจอกันนาน ฝูหลี่เปียวตื่นเต้นที่องค์ชายเก้าได้รับ การเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นจวิ้นอ่อง ในวังหลวงที่มีองค์ชาย จากรัชกาลเดิมจำนวนมาก หากไม่สร้างคุณความดีอย่าง แท้จริง ฮ่องเต้หมิงมีหรือจะพระราชทานตำแหน่งสำคัญนี้ ให้
“บางที เรื่องมันก็ไม่ได้เป็นแบบที่เจ้าได้ฟังมา
สำหรับผู่หลี่เปียวแล้ว นอกจากจะเป็นสหายสนิทมา ตั้งแต่เยาว์วัย ยังถือว่าเป็นญาติห่างๆ สายหนึ่งด้วย ทำให้ มิตรภาพของทั้งสองแนบแน่น
“กระหม่อมมีเรื่องเล่าจากแคว้นผิงมาฝากท่านอ๋อง”เอาไว้พรุ่งนี้เราค่อยคุยกัน”
ฝูหลี่เปียวงุนงง คืนนี้จะเข้าหอ แล้วพรุ่งนี้เจ้าบ่าวไฉน เลยจะอยากออกมาคุยกับสหายอีกเล่า? มิใช่อยากจะ คลอเคลียอยู่กับเจ้าสาวดอกหรือ? ได้ยินว่า เจ้าสาวเป็น องค์หญิงมาจากแคว้นเว่ยที่ร่ำลือกันไปถึงแคว้นผิงว่า มี รูปโฉมงดงามโดยเฉพาะรูปร่างอันอ้อนแอ้นที่หากได้ยล ยามนางเยื้องย่างแล้ว แทบจะลืมหายใจ
“ท่านอ๋องคงจะยุ่งเรื่องภายในวังอีกหลายวัน อีกห้าวัน ข้างหน้าหม่อมฉันจะมาเยือน พะยะค่ะ”
อ่องเก้านึกถึงความวุ่นวายที่ต้องจัดการเจ้าหมีขาวตัวนั้น แล้วก็ถอนหายใจ
“เช่นนั้นก็ดี เราคงต้องทำสวนสัตว์ด้านหลังวังสักพัก”
..” ฝูหลี่เปียวได้แต่ทำตาปริบๆ
ร่างใหญ่ในชุดแดงกางแขนสองข้างครอบไปเสียเกือบ ครึ่งโต๊ะ นางใช้มือหนึ่งคืบตะเกียบอีกมือถือเนื้อหมูทอด ชิ้นใหญ่ในมือ ความหิวโหยทำให้นางลนลานกว่าปกติ
“องค์หญิงเพคะ อีกสักครู่ท่านอ๋องน่าจะเสด็จแล้ว รีบ เถิด” เปียซูเงินคอยเร่งอยู่ข้างๆ หากท่านอ๋องมาเห็น สภาพนี้ ไม่รู้ว่าจะเคืองสักปานใด
หานซูลี่ตัดใจโยนเนื้อหมูชิ้นสุดท้ายลงปาก เคี้ยวอย่าง ตั้งใจ หยิบจอกน้ำชามากระดกแล้วเทใหม่กระดก “อ่า….ค่อยยังชั่ว”
เป่ยซูเจินเตรียมผ้าชุบน้ำมาให้องค์หญิงเช็ดมือ เลื่อน น้ำมาให้บ้วนปาก นำผ้ามาเช็ดปาก และเติมสีชาดให้ เรียบร้อย นำองค์หญิงไปนั่งรอที่เตียง แล้วนำผ้าคลุมหน้า เจ้าสาวมาคลุมไว้
ร่างกายที่อิ่มหมีพีมันได้เวลาพักผ่อน ดีที่กำลังภายใน นางแข็งแกร่งจึงนั่งหลับได้นาน นางไม่ได้ยินกระทั่งนาง กำนัลป่าวร้องว่า “ท่านอ๋องเสด็จแล้ว”
ตราบจนไม้ที่เปิดผ้าคลุมหน้าเสยเอาผ้าแดงผืนใหญ่ ออก นางจึงเห็นเจ้าบ่าว ใบหน้าหล่อเหลาราวหยกสลัก ด้วยฝีมือเทพเซียนปรากฏต่อหน้า นัยน์ตาองค์หญิงพร่า พรายไปชั่วขณะ ตลอดเวลาทำพิธีนางเห็นเพียงท่อนล่าง ของชายหนุ่มในชุดสีแดง
“เจ้าไม่ต้องคิดหรอกว่า เปิ่นหวางจะร่วมหอกับเจ้า” น้ำ เสียงเย็นชานั้นไม่ดังนัก นางสลัดความมึนงงออก “เจ้ามี เรือนอยู่ด้านหลังวัง ทั้งเตียง โต๊ะและเก้าอี้พวกนี้ เป็นหวางจะให้บ่าวไพร่ขนไปให้ พรุ่งนี้เจ้าไปนอนที่โน่น”
อ๋องเก้ามองใบหน้าจิ้มลิ้มที่จมลงไปในเนื้ออูมที่แทบจะ ท่วมดวงตา จมูก และปากของนาง “เจ้าดูเหมือนหมีขาว จริงๆ”
หานซู่ลี่คิดจะโต้กลับ แต่เจ้าบ่าวกลับยื่นสองมือมาบีบ แก้มของนางสองข้าง แยกออกจากกัน
“ข้าจะคิดเสียว่า เลี้ยงหมีไว้ดูเล่นสักตัว”
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ