ท่านอ๋องกับชายาหมี

บทที่ 1 เรื่อง บซิบในเมืองหลวง



บทที่ 1 เรื่อง บซิบในเมืองหลวง

หลังจากมีราชโองการให้องค์ชายเก้าอภิเษกสมรสกับ องค์หญิงซูสี่แห่งแคว้น หมิง บรรดาผู้คนในเมืองหลวง ล้วนแต่ฮือฮากัน ภัตตาคารบึงหงส์ที่ปกติก็มีคนมีฐานะ เข้าออกกันอยู่เรื่อยๆ กลับมาคึกคักคล้ายตลาดนัดทันตา เห็น

จินวิ่งซูก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่เร่งรุดไปตั้งแต่ประตูร้านบาน แรกเพิ่งเปิดเพื่อจองโต๊ะด้านหน้าระเบียงติดทางเข้า แน่นอนว่า…ตำแหน่งนั้นไม่ว่าผู้ใดจะผ่านไปมา ย่อมเห็น เขาก่อนเพื่อน และเพื่อให้ทุกคนพร้อมจะหยุดยืนคุย คุณ ชายจินจึงแต่งกายด้วยชุดสีส้มสะดุดตาเป็นพิเศษ

‘นี่มันใช่ สีที่คุณชายควรใส่ไหมหนอ?’ แม้หลายคนจะ รำพึงรำพันเช่นนั้นในใจ แต่เมื่อชุดสีส้มอยู่บนเรือนร่างสูง โปร่ง ผิวพรรณผุดผ่อง ใบหน้านวลเนียน ของจินวิ่งซูผู้รูป งามติดอันดับหนึ่งในยี่สิบของเมืองหลวง กลับชวนให้พิศ แล้วพิศอีก

“เจ้ารู้เรื่องนั้นหรือยัง?…” เรื่องที่คนผู้นั้นอยากเล่าให้เรา ฟัง ล้วนขึ้นต้นด้วยประโยคนี้เสมอ

จากนั้นพวกเขาก็ซุบซิบนินทากันสนุกปาก ที่สนุกอย่าง ยิ่งก็คือ ข่าวลือที่ว่า องค์หญิงซู่ลี่มีรูปโฉมตามคำจำกัด ความว่า “งาม-ล่ม-เมือง” นั้น แท้จริงเป็นเพื่อกลลวงของ แคว้นเว่ย องค์ชายหานจินเลี่ยงรัชทายาทแคว้นเว่ยกลับนำเพียงหมีขาวเพศเมียตนหนึ่งมาส่งยังวังหลวงแคว้น หมิงเพื่อให้องค์ชายเก้ากลายเป็นราชบุตรเขย

ยิ่งคุยเรื่องล้มเหลวของชาวบ้านก็ยิ่งสนุก เรื่องนี้จึง แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ในยามเย็นที่จินวิ่ง กลับ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดธรรมดาออกไปนั่งยังร้านน้ำชา ‘นก กระจิบ’ ที่ชาวบ้านร้านตลาดนิยมไปส่งข่าวสารกัน เรื่องนี้ ก็สนทนาสนุกปากไม่ต่างจากภัตตาคารบึงหงส์

“เรื่องสอดรู้ของผู้คน ล้วนมีอยู่ทุกหย่อมหญ้า” จินวิ่งซู ได้ทีสั่งสอนจินฉิงอีน้องสาวคนเล็กที่สวมชุดบุรุษออกไป ด้วย

“พี่วิ่งซู ท่านว่า องค์หญิงหานซู่ลี่แท้จริงนางเป็นหมีขาว หรือคนกันแน่” จินฉิงอียิ่งฟังก็ยิ่งนึกฉงน จินวังซูถึงกับ ส่ายหน้า เรื่องเช่นนี้น้องสาวเขาก็ถามออกมาได้

เรื่องราวฮือฮานั้นซาลงเมื่อมีสมรสพระราชทานของจวิ้ นอ๋อง หมิงจิ้นเหอกับฟ่านซิ่วอิงที่จัดงานอย่างยิ่งใหญ่จน กลายเป็นงานที่คนทั้งเมืองหลวงล้วนร่วมเฉลิมฉลอง เป็น เพราะหมิงจิ้นเหอ คือ แม่ทัพผู้เกรียงไกร ห้าวหาญ โหด เหี้ยมแห่งแคว้นหมิงที่ปราบทุกแคว้นที่คิดจะบุกเข้ามา หรือแม้กระทั่งเหล่ากบฏที่หวังจะสร้างความวุ่นวายให้กับ บัลลังก์มังกร

คุณหนูฟ่านที่เป็นบุตรีของใต้เท้าฟ่าน เสนาบดีฝ่ายซ้ายชั้นผู้ใหญ่ และยังเป็นหลานสาวของฮองไทเฮานับ เป็นผู้ที่เคยถูกนินทาทุกหย่อมหญ้ามาก่อน เมื่อครั้งจวิ้นอ่ องเคยปฏิเสธการหมั้นหมาย แต่ภายหลังเมื่อพบว่า นาง นั้นรูปโฉมปานหยาดฟ้า ความสามารถทุกด้านล้วนเลิศ ล้ำ จวิ้นอ๋องจึงเทียวไล้เทียวชื่อที่คฤหาสน์ของสกุลฟ่าน จนได้แต่งงานกับนาง

ระยะนั้น แม้เรื่องขององค์ชายเก้าจะเงียบลง แต่ก็ไม่ได้ จางหายไป

“ได้ยินหรือไม่ว่า คุณหนูจวนท่านเจ้ากรมคลัง ถึงกับไม่ เป็นอันกินอันนอนเมื่อได้รู้ข่าวองค์ชายเก้า”

“ทำไมเล่า?” ผู้ฟังเองก็แสร้งถาม

“คุณหนูจวนใต้เท้าเหิงอีกเล่า? เลิกตีโพยตีพายเรื่ององค์ ชายเก้าแล้วหรือ?”

เรื่องซุบซิบเกี่ยวกับไข้ใจของบรรดาคุณหนูตระกูลใหญ่ ถูกนำมาพูดเบาๆ ในวงน้ำชา วงสุราอาหาร ไม่เว้นแต่ละ วัน องค์ชายเก้านับว่าอยู่หนึ่งในสิบอันดับแรกของหนุ่ม โสดที่หล่อเหลาสมบูรณ์แบบแห่งเมืองหลวง

“เอาเถิดน่า พวกท่าน ยังมีองค์ชายสิบ องค์ชายสิบเอ็ด และองค์ชายสิบสองอีก”
แม้จะมีคำปลอบใจมากมาย แต่องค์ชายเก้าที่มีรูปร่าง สูงสง่ากว่าใครในบรรดาหนุ่มโสด เครื่องหน้าอันเลอเลิศ คิ้วกระบี่ นัยน์ตาคมปลาบ วิทยายุทธ์สูงส่ง ความร่ำรวย ที่ได้รับการสืบทอดจากครอบครัวมารดานับว่าล่อตาล่อ ใจพอๆ กับฐานันดรศักดิ์ความเป็นองค์ชาย จะมีเพียงข้อ เดียวที่เหล่าคุณหนูทั้งหลาย ไม่สามารถย่างกรายเข้าไป หาได้โดยง่าย นั่นคือ ความร้ายกาจของพระมารดา

ถึงกระนั้นก็ยังมีชายารองและชายาเอกที่ถูกตบแต่งด้วย ความเห็นชอบของพระมารดา เมื่อไม่ได้ยินข่าวว่า ชายา ทั้งสองได้รับความโปรดปราน หญิงสาวทั่วเมืองหลวง ต่างยังคงใฝ่ฝันถึงตำแหน่งพระชายาเอกของบุรุษผู้มี คุณสมบัติโดดเด่นผู้นี้

ในอาณาเขตวังอินทรีอันกว้างใหญ่ พระมารดาขององค์ ชายเก้าอยู่เรือนใหญ่ใกล้เรือนโถงกลางซึ่งตั้งอยู่บนที่ดิน ปีกซ้ายของวัง ถัดไปด้านในเป็นเรือนของชายาทั้งสอง ส่วนปีกขวาเลยลึกไปด้านในเป็นอาณาเขตหวงห้ามที่มิ ให้ผู้ใดล่วงล้ำ

“ข้าเคยเข้าไปในตำหนักขององค์ชายเก้า” จินวิ่งซูเชิด หน้าอย่างเย่อหยิ่ง

“ท่านเล่าหน่อย?”
“เช่นนั้น อาหารมื้อนี้เจ้าจ่าย” หน้าตาของจินวิ่งซูดูเหนือ กว่า คนทั้งโต๊ะจึงยินดีจะจ่ายเพื่อได้ฟังเรื่องในวัง

“ตำหนักองค์ชายเก้าแปลกมากๆ มีต้นไม้ปิดบังโดยรอบ มีเสียงคล้ายเสือร้องคำราม หมาป่า หรือหมาจิ้งจอกลอบ ดูจากในสวน อย่าเรียกว่าสวนเลย ข้าอยากจะเรียกว่า ป่า มากกว่า มีเสียงแมลงร้องระงมทั่ว มิน่า! เหล่านางกำนัล ถึงไม่มีแม้สักคน มีแต่องครักษ์”

“ที่ว่า ไม่ค่อยโปรดปรานชายาทั้งสองเล่า?”

“คืนอภิเษกสมรสกับชายาก็ยังมีข่าวว่า ไม่เสด็จเข้าหอ ด้วยนะ”

“เช่นนั้นเชียว”

ยิ่งพูดยิ่งฮืออา เรื่องซุบซิบนินทาในมุ้งก็ยังกระจายออก

มาได้

“หรือว่า?” แต่ละคนทำตาเลิกลั่ก คันปากกันยิบๆ

“หรือว่า แท้จริงแล้ว พระองค์เป็นพวกชอบตัดแขนเสื้อ สังเกตสิ เวลาเสด็จล้วนไปเฉพาะกับองครักษ์ ที่สำคัญ แต่ละคนหน้าตาระดับชายงามทั้งสิ้น” ในที่สุดก็มีผู้กล้า ปล่อยความในใจของทุกคนออกมา
เรื่องพวกนี้ไม่เคยรอดหูรอดตาชาวเมืองที่ฐานะดีและ ว่างงานไปได้ ในเมื่อเหล่าบ่าวไพร่บริวารของแต่ละวัง จวนอำมาตย์ หรือคฤหาสน์ผู้ดี ก็ล้วนแล้วแต่ตาโตเมื่อ เห็นเงินอีแปะทีละหลายๆ พวง

“หากพวกท่านไม่คิดเสียดายเงิน….จะเต้าข่าวลึกแค่ไหน ก็ย่อมได้” จินวิ่งซูจอมยุแยงได้กล่าวไว้ และเพราะการสู่รู้ สารพัดพวกนี้ ทำให้เขาไม่อาจจะเก็บง่าความลับใดไว้ใน ท้องได้ ที่ระบายก็คือ พระชายาเอกวังสามพยัคฆ์ สหาย โฉดคู่ใจ

“เจ้าสืบเรื่องในวังอ๋องเก้าหรือยัง?”

หลังพิธีอภิเษกสมรสของหมิงจิ้นเหอ หรือชินอ๋อง พระองค์ใหม่ไปไม่นานนัก องค์ชายเก้าก็ได้รับการเลื่อน ตำแหน่งขึ้นเป็น จวิ้นอ๋อง อีกพระองค์หนึ่งตามหลังองค์ ชายสิบสองไป แต่คนทั้งเมืองเรียกองค์ชายสิบสองว่า “จ วิ้นอ๋อง” กันไปแล้ว จึงเรียกองค์ชายเก้าว่า “อ๋องเก้า” เพื่อ ให้ชัดเจนว่าเอ่ยถึงผู้ใด

เมื่อแฝดสี่แห่งวังสามพยัคฆ์กำเนิดได้ล่วงเดือนที่สี่ จวิ้ นอ๋อง หมิงเฉินกงก็แอบเดินทางไปยังแคว้นจิน ล่วงเข้า เดือนที่หกของอายุทารกทั้งสี่ กลับเกิดข่าวลือระลอก ใหญ่

“องค์หญิงหานซูลี่ขอให้ฮ่องเต้หมิงเร่งการสมรสพระราชทานให้เร็วยิ่งขึ้น”

ข่าวนี้แรงเกินกว่าจะเป็นข่าวซุบซิบ ทั้งภัตตาคารบึงหงส์ และร้านน้ำชานกกระจิบ ไม่ว่าโต๊ะใดล้วนแล้วแต่พูดเรื่อง นี้กันทั้งนั้น ชาวบ้านต่างร่ำลือกันถึงความใจร้อนขององค์ หญิงที่อยากจะครอบครองท่านอ๋องเก้า

ในขณะที่องค์หญิงหานซู่ลี่เจ้าของต้นตอข่าว กลับร้อน ใจยิ่งกว่าใคร

“ฮ่องเต้หมิงทำไมชักช้าเยี่ยงนี้ ไม่รู้หรือไรว่า เงินทอง ของเปิ่นกงหร่อยหรอลงไปทุกวัน จะอย่างไรก็ควรอภิเษก

ได้แล้ว”


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ