ตำนานเทพกู้จักรวาล

ตอนที่ 4 วิชามารฟ้าเสกสรร



ตอนที่ 4 วิชามารฟ้าเสกสรร

ในเมื่อวิชาขาของท่านปูเป้พิสดารจนกระทั่งวิ่งบนอากาศเปล่า ได้ ใครกันล่ะที่เร็วพอที่จะสับขาของเขา หมัดของท่านหม่า ทรงพลังขนาดนี้ แต่ใครล่ะที่กระชากแขนขวาของเขาออกไป แล้วใครกันที่สามารถฝาคมมีดของท่านคนแล่เนื้อเข้าไปใน ร่างเขาจนขาดครึ่งได้

เมื่อได้ประจักษ์ความสามารถที่แท้จริงของคนแล่เนื้อ เฒ่า หม่า ตาเป๊ ฉันทั้งรู้สึกตื่นตะลึงและสับสนกับคำถามที่ผุดขึ้น มาในหัว

หลังจากเสร็จสิ้นการฝึกวิชาเท้ากับเฒ่าเป้ ร่างของฉันก็ ดูดซึมพลังงานในโลหิตวิญญาณทั้งสี่เพื่อเสริมความแข็งแกร่ง ของเขาได้ในที่สุด ในขณะเดียวกันเด็กชายก็เหนื่อยจนแทบ ตาย อยากจะล้มตัวลงนอนแล้วหลับไปให้รู้แล้วรู้รอด

แต่ทว่า นี่เป็นแค่ปฐมบทของชะตากรรมอันแสนเศร้าของ เขาเท่านั้น

แทบจะทุกๆ วัน เหล่าผู้เฒ่าในหมู่บ้านต่างพากันออกไป ล่าสัตว์ร้ายมาเพื่อกลั่นโลหิตวิญญาณป้อนฉิน หลังจาก กล้ำกลืนโลหิตวิญญาณแล้ว สิ่งที่รอเขาอยู่คือตารางฝึกนรกอันอัดแน่นและ ทรมานทรกรรมเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกว่าจะอ่อนเปลี้ยเพลียแรง

นอกจากการเรียนวิชาขา หมัด มีดจากเฒ่าเป๋ เฒ่าหม่า และคนแล่เนื้อ ฉันยังต้องฝึกวิชาที่เหล็กจากเฒ่าใบ้ วิชาวาด ภาพและพู่กันจากเฒ่าหนวก ซ้ำยังต้องเรียนวิชากระบองและ การฟังเสียงบอกตำแหน่งจากเฒ่าบอดขณะที่สวมผ้าปิดตาเอา ไว้เสียด้วย

เมื่อฉันเหนื่อยจนอยากตาย ผู้ใหญ่บ้านก็จะเรียกเขาให้ ไปฝึกวิชาหายใจต่อ วิชาหายใจนั้นเป็นวิชาอันแข็งแกร่ง จำเพาะที่เรียกว่าวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ

แม้ว่าฉันจะไม่อาจหยั่งตื้นลึกหนาบางของวิชากายาจ้าว แดนดินสามอมตะ แต่เมื่อใดก็ตามที่เขาฝึกการหายใจแบบนี้ เพียงชั่วครู่ความเหนื่อยล้าสะสมจากตารางฝึกหฤโหดก็จะหาย วับไปราวกับปลิดทิ้ง ทำให้ฉันเชื่อว่าวิชานี้โคตรมหัศจรรย์

แววตาของนักปรุงยาสะเทือนไหวระหว่างที่รอให้ฉันเดิน ห่างออกไป เขาจึงกล่าวด้วยเสียงเบา “ผู้ใหญ่บ้าน ท่านสอน แค่วิชาเต้าหยินที่สามัญธรรมดาที่สุดใช่ไหม”
“ใช่แล้ว นั่นคือวิชาเต้าหยิน” ผู้ใหญ่บ้านยอมรับ คร้านที่ จะปฏิเสธ “กาขาวิญญาณทั้งสี่มีวิชาหายใจเป็นของตนเอง กา ยาวิญญาณมังกรเขียนใช้ปราณมังกรเขียวในการฝึกปรือ กา ยาพยัคฆ์ขาว ใช้ปราณพยัคฆ์ขาวในการฝึกปรือ กายาวิญญาณ หงส์แดงและกายาวิญญาณเต่าต่างก็ใช้ปราณหงส์แดงและ ปราณเต่าดำในการฝึกปรือตามลำดับ แต่ว่าร่างของฉันมิได้มี คุณสมบัติหนึ่งในสี่นี้เลย ทำให้เขามีอาจใช้วิชาหายใจของกา ยาวิญญาณทั้งสี่ในการฝึกยุทธ ในเมื่อเขาไม่อาจฝึกวิชาหาย ใจใดๆ ที่พวกเราใช้อยู่ได้ ข้าจึงสอนวิชาที่สามัญธรรมดาที่สุด ให้กับเขา วิชาเต้าหยินนั้น แม้ว่าจะเป็นปุถุชนคนทั่วไปก็ สามารถใช้ในการฝึกปรือบ่มเพาะพลังยุทธ มันไม่จำเป็นต้อง อาศัยคุณสมบัติกายาวิญญาณทั้งสี่

คำอธิบายของเขาทำให้นักปรุงยาฉงนฉงาย “แต่ว่าวิชา เต้าหยินนั้นเรียบง่ายเกินไป ธรรมดาเกินไป! แน่ล่ะว่าใครๆ ก็ สามารถเป็นผู้ฝึกยุทธได้ด้วยวิชาหายใจนี้ แต่ความก้าวหน้า ของคนผู้นั้นย่อมจำกัดต่ำต้อย

“แต่เดิมข้าก็คิดเช่นนั้น” หัวหน้าหมู่บ้านกล่าว พร้อมกับที่ มีสีหน้าประหลาดพิลึก “แต่ตอนนี้ข้าคิดว่า พวกเราอาจจะ ประเมินวิชาเต้าหยินไป ข้าให้ฉันฝึกการหายใจนี้แต่เล็ก มาบัดนี้ปราณชีวิตของเขาก่อตัวกล้าแข็ง ที่มิอาจเห็นได้ชัดก็ เพราะว่าทางเดียวที่เขาจะปลดปล่อยพลังอำนาจของปราณ ชีวิตของเขาคือต้องมีคุณสมบัติวิญญาณหนึ่งในสี่เท่านั้น”

นักปรุงยามือสั่นทันใด ปราณชีวิตเขากล้าแข็งเพียงไหน

“หากว่าปราณชีวิตของเขามีคุณสมบัติวิญญาณมังกร เขียว พละกำลังของฉันคงเท่ากับกึ่งหนึ่งของพลังในสมบัติ เทพขั้นทารกวิญญาณของเจ้า

คำกล่าวของผู้ใหญ่บ้านทำนักปรุงยาแทบกระโดดโลด ด้วยความตะลึง “ข้าทลายกำแพงชาวสวรรค์และปลุกสมบัติ เทพขั้นชาวสวรรค์แล้วนะ” เขาครางฮือแล้วกล่าวต่อ “ข้าเสีย เวลาเป็นปีๆ เพื่อปลุกสมบัติทารกวิญญาณ ห้าธาตุ หกทิศทาง จนถึงระดับสุดยอด! ครึ่งหนึ่งของพลังในสมบัติทารกวิญญาณ ของข้าเท่ากับพลังเต็มพิกัดของผู้ฝึกหมัดมวยขั้นสูงสุด! เมื่อฉัน มีพลังปราณชีวิตแข็งกล้าเทียบเท่ากับผู้ฝึกหมัดมวยขั้นสูงสุด ตั้งแต่ยังไม่ทลายกำแพงทารกวิญญาณ เมื่อเขาปลุกสมบัติ เทวะระดับทารกวิญญาณ มิใช่ว่าพลังยุทธเขาจะเหนือกว่าผู้ มีกายาวิญญาณทั้งสี่หลายเท่าตัวอย่างนั้นหรือ นี่ยังจะเรียกว่าแค่วิชาเต้าหยินได้อีกรึไง”

ผู้ใหญ่บ้านเองก็สับสนพอๆ กับนักปรุงยา “วิชาเต้าหยิน นับว่าเต็มไปด้วยความลึกลับซับซ้อน มาตรว่าจะเป็นเพียงการ ฝึกหายใจที่เรียบง่ายสามัญ แต่พื้นฐานที่มันให้กำเนิดกลับ เหนือล้ำเกินจินตนาการ มู่เอ๋อฝึกวิชานี้สิบปีอันมิใช่เวลาสั้นๆ วิชาเต้าหยินดูคล้ายกับให้ผลเชื่องช้าเมื่อแรกเริ่มฝึก แต่ไม่นาน นี้ข้าเพิ่งสังเกตว่าพละกำลังของเอ๋อเพิ่มพูนอย่างก้าวกระโดด ความก้าวหน้าของเขาชวนตะลึงตะลานตั้งแต่เมื่อวันที่เขาได้ดื่ม โลหิตวิญญาณทั้งสี่! หากว่าข้ามิได้รู้อยู่แล้วว่าวิชาเต้าหยินนั้น ใครๆ ก็รู้ทั่วทุกหัวมุมถนน ข้าคงคิดว่าเป็นวิชาเซียนฟ้า ประทานจากที่ไหนเสียอีก

ทั้งคู่ขมวดคิ้วประหลาดใจ

นักปรุงยาปล่อยลมหายใจที่กลั้นเอาไว้ แล้วส่ายศีรษะ “แต่อย่างไรก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี แม้ว่าปราณของเขาจะแข็งแกร่ง ถึงเพียงไหน แต่ปราณชีวิตอันปราศจากคุณสมบัติย่อมมิอาจ เปล่งพลังได้อย่างเต็มพิกัด ท่านคิดว่าเขาจะยังคงใช้วิชาเต้า หยินฝึกปรือได้อีกนานแค่ไหนล่ะ”

สีหน้าของผู้ใหญ่บ้านยิ่งเต็มไปด้วยความพิศวง “ข้าก็ไม่รู้ เหมือนกัน”
นักปรุงยาพยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจ

วิชาเต้าหยินเป็นวิชาหายใจขั้นพื้นฐานที่สุดที่ให้ยุวชน แรกฝึกยุทธ ใช้ในการปรับพื้นฐาน เมื่อเด็กผู้นั้นเติบใหญ่ถึงสิบ ขวบ พื้นฐานของเขาก็จะแข็งแกร่งเพียงพอที่จะรับผลกระทบ จากโลหิตวิญญาณ หลังจากที่ตรวจพบคุณสมบัติกายา วิญญาณของเด็กผู้นั้นแล้ว พวกเขาก็จะละทิ้งวิชาเต้าหยิน

เมื่อทลายกำแพง ก็จะมีวิชาหายใจที่ดีกว่านี้ให้เลือกใช้ การฝึกปรือวิชาเต้าหยืนต่อไปจึงไม่จำเป็น

และสำหรับคนธรรมที่ใ เต้าหยินในการฝึกปรือ ย่อม ไม่มีโอกาสที่จะดื่มโลหิตวิญญาณได้ทุกวันแบบฉัน

ฟุ่มเฟือยได้เยี่ยงนี้ก็มีแต่ตระกูลใหญ่ทรงอิทธิพล แต่ไหน เลยที่พวกเขาจะยอมทุ่มเทเงินทองให้กับผู้มีพรสวรรค์สามัญ ธรรมดา ตระกูลใหญ่ที่จะไหนจะพิลึกพิกลแบบหมู่บ้านพิการ ชราที่ทุกวันนั้นก็เร่ออกไปหาจับสัตว์ร้ายมากลั่นโลหิตป้อนคน ไร้กายาวิญญาณแบบฉิน

ผู้ใหญ่บ้านไม่เคยได้ยินว่ามีใครฝึกวิชาเต้าหยินถึงขั้น สูงสุด อย่าว่าแต่ขั้นที่ฉินบรรลุเถอะ ดังนั้นเขาจึงจินตนาการไม่ถูกว่าในอนาคตฉันจะ บรรลุถึงขั้นใด

แต่สิ่งที่ทำให้ผู้ใหญ่บ้านและนักปรุงยาแตกตื่นตกใจที่สุด คือการที่วิชาเต้าหยินเผยความวิเศษพิสดารในการฝึกปรือของ ฉัน ให้ขั้นวรยุทธของเขายิ่งฝึกยิ่งลึกล้ำ รากฐานพลังปราณ แข็งแกร่งราวกับพื้นทองแดงเสาเหล็ก

ภายในเวลาหนึ่งเดือน ฉันสามารถรองรับการดื่มกิน โลหิตวิญญาณทั้งสี่ได้มากขึ้น และปราณชีวิตของเขาก็หนา แน่นแข็งแรงราวกับว่าได้ปลุกสมบัติเทวะขั้นทารกวิญญาณแล้ว

พลังปราณชีวิตที่ลึกล้ำของฉัน เมื่อปราศจากคุณสมบัติ ธาตุก็ไม่สามารถใช้ในการโจมตี จึงมิอาจเผยแสดงให้ผู้ใด หยั่งรู้ได้

แต่ข้อดีของมันก็มีอยู่ ปราณชีวิตอันยิ่งลึกล้ำยิ่งเสริม ความต้านทานการต่อยตี และยังฟื้นกำลังวังชาได้อย่างรวดเร็ว ความลึกของฉันถึงขั้นที่สามารถประมีดกับคนแล่เนื้อได้อย่าง สูสี ทนทานต่อหมัดของเฒ่าหม่า ประลองไม้ตะบองกับเฒ่า บอดยามที่สวมผ้าปิดตา อดทนการฝึกขากับเฒ่าเป๊จนสุด ตารางฝึก และปิดค่ายนรกประจำวันด้วยการเรียนตีเหล็กด้วย ค้อนหนึ่งร้อยชั่ง แม้ว่าการฝึกยุทธของเขาจะหนักหนาสาหัสถึง เพียงนี้ เพียงเริ่มหายใจตามวิชา กายาจ้าวดินแดนสามอมตะ เพียง ประเดี๋ยวประด่าวก็เหมือนชุบชีวิตเขาแบบ พลังชีวิตเต็ม

หลังจากที่จับชีพจรตรวจร่างกายฉัน นักปรุงยากกลับมา หาผู้ใหญ่บ้านด้วยสีหน้าปั้นยาก “ข้าไม่พบว่ามีการบาดเจ็บ ตกค้างจากความเหนื่อยล้าเลยแม้แต่นิด กลายเป็นว่าปราณ ชีวิตของเขาแข็งแรงมาก และมันกำลังเสริมสร้างสมรรถภาพ ทางกายทั้งหมด”

ผู้ใหญ่บ้านอึ้งไปครู่หนึ่ง แม้ว่าเขาจะรอบรู้กว้างขวาง แต่ ก็มิเคยพบพานเรื่องราวเช่นนี้มาก่อน วิชาเต้าหยินฝึกปรือถึง ขีดขั้นนี้ หากผู้คนอื่นล่วงรู้คงต้องเหลียวมองวิชานี้ใหม่อีกสาม ตลบ

“ฉัน วันนี้มาฝึกตัดเย็บผ้ากับยายนะ ต่อยมงต่อยมวย ไม่ต้องแล้ว”

ท่านยาย เดินหลังค่อมถือตะกร้าเล็กๆ มา ในตะกร้า ด้ายมีเข็ม นางเดินเขย่งๆ เท้าเล็กๆ ของนาง นางออกไปจาก หมู่บ้าน ฉันรีบเร่งตามไป มือก็รับตะกร้าที่ท่านยายซีส่งให้ เลิกคิ้วถามประหลาดใจ “ท่านยาย ตัดเสื้อผ้าเรานั่งทำที่ หมู่บ้านก็ได้ไม่ใช่หรือ ออกไปข้างนอกทำไมกัน
“เฮะๆ วันนี้ยายจะพาเจ้าไปตัดเสื้อผ้านอกหมู่บ้าน เสื้อผ้า ของจริงขนานแท้

ท่านยาย กล่าวต่อกลั้วหัวเราะ “หลายวันมานี้เฒ่าหม่า

เจ้าเขุดไม้ตายก้นหีบมาสอนเจ้า ยายเฒ่าผู้นี้จะน้อยหน้าได้ อย่างไร วันนี้ยายจะสอนให้รู้ว่าสิ่งที่ช่างตัดเย็บทำได้ดีที่สุดคือ อะไร”

สิ่งที่ช่างตัดเย็บทำได้ดีที่สุด? ฉันมงุนงง ไม่ใช่ว่าก็คือการ ตัดเย็บเสื้อผ้าหรือ

ถึงจะงุนงงสงสัย ฉันก็เดินตามท่านยายต้อยๆ ไปยังริม แม่น้ำ ท่านยายซีเดินอย่างรวดเร็วว่องไวผิดแผกกับ สามัญสำนึกของผู้คนเมื่อเห็นยายเฒ่าหลังค่อม ถึงขนาดว่าฉัน เร่งใช้วิชาขาที่เรียนจากเฒ่าเปถึงขีดสุด ก็ยังทำได้แค่ตามทัน อยู่บ้าง หลังจากเดินไปหลาย พวกเขาก็มาถึงเนินหญ้าขจีเชิง ภูเขา และเห็นฝูงกวางเอลก์ยืนเล็มหญ้าและโลดเล่นกันห่างไป เกือบสองร้อยก้าว

ท่านยายซีดึงเข็มเงินเย็บผ้าออกจากม้วนด้ายในตะกร้า แล้วดีดมันออกไป เข็มพุ่งหายวับ และฉันก็เห็นกวางเอกที่ อยู่ไกลระยะสองร้อยก้าวนั้นล้มตึงไปกับพื้น กวางตัวอื่นๆ แตก ตื่นตกใจ ห้อหนีลับเข้าไปในราวป่า
ท่านยายเขย่งเท้าเล็กๆ ฉับๆ ไปก่อน ฉันรีบตามไปดู เห็นว่ากวางเอลก์ที่ล้มอยู่นั้นยังมีลมหายใจอยู่ ทว่าเข็มเงินอัน ปักหน้าผากทำให้มันขยับเขยื้อนไม่ได้

“ดูดีๆ มู่เอ๋อ เข็มเล่มนี้ปักตรึงวิญญาณฟ้าของมันไว้

ขณะที่ยายเฒ่าปล่อยให้ฉันม่สังเกตจดจำจุดเข็มตรึง วิญญาณ นางก็หยิบเข็มอีกเล่มออกมาแล้วปักเข้าไปที่ปลาย กระดูกสันหลังของกวางเอล

“เข็มเล่มนี้กำลังตรึงวิญญาณดิน

จากนั้นนางก็หยิบเข็มเย็บผ้าออกมาอีกเล่ม แล้วเสียบ เข้าไปที่สะดือกวาง “ส่วนเข็มเล่มนี้กำลังตรึงวิญญาณชีพ รวม แล้วตรึงสามจุดวิญญาณเซียน ส่วนอีกเจ็ดจิตมนุษย์ จิตแรก เรียกศพสุนัข ซึ่งอยู่บนจุดสูงสุดของศีรษะ

ท่านยายซีดึงเข็มมาอีกเล่ม และปักเข้าไปกลางหน้าผากก วางใกล้ ๆ กับเข็มเล่มแรกสุด “จิตที่สองเรียกว่าศรชุม จิตศร ซุ่มอยู่ที่ใจกลางระหว่างคิ้ว แต่ดูให้ดีนะ ระวังจะสับสนกับจุด วิญญาณฟ้า เข็มสองเล่มเหมือนว่าจะแทงจุดเดียวกัน แต่จริงๆ แล้วหนึ่งจุดตื้น อีกหนึ่งจะลึก

“จิตที่สาม หยินนกกระจอก อยู่ที่ลูกกระเดือกเจ้าลองจับคอตนเองดู เจอร่องสามเหลี่ยมเล็กๆ หรือไม่ นั่น แหละที่สถิตของจิตหยินนกกระจอก”

“จิตที่สี่ สกัดโจร อยู่ตรงนี้ ตรงหัวใจที่ซึ่งเป็นแหล่งรวม ของโลหิต”

“จิตที่ห้า มิใช่พิษ นั้นฝังอยู่ในสะดือ แต่อย่าสับสนกับจุด วิญญาณชีพ”

“จิตที่หก ชำระมลทิน อยู่บริเวณขาหนีบใกล้ช่องทิ้งของ

“จิตที่เจ็ด ปอดฉัน อยู่ที่ปอดที่ซึ่งเจ้าถ่ายอากาศเสียและ

รับอากาศ ”

ท่านยายซีสิ้นสุดการฝังเข็มกวางตรึงสามวิญญาณและ เจ็ดจิต จากนั้นอธิบายต่อ “ตรึงสามวิญญาณและเจ็ดจิตเป็นขั้น ตอนที่สำคัญสำหรับการเริ่มตัดเย็บเสื้อผ้า รวมแล้วเรียกว่า ตรึงวิญญาณ เข้าใจไหมเอ่อ ถ้าเข้าใจดีเมื่อไหร่ ยายจะพา ทำการตัดเย็บขั้นต่อไป

ฉันม่ไม่เข้าใจว่าการตรึงวิญญาณเกี่ยวอะไรกับการตัด เย็บเสื้อผ้า แต่เขาก็ยังใส่ใจจำจุดตรึงทุกจุดอย่างขมีขมัน จาก นั้นร้องบอก “ข้าเข้าใจหมดแล้ว”

ท่านยายซีฟังดังนั้นจึงหยิบกรรไกรออกมาจากตะกร้า แล้วเริ่มต้นเลาะหนังกวาง โดยเริ่มจากริมฝีปากของมันเป็นต้นไป ไม่นานหนังกวางทั้งผืนก็ถูกลอกออก มาจนหมด ที่พิสดารก็คือไม่มีเลือดสักหยดหลั่งไหลจากกวางเอ ลก์ที่ถูกเลาะหนัง

“ยายตรงวิญญาณกวางไว้กับหนังของมัน กักเก็บเลือด พลังงาน และจิตไว้ข้างใน ถึงเนื้อร่างของกวางตาย แต่หนังของ มันมีชีวิต กระนั้นก็ยังต้องอาศัยวิชาเหมาะๆ มาเพื่อตัดเย็บถัก ทอหนังผืนนี้ให้เป็นเสื้อผ้าดีๆ มู่เอ๋อ ดูให้ดีๆ นะ คอยจำจุด ดรรชนีที่ยายจิ้ม!”

ทันใด ท่านยายซีก็โยนหนังกวางเอลก์ขึ้นไปบนอากาศ ปลายนิ้วยายเฒ่าแทนเข็มจิ้มไปตามจุดต่างๆ บนผืนหนัง ระหว่างที่มันปลิวอยู่บนอากาศ

ฉันเร่งจดจำทุกจังหวะดรรชนีไว้ในสมอง และพบว่าท่าน ยายใช้ถึงสามร้อยหกสิบดรรชนีก่อนที่หนังกวางจะร่วงลงสู่ พื้น แต่ละจุดไม่ซ้ำกัน และในการจิ้มนั้นก็ปลดปล่อยกระแส ปราณชีวิตเข้าไปด้วย

เมื่อหนังกวางร่วงลง แทนที่จะกองพับไปกับพื้น มันกลับ ลุกขึ้นยืนเหมือนกับกวางเอลกตัวเป็นๆ! หัวของมันส่าย หาง กระดิก บอกไปก็ไม่มีใครเชื่อว่านี่เป็นแค่หนังกวาง

ภาพมหัศจรรย์ส่งให้ฉันยืนจ้องอย่างงมงาย

ท่านขายหัวเราะคิกๆ แล้วคว้าหยิบหนังกวางมาพัน รอบๆ ตัวฉัน “นี่คือเสื้อผ้าที่ควรค่าแก่พวกเราช่างตัดเย็บ ทันใดนั้น หนังของกวางเอลก์ก็บีบรัดตัวฉัน มันเบียดเข้า มาแน่นขึ้น แน่นขึ้น จนเขารู้สึกราวกับว่ามันกลายเป็นส่วนหนึ่ง

ของเขา จากนั้นก็ผลักให้เขาต้องยืนด้วยสีขา

ความรู้สึกตอนนี้ ยังกับว่ากลายเป็นกวางจริงๆ แนะ สัมผัสได้ยินหางกระดุกกระดิกข้างหลัง

ท่านยายซีหยิบกระจกจากตะกร้ามาส่องตรงหน้าเขา ให้ ฉันได้เห็นเงาสะท้อนของตน เมื่อมองกระจก ฉันก็พบว่าเขา ได้กลายเป็นกวางเอลก์ไปแล้ว!

ฉันอ้าปากจะพูด แต่สิ่งที่ออกจากปากกลับกลายเป็น

เสียงร้องของกวางเอล

และโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย เสียงตวาดฉาดฉานก็ดังมา

“วิชามารฟ้าเสกสรรค์! มารร้ายต่ำช้า! ข้าไม่นึกเลยว่าใน แดน โบราณวินาศจะได้เห็นมารเฒ่าโสมมสอนวิชาชั่วร้ายให้ไอ้ เด็กปีศาจ!”


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ