บทที่ 4 การเดินทางครั้งใหม่
พ้นจากทุ่งหญ้าเข้าสู่เขตเมืองเคอร์เซอร์ เอรอสก็เริ่มหา ที่พัก เขาผูกม้าไว้ใต้ต้นไม้เมื่อไม่สามารถเดินทางต่อได้ เพราะตะวันชิงพลบเสียก่อน และเกรงว่าร่างกายคนเจ็บจะ ทนบาดแผลไม่ไหว จากนั้นจึงลากเกวียนมาแอบไว้ หากึ่ง ไม้แห้งกองสมกันให้มากพอที่จะเป็นเชื้อเพลิงสำหรับหนึ่ง คืน ใช้มือเปล่าจุดไฟให้ลุกพรึบ! ขึ้นทันที
ความมืดโรยตัวเข้ามา หากไม่มีแสงสว่างและความ อบอุ่นจากเปลวไฟในยามที่ลมหนาวพัดมาอย่างนี้ พวก แมลงยักษ์ที่ออกหากินอาจจะเขมือบมนุษย์เป็นอาหาร แต่ กระนั้นปลาและสัตว์น้าจะอุดมสมบูรณ์หลังฤดูวางไข่ ส่ง ผลให้พ่อค้าแม่ขายจับสัตว์นํ้าเดินทางไปแลกเปลี่ยนสินค้า ที่แผ่นดินใหญ่มากขึ้นเช่นกัน
เมื่อก่อไฟเสร็จแล้วเขาก็ขยับไปดูคนเจ็บ เด็กสาวไร้ชื่อยัง คงนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเบาะหนานุ่ม วงหน้ามีเลือดฝาด ขึ้นเล็กน้อย สะเก็ดผุยจากริมฝีปากแตกแห้งหลุดไปแล้ว ยังคงเหลือรอยจําของเลือดและรอยแผลตามลำตัว ไม่รู้ ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายของเธอที่รอดชีวิตมาได้แต่กลับ ต้องสูญเสียบ้านและครอบครัว เขากำลังครุ่นคิดว่าระหว่าง ที่กำลังหลบหนี พวกมันคงตามเธอไปเพื่อกำจัดเสีย แต่คง มีใครโผล่มาช่วยได้ทันเวลาถ้าเป็นเช่นนั้น แล้วใครกันล่ะที่ช่วยเธอไว้ ทำไมใครคนนั้น จึงหายตัวไปและทิ้งเธอไว้เพียงคนเดียว ที่สําคัญไม่มีศพ หรือร่องรอยของคนร้ายสักคน
“เฮ้อ ทำไมข้าต้องมาพัวพันกับเรื่องนี้ด้วยก็ไม่รู้
เขาถอนใจเมื่อไม่สามารถหาคำตอบได้ด้วยตัวเอง ที่คิด จะได้ความจริงจากเธอคงจะยากขึ้น ตอนนี้ยังต้องให้ เธอติดสอยห้อยตามไปด้วย หากญาติพี่น้องของเธอตาย หมดแล้ว เขาจะทำอย่างไร เธอยังเป็นเด็กสาว และเขาเอง ก็ไม่สามารถพาเธอไปได้ไกลกว่านี้ เพราะยังมีภาระหน้าที่ ที่ต้องสะสางและนี่ก็ล่าช้าเกินกว่าที่ตั้งใจไว้มาก
เอรอสห่มผ้าผืนหนาให้คนที่กำลังหลับสบาย ก่อนจะโยน กิ่งไม้แห้งลงไปในกองเพลิงแล้วนั่งพิงล้อเกวียน มอง ความมืดมิดรอบตัวเพื่อสำรวจความเรียบร้อยอีกครั้ง จวบ จนพระจันทร์ดวงโตลอยมาอยู่เหนือศีรษะ สิ้นเสียงของจั๊ก จีนเรไร เขาจึงค่อยๆ หลับตาลง
น่าแปลก…ที่จู่ๆ คืนนี้อยากจะเข้าสู่ห้วงนิทรา ทั้งๆ ที่ก่อน หน้านี้ แม้เพียงแค่หลับตาก็ทำได้ยากเย็น
เขาสะดุ้งตื่นอีกครั้งตอนย่ำรุ่ง นกกระจิบออกจากรังเพื่อ หาอาหาร กองไฟค่อยๆมอดลงจนดับสนิท พอดีกับที่แสง แห่งรุ่งอรุณโผล่พ้นขอบฟ้า เขาจึงลุกเดินไปชะโงกดูคน ที่นอนหลับอุตุอยู่บนเกวียน
หญิงสาวขยับตัวเมื่อรู้สึกว่ามีคนจ้องมองอยู่ เธอขยี้ตา เบาๆ แขนขาเริ่มมีเรี่ยวแรงขึ้นมาหลังจากได้พักผ่อนเต็มที่ เมื่อเห็นว่าเธอตื่นแล้ว เอรอสก็ใช้เศษผ้าชุบน้ำบิดหมาดๆ เช็ดหน้าให้เธอเบาๆ เช้าๆ อย่างนี้อากาศหนาวพอสมควร ร่างบางถึงกับห่อไหล่เมื่อความเย็นชื้นกระทบผิวหน้า ก่อน จะหน้าแดงเมื่อคิดได้ว่าตนเองนั้นมีบาดแผลตามร่างกาย หลายแห่ง และเขาก็ล้างแผลให้แล้วห่อผ้าสมุนไพรไว้ อย่างดีในระหว่างที่เธอสลบไป
เมื่อเช็ดหน้าเช็ดตัวให้เธอเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็หัน ไปจัดการกิจธุระของตนเอง ก่อนจะเริ่มเดินทางต่อไปตาม ทางเกวียนที่ชาวบ้านแถบนี้ใช้สัญจรไปยังท่าเรือทั้งสอง ฝั่ง ซึ่งเคอร์เซอร์จะเป็นจุดศูนย์กลางเชื่อมต่อไปยังหมู่บ้า นอื่นๆ เพราะอยู่ใจกลางเกาะพอดี ถัดขึ้นไปจากเคอร์เซอร์ จะเป็นเมืองท่าซึ่งมีเรือขึ้นไปแผ่นดินใหญ่ของทวีปตะวัน ออก
“เราจะไปที่หมู่บ้านเคอร์เซอร์ เจ้าเคยไปที่นั่นไหม?” เขา ถามขณะกระโดดขึ้นมา แต่ก็ได้รับการส่ายหน้าแทนคําตอบ
“เจ้ายังมีญาติพี่น้องที่ยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า?
ครานี้เธอผงกศีรษะร้บ เลโกลัส…พี่ชายของเธอ เขา คงกลับมาที่หมู่บ้านและไม่เห็นศพของเธอจึงทิ้งม้าและ เกวียนไว้และคงกำลังออกตามหาเธออยู่แน่ๆ พี่เป็นคนเก่ง เก่งกว่าใครๆ ทุกคนที่เธอเคยรู้จัก ถ้าเขาอยู่ในวันนั้น ทุก คนก็จะไม่ตาย
เมื่อเห็นว่าเธอยังมีญาติพี่น้องรออยู่เขาก็โล่งใจ มาทิลดา เป็นเกาะเล็กๆ คงใช้เวลาไม่นานในการตามหาคนเหล่านั้น น่าทึ่งที่เมื่อวานนี้เธอยังนอนเจ็บอยู่ แต่วันนี้อาการบาดเจ็บ นั้นดีขึ้นมากและไม่ได้คร่ำครวญถึงการจากไปของคนใน หมู่บ้านอีก มีเพียงแววตาหมองหม่นและเศร้าโศกที่บอก ให้รู้ว่าไม่มีทางที่เธอจะลืมมันไปได้ง่ายๆ
หญิงสาวนั่งมองทัศนียภาพรอบกายเงียบๆ ดื่มกับเสียง นกกระจิบที่แข่งกันร้องจิ๊บๆ ต้อนรับแสงอรุณของวันใหม่ สองข้างทางเป็นพุ่มไม้หนาแน่นสลับต้นไม้ใหญ่ เอรอสบัง คับม้าให้เดินช้าๆ เพราะมีเกวียนพ่อค้ากำลังสวนทางมา แสดงว่าเข้าใกล้เขตชุมชนแล้ว
พ่อค้าพวกนี้บนข้าวของที่ต้องนําไปขายไปส่งที่เมืองท่า ซึ่งจะมีเรือมาจอดรับสินค้ารออยู่ เมื่อขนสินค้าลงเรือและ นําของที่แลกเปลี่ยนมาได้ก็จะเดินทางกลับ ของที่นําไป ขายส่วนใหญ่เป็นปลาทะเลหายากและผลไม้หลากชนิด ส่วนของที่นำ กลับเข้ามาได้แก่ข้าว เพราะมาทิลดามีพื้นที่ น้อย แม้จะมีผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ แต่ก็ไม่มีแหล่งน้ำจืด ขนาดใหญ่พอที่จะทำการเกษตรกรรม
“อ้าว! พวกเจ้ามาจากทางใต้นี่นา ไหนๆ ขอดูสินค้าที่ชาว แผ่นดินใหญ่เอามาแลกเปลี่ยนหน่อยซิ ข้าได้ข่าวว่าข้าว ของชักจะแพงขึ้นทุกวัน หญิงวัยกลางคนเดินปรี่เข้ามาระ หว่างที่เกวียนสวนทางกัน ซึ่งเป็นเรื่องปกติของพ่อค้าแม่ ขายที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารหรือแลกสินค้ากันกลาง ทาง โดยเฉพาะราคาของที่ขึ้นลงทุกวัน
“สงสัยพวกเจ้าจะเอาเงินแทนของแลกเปลี่ยนล่ะสิ เอ๊ะ! นังหนูคนนี้บาดเจ็บนี่นา”
เมื่อไม่เห็นของแลกเปลี่ยน นางก็ยื่นมือเข้าไปหวังจะถลก ผ้าห่มที่คลุมตัวเด็กสาวขึ้น หากมีพ่อค้าได้รับบาดเจ็บ คน อื่นๆ จะต้องใช้ความระมัดระวังอีกเท่าตัวเพราะกลัวจะถูก โจรปล้นระหว่างทาง ส่งผลให้การเดินทางล่าช้า หากเคราะห์ร้ายก็อาจจะถูกฆ่าตายอยู่ในป่า
“อย่าแตะต้องเธอ น้องสาวของข้าเป็นโรคผิวหนัง ท่าน อาจจะติดเชื้อ”
เอรอสยื่นมือมาจับต้นแขนของหญิงคนนั้นไว้ได้ทันท่วงที เมื่อได้ยินว่าเป็นโรคผิวหนัง นางก็ดึงมือออกอย่างรังเกียจ แล้วเดินไปบอกสามีให้ออกเดินทางต่อ
“พวกเขาคิดว่าเราเป็นพ่อค้า จึงทำทีมาขอดูของบน เกวียน เผื่อจะซื้อไปขายต่อและถือโอกาสกดราคาเราน่ะ ไม่ต้องกลัวนะ ไม่มีอันตรายหรอก” เขาปลอบให้เธอคลาย ความกังวล ขยับผ้าห่มให้หญิงสาวซึ่งกำลังตัวสั่นด้วย ความกลัว คงเพราะเพิ่งเจอเรื่องร้ายๆ มาสดๆ ร้อนๆ
หญิงสาวพยักหน้า นอกจากเอรอสแล้วเธอไม่ไว้ใจใคร
เลย
“เราจะไปตามหาญาติของเจ้าในหมู่บ้าน คนที่นี่อาจจะ รู้จักเจ้า ถ้าเจอแล้วเจ้าจะได้กลับไปอยู่กับพวกเขา”
“อือ..อือ” เธอทำเสียงตอบรับในลำคอ เอื้อมมือไปดึง แขนของเอรอสให้ขยับเข้ามาใกล้อีกนิด ก่อนจะใช้นิ้วลากเส้นเป็นตัวหนังสือบอกชื่อของญาติที่เหลือเพียงคน เดียว
“เล… โก…ลัส?” เขาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ซึ่งเธอก็รีบพยัก หน้าหงิกหงัก
“พ่อของเจ้า?” เขาถามต่อ คราวนี้หญิงสาวสั่นศีรษะจนผม กระจาย ก่อนจะ ชี้มาที่เขาแล้วทำเสียงฮือๆ ในลำคอ
“พี่ชาย?”
“อื้อ…” หญิงสาวยิ้มกว้าง พยักหน้าอีกหลายครั้ง ดึงแขน ของเขาลงมาลากนิ้วเขียนอะไรขยุกขยิกเมื่อนึกได้ว่ายังไม่ ได้บอกชื่อเสียงเรียงนามให้เขาได้รู้จัก
เอรอสมองตามนิ้วเรียวเล็กที่กำลังลากอยู่บนท้องแขน ของเขา ผมสีน้ำตาลอ่อนยาวประบ่าล้อมกรอบดวงหน้า สวยอ่อนละมุน ดวงตาดำขลับกลมโต ผิวค่อนข้างขาวซีด คงเพราะไม่ค่อยได้ออกแรงทำงานหนักหรือสู้แดดนานๆ บวกกับเป็นคนตัวเล็กๆ จึงเหมือนคนไม่สบายตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ยิ้มได้อย่างร่าเริงแท้ๆ
“คา…ริน คาริน…นี่คือชื่อของเจ้างั้นสิ…ก็เหมาะดี
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ