ไฟรักสงครามอสูร

บทที่ 6 ร่างทรง



บทที่ 6 ร่างทรง

เอรอสเดินลัดเลาะออกตามหาหญิงสาว ด้วยกลัวว่าจะ เกิดเหตุร้ายขึ้นอีก เป็นไปไม่ได้ที่ใครจะมาเจอเธอ เพราะ ข้าวของทุกอย่างรวมถึงเสบียงและน้ำดื่มยังไม่ถูกแตะต้อง ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ทําร้าย ไม่มีหยดเลือดหรือข้าวของ ใดๆ ตกอยู่

เมื่อหาไม่เจอ เขาก็วกกลับมาที่เกวียนเพื่อหาร่องรอย เพิ่มเติม แต่แล้วขาของเขาก็ชะงักกก อารมณ์พลุ่งพล่าน ขึ้นชั่วครู่ก่อนจะกลับมาสงบนิ่งดังเดิมเมื่อเห็นคารินกำลัง ยักแย่ยักยันใช้ขาเล็กๆ ของเธอปีนป่ายขึ้นไปบนเกวียน ขา ข้างหนึ่งยกพาดค้างไว้บนพนัก อีกข้างห้อยลงมา ขณะที่ มือทั้งสองข้างก็พยายามยึดไม้เกวียนไว้

เสียงสวบสาบด้านหลังทำให้หญิงสาวหันไปมอง เมื่อเห็น ว่าเป็นเอรอส มือที่พยายามจะออกแรงก็ร่วงผล็อย ร่าง บางพลัดตกลงมานอนแอ้งแม้งบนพื้นหญ้านุ่ม

บ!

“โอะ!” เธอร้องได้เพียงแค่นั้น ก่อนจะมองเห็นดาวระยิบ ระยับลอยอยู่รอบตัว
“อยู่ดีไม่ว่าดีลงมาจากเกวียนทำไม ข้าไม่ได้บอกเหรอว่า ให้นั่งรอเฉยๆ น่ะ คิดว่าตัวเองหายดีแล้วหรือ?”

เอรอสสายหน้า อุ้มเธอขึ้นมาบนเกวียนตามเดิม เพิ่ง สังเกตว่าเส้นผมของเธอเปียกชื้นสู่แนบไปตามแก้ม ผิวหนังก็เย็นชืด หากแต่ใบหน้าผ่องใสขึ้น เดาว่าคงจะ คลานลงไปล้างเนื้อล้างตัวในลำธารเล็กๆ ใกล้ๆ นี้ ด้วยครั้ง แรกนั้นเขาเป็นคนเช็ดตัวและทำแผลให้ ซึ่งอาจจะทำให้ เธอต้องเขินอายอยู่ไม่น้อย

“เปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อน ชุดนี้น่าจะพอดีกับเจ้า แล้วก็ รองเท้าคู่ใหม่ด้วย” ชายหนุ่มยื่นเสื้อผ้าและรองเท้าให้คน เจ็บ ตัวเขาเองเดินไปหลบอยู่หลังพุ่มไม้

คารินคลชุดใหม่ออกแล้วยิ้มด้วยความดีใจ แม้มันจะเป็นสี ขาวล้วนไม่มีลวดลายน่ารักๆ อย่างที่เธอชอบ หากแต่เขาก็ ยังเลือกผ้าคาดเอวลายดอกไม้มาตัดทำให้ดูเป็นผู้หญิงขึ้น มาอีกหน่อย

“หรือว่าเขาไม่เห็นข้าเป็นผู้หญิง?” เธอพึมพำกับตัวเอง แล้วสะบัดศีรษะเพื่อไล่ความฟุ้งซ่าน

หญิงสาวจัดการเปลี่ยนชุดอย่างรวดเร็ว พร้อมๆ กับที่คิดว่าทำอย่างไรเธอจึงจะแสดงความขอบคุณเขาได้ ตลอด เวลาที่เดินทางมาด้วยกัน เธอครุ่นคิดมาตลอดว่าทําไมจู่ๆ เสียงพูดของเธอจึงหายไป พยายามที่จะเปล่งเสียงร้อง ออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า และแม้จะนั่งคิดนอนคิดสักเท่าใด ก็ไม่อาจพบคําตอบนั้น สิ่งเดียวที่พอจะทําได้คือการอยู่ เฉยๆ ไม่เพิ่มภาระให้กับเขาอีก เพราะแค่เอรอสช่วยชีวิต เธอไว้และอุตส่าห์พาเธอเดินทางมาด้วยทั้งที่ไม่มีความ เกี่ยวข้องใดๆ ต่อกัน แค่นี้ก็ถือเป็นบุญคุณจนไม่อาจชดใช้ ได้หมดแล้ว

ป่านนี้เลโกลัสจะเป็นอย่างไรบ้าง พี่ชายกำลังตามหาเธอ หรือเขาจะคิดว่าเธอตายไปแล้ว น่าแปลกที่ยามมองเอรอส ครั้งใด เธอก็อดคิดไม่ได้ว่าเขามีอะไรบางอย่างเหมือนกับ พี่ชายของเธอเหลือเกิน

เอรอสเดินออกจากพุ่มไม้หลังจากปล่อยเวลาให้ผ่าน ไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นเธอเปลี่ยนชุดใหม่เรียบร้อยเขาก็ลาก เกวียนไปพ่วงกับอานม้า พาเธอเดินทางเข้าไปในหมู่บ้าน ก่อนที่ฟ้าจะมืดสนิท

เขาตรงไปที่บ้านหลังใหญ่ที่ได้มัดจำค่าห้องพักไว้แล้ว ซึ่งตอนนี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตานั่งกิน อาหารกันอยู่เต็มห้องด้านล่าง บรรยากาศครึกครื้นไม่ เงียบเหงาเหมือนเมื่อช่วงเย็น คนพวกนี้เป็นพ่อค้าจากต่างถิ่นที่แวะเข้ามาพัก ค้างแรมก่อนจะเดินทาง ไปเมืองท่าในวันรุ่งขึ้น โชคดีที่เขาได้จ่ายเงินมัดจําล่วง หน้า จึงไม่ต้องตระเวนหาที่พักใหม่หรือหากหาไม่ได้ก็ต้อง นอนบนเกวียนเหมือนพ่อค้าคนอื่นๆ ที่มาถึงกลางดึก

“อ้อ! มาแล้วเรอะ ข้าทำความสะอาดห้องพักของเจ้าไว้ แล้ว แต่คืนนี้มีลูกค้าเยอะ แล้วอากาศก็หนาว ข้าเลยจะขอ แบ่งเตียงให้เจ้าหนุ่มคนนั้นหน่อย ไหนๆ เจ้าก็นอนคนเดียว อยู่แล้วไม่ใช่เรอะ?”

เจ้าของบ้านซึ่งเป็นชายมีอายุร่างผอมกะหร่องต่อรอง พร้อมชี้ไปทางผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังก้มหน้าก้มตากินข้าว เพราะเอรอสนั้นขอเตียงคู่ทั้งๆ ที่เดินทางมาคนเดียว อีก อย่างวันนี้ลูกค้าเยอะมากเป็นพิเศษเขาจึงไม่อยากเสียราย ได้ไป

“ข้ามีคนมาด้วย เอรอสเบี่ยงตัวให้เจ้าของโรงแรมมอง เห็นเด็กสาวที่นั่งอยู่ในเกวียนบนถนนหน้าที่พัก

“อ้าว! นั่นเมียเจ้าเหรอ? พวกเจ้ายังเด็กอยู่เลยแต่งงาน กันแล้วเรอะ? ข้าก็นึกว่าเจ้ามาคนเดียวซะอีก” เจ้าของบ้าน ตาโต ลำพังผู้ชายนั้นเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้วก็พอจะมีเมียได้ อยู่ แต่เด็กผู้หญิงที่กำลังมองมาตาแป๋วแหววนั้นดูยังไงก็เพิ่งจะแตกเนื้อสาว

“เธอเป็นน้องสาวของข้า แต่ถ้าท่านยอมลดราคาค่าเช่าให้ ครึ่งหนึ่ง ข้าจะยอมแบ่งเตียงให้ก็ได้” เอรอสต่อรองคืนบ้าง เพราะเหลือเงินติดตัวไม่มากนัก

“เจ้านึ่งกใช้ได้เลย ตกลง! เพราะฉะนั้นเจ้าไม่ต้องจ่ายเงิน เพิ่มให้ข้าในส่วนที่เหลือจากเงินมัดจํา เอ้า กุญแจ ส่วน อาหารถ้าไม่สะดวกกินข้างล่าง ข้าจะให้แม่บ้านยกขึ้นไป ให้บนห้อง”

เอรอสรับกุญแจมา จูงม้าลากเกวียนไปผูกไว้ในคอกที่ เจ้าของบ้านเตรียมพื้นที่ไว้สำหรับพวกพ่อค้าที่มาพักได้ เก็บข้าวของและม้า ก่อนจะอุ้มคารินลงมา

“พอจะเดินไหวหรือเปล่า?” ชายหนุ่มถามเพราะตนเองนั้น แบกสัมภาระจนเต็มมือ หากเธอพอจะเดินเองได้ก็จะย่น ระยะเวลาขึ้นลง และไม่อยากให้เป็นที่สะดุดตาคน

คารินพยักหน้า เมื่อเขายื่นแขนมา เธอก็เกี่ยวแขนเขา ไว้แล้วลากขาตามไปช้าๆ ผ่านผู้คนที่กำลังเอร็ดอร่อยกับ อาหารค่ำตรงไปยังบันไดขึ้นชั้นสอง
“ข้าเพิ่งกลับจากแผ่นดินใหญ่ ผู้คนในชายกันน่าดูกับ การเตรียมตัวทําสงคราม เมืองต่างๆ และนักฆ่า ฝีมือดีมาไว้ในสังกัดเพื่อออกตามล่าหามงสงครามที่ ถูกทํานายว่าจะตื่นขึ้นมาในไม่ช้า หรือ จะกลัวจริงๆ นึก ว่าเรื่องนี้เป็นนิทานปรัมปราที่เล่าขานกันมาเสียอีก

“พวกเขากำลังตามหาร่างทรง คนที่จะนำทางไปหาปีศาจ ตนนั้น ในตำนานบอกว่าร่างทรงมักจะเป็นคนธรรมดาๆ อย่างพวกเรา เหตุนี้แหละที่ทำให้ผู้บริสุทธิ์หลายคนต้อง มาตายเพราะการพิสูจน์ว่าคนๆ นั้นเป็นร่างทรงจริงหรือ เปล่า คนของทางการจึงได้ทีถือโอกาสรีดไถและเข่นฆ่า ไปทั่ว อ้างอำนาจจากเจ้าเมืองกดที่ประชาชน ไอ้คนตาดำๆ อย่างพวกเราจึงต้องก้มหน้ายอมรับชะตากรรมกันไป

“กว่าจะหาเจอ คนไม่ตายกันครึ่งโลกเหรอ ข้าว่าร่างทรง ไม่ปรากฏตัวง่ายๆ หรอก เพราะมันเองก็กำลังหนีคนๆ หนึ่ง เหมือนกัน”

บทสนทนาของพวกพ่อค้าทำให้เอรอสซะงัก เขานึกถึง ชาวบ้านที่ตายในหมู่บ้าน ซึ่งคนเหล่านั้นก็คงถูกพิสูจน์ ด้วยเหตุผลบ้าๆ นั่นเหมือนกัน ถ้าเป็นเช่นนั้นก็แสดงว่าวัน หายนะของโลกกำลังดำเนินมาใกล้ทุกขณะสิ่งเดียวที่จะหยุดยั้งสงครามได้คือต้องกำจัดร่างทรงนั้น ก่อนที่ปีศาจจะถูกปลุกให้ฟื้นคืนชีพ

เอรอสก้มลงมองดวงตากลมโตใสซื่อของหญิงสาวแล้ว ถอนใจ ก่อนอื่นเขาต้องรีบตามหาชายหนุ่มที่ชื่อเลโกลัส ให้พบ และหากคว้าน้ำเหลวเขาก็จำต้องทิ้งเธอเอาไว้เพียง ลำพัง เพราะไม่สามารถช่วยเหลือเธอได้มากกว่านี้แล้ว จริงๆ


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ