ตอนที่ 5
5
เพราะไม่มีของสำคัญอันใด ข้าก็เลยไม่ต้องเก็บ เพียง แค่ชำระล้างร่างกายแล้วเปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่ ใหม่ ของข้าแต่เก่าของผู้อื่นที่เขาเกือบจะให้บ่าวไพรนำไปใช้ ทําความสะอาดห้องหับเสียด้วยซ้ำ
ข้าสวมใส่อาภรณ์สีฟ้าเสร็จพอดีก็มีบุรุษผู้หนึ่งเดินเข้า มาในห้องของข้าโดยไม่แม้แต่จะเอ่ยปากขออนุญาต แต่ ข้าก็ไม่คิดใส่ใจกับคนไร้มารยาท ทำเพียงแค่มองสบตา กับบุรุษร่างใหญ่ในอาภรณ์สีดำสนิทที่มีหน้ากากสีดำ ปกปิดใบหน้าเอาไว้ขณะทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้และริน น้ำชามาดื่ม
ในเมื่อเขาไม่พูด ข้าก็ไม่คิดจะเอ่ยปากไต่ถาม แต่ในใจ ของข้านั้น…สั่นไปหมดแล้ว
“ขออภัยคุณชายที่ข้าบุกรุกเข้ามาโดยไม่ได้ขออนุญาต ข้าได้รับคำสั่งให้มานำข้าวของ…”
สายตาเข้มกวาดมองไปทั่วห้องเล็กของข้าที่ไร้หีบใส่
ข้าวของ
อ๋อ…ลืมไป ข้ามีนี่น่า เป็นกล่องไม้แสนเก่าจนมองไม่ ออกแล้วว่าบนฝากล่องสลักอะไรเอาไว้ มันอยู่ที่หัวเตียงแอนของข้า ซึ่งภายในบรรจุสิ่งใดเอาไว้ ข้าก็ไม่รู้หรอก ไม่ใช่เพราะข้าไม่สนใจ แต่เพราะข้าหมดปัญญาที่จะเปิด มันออก
“ข้าวของอันใด แล้วท่านเป็นผู้ใดกัน” ข้าทำเป็นไม่รู้ไม่ ชี้เอ่ยถามออกไป
“มิมีผู้ใดมาแจ้งคุณชายหรือขอรับ”
“ถ้ามีแล้วข้าจะถามท่านทำไมเล่า” ข้าคิดว่าบุรุษตรง หน้ารู้ว่ากำลังถูกข้าตีรวน หากเขาก็ยังคงทำเฉย
“ข้าเป็นองครักษ์ที่ท่านอ๋องส่งมาคุ้มครองท่านขณะเดิน ทางเพื่อไปสมรสเป็นอนุภรรยาของพระองค์
“อ๋อ..” ข้าพยักหน้ารับ แม้จะค่อนข้างแปลกในใจเป็น อย่างมาก ด้วยมีความทรงจำบางส่วนที่มันเลือนหายไป ย้อนกลับเข้ามา ที่มันทำให้ข้ารู้ว่า ก่อนที่ข้าจะย้อนกลับ มาแก้ไขอดีตของตัวเองนั้น ตอนที่ข้าเดินทางไปเข้าพิธี กับเขาผู้นั้น คนที่มารับข้าเป็นเพียงแค่พ่อบ้านวัยชราคน หนึ่ง รถม้าขนาดสามคนนั่งหนึ่งคันพร้อมกับคนบังคับและ บ่าวไพร่อีกสองคนเท่านั้น การเดินทางที่ใช้เวลาร่วมครึ่ง เดือนที่มันช่างราบรื่น…เป็นอย่างมาก
ข้าประชด!
ข้าน่าจะรู้ตัวตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เพราะเพียงแค่ก้าวขา ขึ้นบนรถม้าถูกพาออกจากเรือน ท้องฟ้าที่เคยโปร่งมีแสง อาทิตย์ส่องมารําไรกลับมืดครึ้มและฝนก็เทลงมา….
ระหว่างการเดินทาง ข้าถูกโจรดักปล้น…แต่ก็ไม่ได้ ทรัพย์สินอันใดไป เพราะข้ามมีติดตัวไปเลย…สักชิ้น อ๋อ…มีสิ เป็นอาภรณ์เก่าสองสามชุดไว้ผลัดเปลี่ยน ระหว่างการเดินทางกับอาหารอีกเล็กน้อย
ข้าเป็นไข้จนคิดว่าอาจจะไม่รอดแล้ว แต่สุดท้ายก็ได้รับ การรักษาจนหายอย่าง…น่าอัศจรรย์เป็นยิ่งนัก
อ๋อ…ข้ายังเจอกับสัตว์ร้ายด้วย ถูกมันทำร้ายจนเกือบจะ กลายเป็นคนพิการด้วยซ้ำ
การเดินทางที่มันเต็มไปด้วยขวากหนามต่าง ๆ นานา ชนิดที่ว่าข้าก็สงสัยตัวเองเป็นยิ่งนัก ยังคงรอดชีวิตไป เป็นอนุภรรยาของคนผู้นั้นได้เยี่ยงไร ตนเองโชคดีหรือว่า เคราะห์กรรมยังมีหมด จึงต้องไปพบเจอกับความตายที่ โดดเดี่ยวและน่าสะพรึงกลัว
“มาคุมตัวข้าไปขึ้นเขียงนั่นเอง…ถ้าเช่นนั้นก็ไปกัน เถอะ เพราะตัวข้าเองก็ไม่ได้มีข้าวของอันใดที่สำคัญที่จะ ลําบากท่านองครักษ์ต้องช่วยขน
ข้าเห็นท่านองครักษ์มองอย่างแปลกใจอยู่นะ จนเผลอหลุดปากออกไป “ข้าไม่ได้จะว่าหรอกนะ แต่ถ้าว่า นายของท่านนะ พลาดอย่างที่สุดที่มาขอให้ข้าไปเป็น อนุภรรยา” หรือว่าข้านั้นเข้าใจอันใดผิดพลาดไป แม้จะ เป็นเพียงแค่อนุภรรยาก็ควรที่จะมีพิธีการบ้างไม่ใช่หรือ แต่เท่าที่ข้าจำได้และเห็น…ไม่มีข้อใดบ่งบอกให้ข้ารู้สึกได้ ว่าตัวเองจะมีงานมงคลและไปเป็นอนุภรรยาผู้ใด
“เพราะตัวข้า…เป็นบุตรที่บิดาเลี้ยงแบบทิ้งขว้าง เป็น บุตรที่ถูกบิดาลืมเลือน” ข้ากล่าวโดยไม่ทุกข์ไม่ร้อนใด ๆ อยู่เรือนตัวเองได้พบเจอบิดาก็เหมือนไม่ได้พบนั่นแหละ เพราะบิดาจำมิได้ด้วยซ้ำว่ามีข้าเป็นบุตรอีกคน ยังคิดว่า ตัวข้านั้นเป็นบ่าวไพร่อยู่เลย
เมื่อไปถึงที่แห่งนั้น ข้าก็ไม่ได้รับการยอมรับ เพราะเป็น อนุภรรยาที่ไร้พิธีการรองรับมิหนำซ้ำยังถูกผลักไสให้ไป อยู่ท้ายเรือน เป็นบุคคลที่ถูกลืมเลือนอย่างน่าอัศจรรย์ ก่อนจะถูกลากให้มารับเคราะห์ ถูกใส่ร้ายจนแม้กระทั่ง ตายก็ยังไม่อาจล่วงรู้ว่าผู้ใดสั่งให้ตายและไม่ได้ทวงความ ยุติธรรมให้กับตนเอง ที่ครั้งนี้…ข้าจะไม่ยอมเป็นเช่นนั้น อีกแล้ว!
ข้าลุกขึ้นเดินไปยังเตียงที่อาศัยนอนมาหลายสิบปี หยิบ เอากล่องไม้ขนาดเล็กมาถือไว้และเดินนำบุรุษที่บอกว่า เป็นองครักษ์มาคุ้มครอง…ควบคุมตัวนะถูกแล้ว คงจะกลัว ว่าข้าจะถูกสังหารเสียระหว่างการเดินทาง หรือไม่ก็คงจะ กลัวข้าหนีไปนั่นเอง
() ถ้าข้าทำได้ ข้าทำไปนานแล้ว ไม่รอให้ถึงวันนี้หรอก
“ถ้าข้าจะยังพอมีพื้นที่ความจำในสมองอยู่บ้าง….พิธี มงคลตามกําหนดที่แจ้งมา ยังอีกเกือบจะเดือนไม่ใช่หรือ ท่าน หรือว่าข้าเข้าใจอันใดผิดไป” หากก็เหมือนกับว่าข้า ถามก้อนหิน…ไร้คำตอบจากคนที่เดินตามมา ข้าก็เลย เลือกไม่สนใจ หันไปส่งยิ้มให้กับเหล่าบ่าวไพร่ที่ชะเง้อ คอมองมายังข้าด้วยสายตา…สมเพชเวทนา
แหม…ข้าดีใจนักที่พวกท่านมาส่งข้าเยี่ยงนี้
มาถึงห้องโถงที่ตอนนี้ข้าเห็นฮูหยินสี่อิงเหม่ยนั่งเป็น ประธานและมีสี่ซูเจียวยืนทำหน้าหน้างออยู่ด้านหลัง ของนาง ใบหน้าที่ควรจะแย้มยิ้มเพราะตัวข้าจะต้องไป จากเรือนแห่งนี้กลับบึ้งตึง อีกทั้งในดวงตาของสี่ซูเจียวก็ เต็มไปด้วยโทสะ
อา…นางโกรธเคืองข้าด้วยเรื่องอันใดกันเล่า ข้าว่าตอน นี้ข้าไม่ได้กวนโทสะของนางแล้วนะและไม่ได้มาเสนอ หน้าที่จะทำให้นางโกรธเคืองอันใดเลยด้วย
ข้าเลิกคิ้วมองไปยังเสี่ยวผ่านที่ยืนแอบอยู่ที่ประตูของ บ้าน
“คุณชายหนิงเหอมิลืมข้าวของอันใดอีกแล้วใช่ไหม
หีอ…นั่นใครอีกล่ะ
แล้วข้าก็สังเกตเห็น นอกจากฮูหยินอิงเหม่ยกับสี่ซูเจียว แล้วก็ยังมีบุรุษอีกสี่คนอยู่ในห้องนี้ด้วย….ทุกคนล้วนแล้ว แต่สวมใส่อาภรณ์สีดำมิดชิดและมีหน้ากากสีดำปกปิด ใบหน้า จะยกเว้นก็เพียงแค่บุรุษร่างใหญ่ผู้หนึ่งที่คงจะ เป็นหัวหน้า แม้เขาจะสวมอาภรณ์สีดำแต่หน้ากากที่ ปกปิดใบหน้ากลับเป็นสีเงินซึ่งมีลวดลายแปลกตา ที่เมื่อ ข้าได้สบสายตาด้วย…กายของข้าก็สั่นสะท้านหนาวยะ เยือก รู้สึกเหมือนกับว่ารายรอบกายมันมืดมัวหม่น อึดอัด จนหายใจติดขัดขึ้นมาทันทีทันใด
น่ากลัว!
“ก็ไม่…แล้วนะ” ข้ารวบรวมความกล้าตอบกลับไปเสียง ค่อนข้างจะสั่นไหว ดูเหมือนว่าบุรุษผู้นั้นรู้ว่าข้ากลัว นัยน์ ดวงตาเขาถึงได้จุดประกายคล้ายจะพึงพอใจและชอบใจ
ฮี! อดีตข้าเคยปล่อยให้ความกลัวครอบงำจนปล่อยให้ ชีวิตต้องพบกับจุดจบมาแล้ว หากครานี้…แม้ข้าจะกลัวสัก เพียงใด ข้าก็จะตั้งหน้าสู้
“แม้ว่าข้าสมควรจะมีทรัพย์สินติดกายไป แต่การเดินทางที่ยาวไกล โจรผู้ร้ายชุกชุม ข้าเลยคิดว่า…ไม่ควร พาข้าวของอันใดติดกายไปด้วยจะดีกว่า เผื่อว่าอยู่ที่ นั่นแล้วมันเกิดเหตุร้ายที่คาดไม่ถึง ข้าจะได้หนีอย่างทัน ท่วงทีโดยไม่ต้องห่วงข้าวของนอกกาย
“ข้าวของเจ้า ข้าให้คนจัดเตรียมให้แล้ว”
หือ…ข้ามองฮูหยินสี่อิงเหม่ยอย่างแทบไม่เชื่อสายตาตัว เอง ยังคิดว่าฟังผิดไปด้วยซ้ำ แต่พอเห็นใบหน้าบึ้งตึงของ สี่ซูเจียวแล้วก็เข้าใจ
“ขอบคุณขอรับฮูหยิน”
ข้าโค้งคำนับเป็นการของคุณสี่ฮูหยินในความเมตตา ปรานีที่นางมอบให้ ดูเหมือนว่านางอยากจะพูดอะไรกับ ข้าอยู่นะ แต่…ไม่ล่ะ ข้าไม่อยากฟังท่านเอ่ยทวงบุญคุณที่ ข้าจำไม่ได้ว่าท่านมี
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ