ฟอของลูกเป็นบอสฉัน!

บทที่ 10 เข้าร่วมไปด้วยอีกคนแล้ว



บทที่ 10 เข้าร่วมไปด้วยอีกคนแล้ว

ฉิงฮัวเข้าใจสถานการณ์ส่วนใหญ่มาจากในโทรศัพท์ แล้ว และได้รู้ว่าคุณชายน้อยทั้งสองกำลังเจอกับปัญหา ที่หน้าประตูโรงเรียนอยู่

“คุณชายยี่เฟิง ผมมีเรื่องด่วนคงต้องออกไปก่อนแล้ว” ฉิงฮัวลุกยืนขึ้น แล้วพูดกับเป่หมิงยี่เฟิงคำหนึ่ง

“เฉิงเฉิงกับหยางหยางพวกเขาสองคนไม่เป็นอะไรใช่ ไหม ต้องการให้ฉันส่งคนสักสองคนไปช่วยนายไหม?” สำหรับลูกพี่ลูกน้องทั้งสองคนของเขานั้น เป่หมิงยี่เฟิ งก็ยังคงมีความเป็นพี่ชายอยู่จริง ๆ และที่สำคัญยังรู้สึก เป็นหว่งพวกเขาขึ้นมาจากใจจริงอีกด้วย

“ขอบคุณครับคุณชายยี่เฟิง แต่ผมไปจัดการคนเดียว ก็พอแล้ว งั้นผมไปก่อนนะครับ” พูดจบ ฉิงฮัวก็หมุนตัว เดินออกจากบริษัทไปอย่างรวดเร็ว

“เด็กสองคนนี้เป็นอะไรไป? ทำไมผมฟังแล้วเหมือน กับเจอปัญหาอะไรเข้าแล้วนะ?” ถังเทียนจื่อถามขึ้น

“ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจ แต่ว่าปัญหาน่าจะไม่ใหญ่หรอ

กมั้ง”

พอเฉิงเฉิงโทรศัพท์เสร็จ ก็เอาคำพูดที่ฉิงฮัวบอกเขา กระซิบให้หยางหยางฟังเบา ๆ และในเวลาเดียวกัน จินเล่ยพาพวกโก้เก๋ก็มาเกือบจะถึงตรงหน้าพวกเขาแล้ว

“เป่หมิงซีหยาง แกรีบร้องขอชีวิตเถอะ ฉันจะบอก อะไรแกให้นะ ถึงแกโทรศัพท์แล้วฉันก็ไม่กลัวหรอก แก เห็นหรือยัง สามคนนี้เป็นบอดี้การ์ดของพ่อฉันทั้งนั้น มาแปดเก้าคนพวกเขาก็ยังจัดการไหว” อยู่ในเวลานี้จิ นเล่ยถือได้ว่าสามารถลืมตาอ้าปากต่อหน้าหยางหยาง ได้สักครั้งหนึ่งแล้ว

ถึงแม้ว่าตอนนี้ท้องของเขาอาจจะยังเจ็บน้อย ๆ อยู่ บ้าง แต่ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว

***

การเผชิญหน้าที่กับจินเล่ยที่คอยอวดเบ่งเสียงดังไม่ หยุดอยู่ต่อหน้าตัวเอง รวมถึงพวกโก้เก๋สามคนที่ยืน ช่วยข่มขู่อยู่ข้างหลังเขานั้น มันทำให้เฉิงเฉิง หยาง หยาง และจ้าวจิงอี้พวกเขารู้สึกเรื่องมันยากขึ้นมาบ้าง แล้วจริง ๆ

“ตามผู้ใหญ่มาช่วย ถือว่ามีปัญญาอะไร” จ้าวจิงอี้พูด เสียงดังใส่จินเล่ย

ถึงแม้เธอเผชิญหน้ากับคนพวกนี้แล้วรู้สึกกลัว แต่ว่าก็ รู้สึกว่ามีคนอยู่ในเหตุการณ์เยอะขนาดนี้ เธอก็ไม่เชื่อว่า คนพวกนี้จะกล้าทำอะไรพวกเธอได้

และที่สำคัญ การตะโกนเสียงดังแบบนี้ก็ยังสามารถ ดึงดูดให้ผู้คนมาสนใจทางนี้มากขึ้น แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นแล้วละก็ ก็อาจจะปลอดภัยกว่า อย่างน้อยก็น่าจะมีคน ก้าวออกมาพูดอะไรบ้างก็ได้ หรือบางทีอาจจะมีคนแจ้ง ตำรวจ

และก็เป็นไปตามนั้น หลังจากที่เธอพูดจบแล้ว ก็ สามารถดึงดูดความสนใจคนได้จริง ๆ

ที่จริงแล้วตั้งแต่ตอนที่จินเล่ยพาพวกคนโก้เก๋สามคน

เดินมาอย่างดุร้ายนั้น ก็เริ่มมีคนสังเกตเห็นพวกเขาแล้ว

เพียงแต่ว่า คนที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานดี ๆ เขาไม่ มาสนใจพวก ‘นักเลงหัวไม้พวกนี้หรอก ก็เลยแกล้งทำ เป็นมองไม่เห็นกันอย่างแน่นอน

“เหอ เหอ จะบอกอะไรเธอให้นะ อย่าดูว่าที่นี่คนเยอะ ขนาดนี้ ถึงแม้พวกเราตีเธอแล้ว ก็ไม่มีใครก้าวออกมา พูดอะไรหรอก เธอเชื่อฉันไหมล่ะ” จินเล่ยหัวเราะอย่าง ไร้ยางอาย

และในเวลาเดียวกันพวกโก้เก๋สามคนข้างหลังเขาก็ ทําท่าทางไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินอีก และเอามือทั้งสอง ข้างขึ้นมากอดอยู่ตรงหน้าอก พวกเขาหัวเราะได้อย่าง ไม่ระมัดระวังตัว ร่างทั้งร่างก็ค่อย ๆ สั่นเทาไปด้วย

“หรือจะไม่มีคนมาช่วยเราแล้วจริง ๆ เหรอ คราวนี้ควร ๆ ทำยังไงดีละ?” จ้าวจิงอี้เห็นสถานการณ์เป็นอย่างนี้ก็อึ้ง ทึ่งไปแล้ว

เฉิงเฉิงก็หมดหนทางแล้ว ถึงแม้เมื่อกี้จะโทรศัพท์หาฉิงฮัวไปแล้ว

แต่ว่าเขาขับรถจากบริษัทเป่หมิงมาที่นี่ อย่างน้อยก็ ต้องใช้เวลาสิบกว่ายี่สิบนาที

ช่วงเวลาระหว่างนี้ถ้าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริง ๆ แล้วละก็ ดูท่าจะจัดการยากแล้วจริง ๆ

หยางหยางก็เหมือนกับพวกเขา กำลังกังวลเรื่องบาง อย่างอยู่ในใจ เพียงแต่ที่เขากังวลคือหวูเสี่ยวเอ๋อ เมื่อกี้ ตัวเองเป็นคนเรียกเขามาเองนะ

ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ เจ้าจินเล่ยคงจะต้องคิด บัญชีกับตัวเองอย่างเด็ดขาดแล้ว และมีผู้ใหญ่สามคน นั้นอยู่ ยังไงตัวเองก็ต้องโดนตีแล้วแน่นอน

ถ้าหากหนูเสี่ยวเอ๋อมาแล้ว ก็จะโดนตีไปพร้อมกับตัว เองด้วยไม่ใช่เหรอ…….

หยางหยางที่เป็นลูกพี่นี้ ก็ค่อนข้างดีกับลูกน้องอยู่ เขาไม่อยากให้คนอื่นต้องมาบาดเจ็บเพราะตัวเองไป ด้วย

“เป่หมิงซีหยาง เมื่อกี้แกยังอวดเก่งอยู่เลยไม่ใช่เหรอ ตอนนี้ทำไมกลายเป็นใบ้ไปแล้วล่ะ? เข้ามาซิ มีปัญญา ก็เข้ามาแบบเมื่อกี้อีกครั้งซิ! เข้าเด็กอย่างแก ก็มีตอนที่ กลัวด้วยเหรอ จะบอกอะไรแกให้นะ เมื่อกี้ฉันให้โอกาส แกลอดใต้หว่างขาแล้วก็เจ๊ากันไป แต่ว่าตอนนี้ ทั้งบัญชี เก่าบัญชีใหม่ฉันจะคิดพร้อมกันเลย ไม่เพียงแค่ตีแกเท่านั้น ตีแกเสร็จยังต้องให้แกลอดใต้หว่างขาฉันไปอีก”

“ใครจะให้ลูกพี่ฉันลอกใต้หว่างขากัน? จินเล่ย เจ้า เด็กอย่างแกยังอยากจะโดนตีอีกแล้วเหรอ ฉันจะตีจน ให้แกไม่เพียงลอดใต้หว่างขาลูกพี่ฉันเท่านั้น ยังต้อง ลอดของฉันอีกด้วย!”

พูดแล้ว เด็กคนหนึ่งที่ตัวโตเท่าประมาณหยางหยาง ก็ดินทะลุรถที่จอดอยู่หน้าประตูผ่านเข้ามา และก็มาถึง ข้างกายหยางหยางอย่างรวดเร็ว

“นายทําไมมาเร็วขนาดนี้ รีบหาคิดวิธีพาพี่ฉันแล้วจ้าว จิงอี้หนีไปจากที่นี่เร็ว” พอหยางหยางเห็นหวูเสี่ยวเอ๋อ แล้วก็พูดเสียงกระซิบเบา ๆ กับเขาขึ้น

หวูเสี่ยวเอ๋อมองพวกจินเล่ยแล้ว ก็เข้าใจแล้วว่านี่ คงจะเจอกับปัญหาใหญ่เข้าให้แล้ว

“ถ้าฉันพาพวกเขาหนีไปแล้ว นายจะทำยังไงล่ะ?”

หยางหยางขมวดคิ้วแล้วกัดฟันพูดขึ้น “นายไม่ต้อง สนใจฉันหรอก พอถึงตอนนั้นฉันก็จะหาโอกาสหนี เหมือนกัน”

“เหอ เหอ พวกแกสองคนกำลังซุบซิบอะไรกันอยู่ตรง นั้น? ปรึกษากันว่าจะหนียังไงกันอยู่ละซิ จะบอกอะไร แกให้นะ วันนี้พวกแกทุกคนไม่ว่าใครก็หนีไม่รอดหรอก” จินเล่ยพูดไป ก็แผ่รังสีความโหดเหี้ยมออกมาอย่างมาก เขาหันหลังไปบอกกับพวกโก้เก๋ทั้งสามว่า “เจ้าเด็กสองคนที่ตีฉันวันนั้น ต่างก็อยู่ที่นี่กันหมดแล้ว พวกนายตีมัน ให้น่วมไปเลย!”

เจ้าโก้เก๋ทั้งสามต่างก็ยิ้ม แล้วก็กำหมัดไปด้วยและ ค่อย ๆ เดินไปทางพวกหยางหยางไปด้วย

หยางหยางกับหนูเสี่ยวเอ๋อดูสถานการณ์จากตอนนี้ แล้วคงจะไม่มีทางหนีแน่ ๆ พวกเขาสองคนเอาเฉิงเฉิ งกับจ้าวจิงอี้มาปกป้องไว้ข้างหลัง แล้วพูดเสียงเบาว่า “พวกนายสองคนเดี๋ยวหาโอกาสหนีไปนะ พวกเราจะมา ดึงดูดความสนใจของพวกมันไว้เอง ถ้าหากเจอแม่แล้ว ไม่ต้องบอกให้เขาเข้ามานะ ให้เรียกตำรวจมาเลยหรือ ใครก็ได้”

ในเวลานี้เฉิงเฉิง ก็โดนเจ้าน้องชายคนนี้ของเขาทำให้ ซาบซึ้งแล้ว อย่าดูว่าปกติมักจะมีการกระทบกระทั่งกัน บ้าง แต่ตอนนี้พอเกิดเรื่องขึ้นมากลับกล้าก้าวยืนออกมา จริง ๆ และแน่นอนว่าก็ไม่ใช่ครั้งแรกแล้ว

คราวนี้จ้างจิงอี้ตกใจจนน้ำตาหมุนวนอยู่ในดวงตา แล้ว “เป่หมิงซีหยาง ขอโทษจริง ๆ นะ ฉันต้องขอโทษ ต่อคำพูดที่เคยพูดสอดเสียดนายมาตลอดด้วย…..

“ตอนนี้เธอช่วยพูดอะไรที่มันดูเป็นมงคลหน่อยได้ ไหม ทำอย่างกับให้รู้สึกว่าจะจากลากันตลอดกาลแล้ว อย่างงั้นแหละ อย่ามาเพิ่มเรื่องไม่สบายใจให้ฉันที่นี่ได้ ไหม ตามพี่ชายของฉันไป แล้วพวกเธอก็โบยบินไปให้ไกล ๆ เถอะ”

คำพูดนี้ฟังแล้วทำไมมันทะแม่ง ๆ ล่ะ? ทำให้รู้สึก เหมือนกับว่านี่จ้าวจิงอี้กำลังจะหนีตามเฉิงเฉิงไปยังไง อย่างงั้น…….

หลังจากที่เฉิงเฉิงและจ้าวจิงอี้มองกันทีหนึ่งแล้วก็ หมดคำพูดกันเลยทันที และที่หน้าผากก็มีเส้นดำออกมา เส้นหนึ่ง

“พวกนายสามคนอย่าให้เจ้าพวกสี่คนนี้หนีไปได้ละ ถ้าหากหนีไปได้แม้แต่คนเดียวละก็ พอถึงเวลาอย่ามา โทษว่าฉันไปฟ้องพวกนายกับพ่อฉันนะ! ยังมีพวกนาย สองคนด้วย ตามเข้าไปพร้อมกันเลย”จินเล่ยพูดแล้ว ก็ ให้ลูกน้องสองคนของตัวเองตามไปสมทบกับพวกโก้เก๋ ด้วย ไปเดินหน้าล้อมพวกหยางหยางและเฉิงเฉิงเอาไว้

หยางหยางกับหนูเสี่ยวเอ๋อทั้งสองคนคุ้มกันเฉิงเฉิงกับ จ้าวจิงอี้ไว้ แล้วค่อย ๆ ถอยหลังไปทีละนิด

หน้าประตูโรงเรียนแต่แรกก็มีพื้นที่อยู่ไม่เท่าไหร่ แล้ว ยิ่งมามีรถจอดอยู่เจ็ดแปดคัน บวกกับตอนนี้ยังมีคน อีกกลุ่มหนึ่งด้วย ก็เปรียบเสมือนกับว่าอุดหน้าประตู โรงเรียนไว้แบบน้ำไหลผ่านไม่ได้กันเลยทีเดียว

คนมีเงินพวกนี้นี่ช่างมี ‘คุณธรรม’กันจริง ๆ พอเห็น ว่าที่หน้าประตูโรงเรียนเกิดเรื่องแล้ว ต่างก็ทยอยถอย รถหรูของตัวเองออกมากันหมด ถอยจนมีพื้นที่ว่างและ โล่งมากพอแก่พวกเขา
ที่พวกเขาทําแบบนี้ก็เพราะว่าไม่อยากให้ตอนที่สู้กัน ขึ้นมาแล้ว จะมาทำให้รถของตัวเองชายไปด้วย สําหรับ ในนั้นผู้ใหญ่ คนตีเด็กกี่คนนั้น พวกเขาไม่สนใจกัน หรอก

เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ก็ยิ่งส่งผลให้จินเล่ยและพวกโก้เก๋ ยิ่งหยิ่งผยองมากขึ้นไปอีก

วงล้อมเริ่มค่อย ๆ บีบตัวเข้ามา คนห้าคนที่ท่าทางโหด เหี้ยมค่อย ๆ เดินเข้าไปทางพวกหยางหยาง

จินเลยกลับยืนอยู่อีกข้าง “เป่หมิงหยาง วันนี้เป็นวัน สิ้นโลกของแกแล้ว!

“เอี๊ยด… รถยนต์เบรกกะทันหัน ทำให้เกิดเสียงดัง

บาดหู

และสิ่งที่ตามมา ยังมีกลิ่นเหม็นไหม้จาง ๆ ที่เกิดขึ้น

หลังจากที่ล้อรถยนต์เสียดสีกับพื้นผิวอย่างแรงอีกด้วย จนทำให้พวกคนมุงดูต้องรีบหลบหลีกกันตาม

สัญชาตญาณเลย

“ตุ๊ ตุ๊ ตุ๊ …” ที่ตามติด ๆ ก็คือเสียงเตือนกันขโมย ของรถคันหนึ่งดังขึ้น

“นี่ นี่คุณชนรถฉันพังแล้วนะ คุณรู้ไหมว่ารถของฉันนี่ มันเป็นรถเบนซ์นะ…..” คนคนหนึ่งที่น่าจะเป็นผู้ปกครอง ที่มารอรับลูกเลิกเรียน เข้ามาโต้แย้งขึ้นกับผู้ชายคนหนึ่งที่เพิ่งลงมาจากรถ

ผู้ชายคนนั้นใส่สูทดูสง่าผ่าเผย รูปร่างสูงโปร่งและ แข็งแกร่ง ทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้าแผ่รังสีเย็นยะเยือก ออกมา จนทำให้อากาศโดยรอบเย็นลงอย่างมากเลย ทันที

ดวงตาทั้งคู่เหล่มองเจ้าหมอนั่นที่กำลังปวดใจกับรถ ตัวเองจนจะร้องไห้อยู่แล้วทีหนึ่ง จากนั้นก็ล้วงเช็คออก มาจากกระเป๋าเล่มหนึ่งแล้วเขียนตัวเลขชุดหนึ่งลงไป แล้วเหวี่ยงออกไป “นี่มากพอให้รถของคุณรื้อทั้งหมด ออกมาซ่อมได้ครั้งหนึ่งแล้ว”

พอพูดจบแล้ว เขาก็เดินไปทางหยางหยาง เดินผ่าน ไปด้วยฝีก้าวที่รวดเร็วราวกับดาวตก

หยางหยางและหวูเสี่ยวเอ๋อกำลังเตรียมตัวจะสู้สุด

ชีวิตกับคนพวกนั้นแล้ว

พอมีพวกโก้เก๋มาเสริมความกล้า ก็ไม่รู้ว่าลูกน้องทั้ง สองคนนั้นของจินเล่ยมีพละกำลังด้านมืดขึ้นมาตั้งแต่ ตอนไหน ถึงขนาดออกตัวเป็นอาสาสมัครพุ่งไปที่พวก หยางหยางเป็นคนแรกเลย “แค้นที่แกตีลูกพี่ของเรา เราจะต้องชำระแน่ ๆ เจ้าเด็กน้อยคอยดูหมัดไว้ให้ดีล่ะ!”

***

ลูกน้องสองคนนั้นของจินเล่ยอยากจะออกหน้า และที่ สำคัญถือว่ามีพวกโก้เก๋คอยหนุนหลังอยู่ ก็ยกหมัดขึ้นพุ่งเข้าใส่พวกหยางหยางและหวูเสี่ยวเอ๋อ

และอย่างรวดเร็วก็ได้ยินเสียง “โอ๊ย โอ๊ย โอ้ย…..

เห็นเพียงแต่เจ้าสองคนนั้นโดนหยางหยางและหวู

เสี่ยวเอ๋อทําให้ล้มลงกับพื้นอย่างง่ายดายทันที สภาพนั้นเหมือนกับเจ้านายของพวกเขาก่อนหน้านี้

เลย ต่างก็ใช้มองมือกุมท้องเอาไว้ ตัวงออยู่อย่างกับเป็น

กุ้งเลย

ความเจ็บปวดที่มีอยู่เต็มใบหน้านั้นไม่ต้องพูดถึงเลย

ครั้งนี้จินเลยมาแบบมีความมั่นใจที่จะชนะร้อยทั้งร้อย

เลยนะ

คิดว่ามีพวกโก้เก๋คอยหนุนหลังอยู่ตรงนี้ พวกหยาง

หยางน่าจะไม่กล้าลงมือหรอก

แต่ว่าเกินความคาดหมายของเขาแล้ว ในเวลาแบบนี้ แล้ว เจ้าเด็กสองคนนี้ยังคงไม่เห็นตัวเองอยู่ในสายตา อีกเช่นเดิน และยังคงลงมือแบบไม่ออมมือให้เลยสักนิด

“นี่มันเป็นคนไร้ค่าสองคนเลยจริง ๆ ! พวกนายสาม คนจัดการเด็กสองคนนี้แบบโหด ๆ ให้ฉันเลย วันนี้ต้อง ทำให้พวกมันราบเป็นหน้ากลองไปกับพื้นให้ได้!”

จินเล่ยเขย่งเท้าร้องตะโกน คาดว่าเขาก็คงโดนบีบจน ไม่มีทางแล้ว
หลังจากที่จินเลยสั่งคําสั่งโหดออกไปแล้วนั้น อยู่ ๆ ก็ รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองนั้นเบาขึ้น ตัวทั้งตัวเหมือนกับ ลอยขึ้นยังไงอย่างงั้น

แน่นอนว่าเขาไม่ได้คิดว่าตัวเองมีพลังวิเศษอะไร และ ที่สำคัญ โดนคอเสื้อนั้นรัดอยู่มีความรู้สึกว่าไม่สบายตัว จริง ๆ

“อายุน้อย ๆ ก็รู้จักลงมือโหดแบบนี้แล้ว คาดว่าโตไป นายก็คงไม่มีทางเป็นคนดีอะไรได้

เสียงนี้เหมือนเสียงที่เปล่งออกมาจากในนรกยังไง อย่างงั้น เย็นยะเยือกและที่สำคัญยังขรึมต่ำ ทำให้จิ นเล่ยขนลุกพรึบไปหมดทั้งตัว

ในใจของเขาเริ่มลนลาน แต่ปากก็ยังคงไม่ปรานีคน “คุณเป็นใครกัน ปล่อยผมลงเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นละก็คุณจะ ได้เห็นดีกันแน่ พ่อผมนั้นไม่ใช่คนที่จะแหย่ได้ง่าย ๆ นะ”

เขาพูดไป มือเท้าก็ยังไม่ยอมหยุดดิ้นรนต่อไป

แต่น่าเสียดายความพยายามแบบนี้กลับไม่ได้ทำให้ ตัวเองได้รับอิสระกลับคืนมาเลย

ในตอนที่พวกโก้เก๋กำลังเตรียมตัวจะสั่งสองหยาง หยางกับหนูเสี่ยวเอ๋ออยู่นั้น อยู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงจินเล่ยกำ ลังดิ้นรนอยู่ข้างหลัง

ที่จริงสำหรับพวกเขามาพูดแล้ว ผู้ใหญ่สามคนมาตีเด็กสองคน มันช่างน่าขายหน้ามากเลยจริง ๆ แต่ว่ามัน ไม่มีทางออกแล้ว ใครให้ตัวเองเอาค่าตอบแทนไปแล้ว ละ ไม่ว่าจะขายหน้ายังไงก็คงต้องทำอยู่ดี

พวกเขาหันหน้าไปมองตามเสียง แล้วก็ต้องตกตะลึง จนหน้าซีดขึ้นมาทันที

เห็นแค่เพียงจินเล่ยโดนผู้ชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง หิ้วปกคอเสื้อไว้จนเขาตัวลอยอยู่ เขายังคงใช้แขนขา ดิ้นรนไม่ยอมหยุด ดูแล้วท่าทางไม่สบายเอามาก ๆ อีก ด้วย


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ