2 เฝ้ามอง /1
“แต่ถ้าบริษัทไม่ให้โอกาสเด็กจบใหม่เข้ามาทำงาน เด็กที่จบ ใหม่ก็จะไม่มีประสบการณ์ในการทํางานเลยนะคะ แล้วอย่างนี้จะ เอาประสบการณ์มาจากไหน” ไม่รู้ว่าทำไมเธอจึงกล้าเอ่ยปาก ออกไป ทั้งที่ไม่ได้คิดจะพูดเลยสักนิด
ตลลดาสังเกตเห็นมุมปากของเขากระตุกขึ้นเล็กน้อย สีหน้า เหมือนจะเยาะหยันในคำพูดของหล่อน
“เก่งนี่ กล้าต่อปากต่อคํากับฉัน ซึ่งเป็นถึงท่านประธาน บริษัทนี้” นั่นไง เขากำลังเยาะหยันเธอจริงๆ ด้วย
“ดิฉันแค่พูดเรื่องจริงค่ะ
“แต่หน้าที่เธอ คือฟังคำสั่งของฉัน และต้องปฏิบัติตาม
ไม่ใช่ให้มาเถียงฉัน หรือเธอไม่อยากฝึกงานที่นี่”
ดลลดาก้มมองมือตัวเอง แล้วนับหนึ่งถึงสิบในใจ
“ตั้งแต่พรุ่งนี้ดิฉันจะไม่แต่งชุดนักศึกษามาอีก” ดลลดา บอกเขาทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่
เมื่อได้คำตอบที่น่าพอใจแล้ว ชวนนท์ก็มองไปยังมือบางที่ ประสานกันอยู่ เห็นรอยแดงที่ข้อมือ เนื่องจากถูกประตูลิฟต์หนีบ ชายหนุ่มหันหลังกลับเดินไปที่ผนังห้องที่เป็นกระจกใสแจ๋ว สามารถมองลงไปเห็นวิวทิวทัศน์เบื้องล่างได้อย่างงดงาม
“คราวหน้าคราวหลังก็ระวังหน่อย อย่าโง่เอาข้อมือมาขวาง ประตูลิฟต์ที่กำลังจะปิดอีกล่ะ ถึงแม้จะรู้ว่ามันจะกั้นประตูไม่ให้ ปิดได้ แต่ก็ไม่ค่อยมีคนฉลาดจะทำให้ตัวเองเจ็บตัวไม่เข้าท่า แบบนี้ ไปได้แล้ว”
ดลลดา วัดสายตาใส่อีกฝ่ายเมื่อได้ยินเขาเหน็บแนม ค่อน ไปทางค่าเธอว่าโง่นั้น … ผู้ชายปากร้าย เห็นคนเจ็บตัว ไม่ ปลอบแล้วยังซ้ำเติมอีก ก่อนหันหลังเดินตัวตรงออกไปจากห้อง สาวน้อยไม่รู้เลยว่า ถึงแม้ชายหนุ่มหันหลังให้ แต่สายตาเขาก็ยัง จับจ้องมองเธอตลอดเวลา จากเงาสะท้อนที่กระจก
ชายหนุ่มแอบผ่อนลมหายใจออกมายืดยาว ทันทีที่สาวน้อย เดินออกไปแล้ว
“ดรีม เป็นไงมั่ง เจ้านายว่าอะไรบ้างรึเปล่า
ดลลดามองสบตาอรอนงค์นิดนึง ก่อนจะมองไปที่เอกสาร
ตรงหน้าที่อรอนงค์นำมาให้เธอพิมพ์
“จะเหลือเหรอคะพี่อร เฮ้อ…มาทำงานวันที่สองก็โดนดุเอา ซะแล้ว”
“เอาน่า คราวนี้ช่างมัน ถือซะว่าเป็นบทเรียนแรก เรายังต้อง เจออีกนาน 3 เดือนล่ะ
“ค่ะ ดรีมจะทนค่ะ ต้องทนให้ได้ พอไม่ต้องห่วงค่ะ สู้สู้
ดลลดา ส่งยิ้มโชว์ฟันสวยเกือบครบ 32 ซี่ ให้อรอนงค์
เป็นการบอกว่าไม่เป็นไรจริงๆ
“หนูจันทร์”
ภา หรือการินี วิ่งกระหืดกระหอบมาหาร่างอวบอิ่มด้วยวัย สาวของเพื่อนสาวขณะกำลังเดินกอดตำราเรียนอยู่ ดวงตาคู่สวย สีน้ำตาลอ่อนเป็นประกายวาววับ เมื่อหันหน้ามาตามเสียงเรียก ของเพื่อนสาว
หนูจันทร์ของครอบครัว และของเพื่อนๆ มีชื่อเต็มๆ ว่า ศศิ วิมล วิริยะเจริญ ด้วยความที่เกิดมาในตระกูลที่มีฐานะมั่นคง และได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงม เนื่องจากบิดาและ มารดานั้นมีบุตรสาวเพียงคนเดียว สาวน้อยอย่างหนูจันทร์ จึง เหมือนเจ้าหญิงองค์น้อยๆ ที่อ่อนหวานน่ารัก หนูจันทร์เป็นสาว สวยเหมือนตุ๊กตาญี่ปุ่น มีผมสีดำสนิทเป็นเงางาม มีดวงตาสี น้ำตาลสวย มีผิวสีขาวอมชมพู และริมฝีปากจิ้มลิ้มน่ารัก จึงเป็นที่ หมายปองของชายหนุ่มมากมาย ทั้งรุ่นพี่ รุ่นเดียวกัน หรือแม้แต่ รุ่นน้อง แต่หนูจันทร์ไม่เคยยอมใจอ่อนคบหากับชายใดเลย เธอ ตั้งหน้าตั้งตาร่ำเรียน เพื่อจะจบการศึกษาด้วยคะแนนสูง เป็น ความภูมิใจของพ่อแม่ นั่นคือสิ่งที่เพื่อนๆ รู้ แต่หารู้ไม่ว่าจริงๆ แล้ว หัวใจของหนูจันทร์นั้นไม่ได้ว่างเปล่า แต่มีเงาของชายหนุ่ม ผู้หนึ่งซ่อนอยู่ในนั้น เต็มสี่ห้องหัวใจ
สาวน้อยยังจำได้ดีถึงเหตุการณ์ในคร วันนั้นเป็นวันที่ ฝนตกหนัก หนูจันทร์ที่อยู่ในชุดนักเรียนมัธยมของโรงเรียนชื่อ ดังแห่งหนึ่ง กำลังจะข้ามถนนตรงทางม้าลาย แต่จู่ๆ ก็มีรถที่แล่น มาด้วยความเร็ว ทั้งที่ฝนตกหนักถนนลื่น จึงไม่เห็นร่างบางของ เด็กสาวที่กำลังเดินข้ามถนน คนใกล้ตัวเจ้าของรถคนนั้นคงเพิ่งเด็กสาว เลยได้ขนบางทันที ร่างของจันทร์ลอยลิ่ว เหมือนใบไม้ และตกลงพงหญ้าข้างทาง ตอนนั้นสมองของหนูจันทร์เบลอไป หมด ตัวหนึบหนูจันทร์กระดุกกระดิกตัวไม่ได้จนเมื่ออ้อมแขนอันแข็งแกร่ง ปลายโด่งปลายตายาวไม่แพ้อิสตรี ผม ของเปียกแนบกับศีรษะทุย เขาคงรู้สึกว่าคนมองก้มหน้ามาสบตาสวยของแสดงถึงความเป็นห่วง เป็นเธอนักหนาทั้งไม่เคยรู้จักเลยด้วยซ้ำ แล้ว สติสัมปชัญญะของศศิวิมลก็ดับวูบลง
เมื่อศศิวิมลรู้สึกอีกครั้ง บุคคลที่ได้พบคือบิดาและ มารดาของสาวน้อยนั่นเอง อาการของสาวน้อยไม่น่าเป็นห่วงดัง ที่ไว้ คงเป็นเพราะตอนเธอตกลงนั้น ความนุ่มของพง หญ้าที่รับร่างเอาลดการกระแทกลงมาก อาการของศศิ วิมลเพียงสะโพกซึ่งรับการกระแทกจากตัวรถ และรอย ฟกช้ำเขียวตามร่างกายที่มีไม่มาก ลงความเห็นว่าควรต้องตรวจดูแน่ใจก่อน ในเรื่องน้อยจึงต้องนอนโรงพยาบาล4 วัน
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ