การโต้กลับของหมอหญิง

บทที่ 2 พบหมอ



บทที่ 2 พบหมอ

บทที่ 2 พบหมอ

“ท่านพี่ชายสะใภ้ อย่าเอะอะไปเลย!

เหล่าฮูหยินประคองไม้เท้ายืนตระหง่านอยู่หน้าเรือน มอง ดูความวุ่นวายในศาลาไหว้ศพ ข้างหลังนางตามมาด้วยเหล่า หญิงสาวแสร้งทำเป็นสงบเสงี่ยม

ถึงคราวนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องแบ่งแยกชายหญิงกันแล้ว หาก ยังแบ่งแยกกันอยู่ จะไร้ซึ่งคนรักษาหน้าตาเหล่าฮูหยินไว้ได้ แล้ว

“ท่านแม่ย่า กล้าออกมาแล้วงั้นหรือ” พี่ชายของลูกสะใภ้ ตะโกนถาม “มาก็ดีแล้ว เราไปพบขุนนางกัน

“หลานชาย เจ้าเข้าใจผิดแล้ว!” เหล่าฮูหยินกระแทกไม้ เท้าพร้อมเอ่ยด้วยเสียงต่ำ

“เข้าใจผิดหรือ” พี่สะใภ้ยืนขึ้น น้ำเสียงแหบพร่าจากการ ร่ำไห้เมื่อครู่หัวเราะเย้ยหยัน “เหล่าฮูหยิน คนตายทั้งคน เข้าใจ ผิดหรือไม่ ไม่ใช่ท่านเป็นคนตัดสิน ใครจะรู้ว่าท่านทำไปเพื่อหา เมียรองหรือเปลี่ยนเมียหลวงให้น้องเขยกันแน่”

สีหน้าเหล่าฮูหยินเปลี่ยนไป นางรู้ว่าเรื่องนี้คงปิดบังไม่ได้

อีกแล้ว
ที่ลูกสะใภ้ต้องมานอนในโลงศพนี้ ก็เพราะว่านางหกล้ม ในเรือน ที่หกล้มก็เพราะนางทั้งสองเกิดปากเสียงกัน ลูกสะใภ้ โมโหรีบเดินหนีไป โมโหจนรีบเดินหนีไปก็เพราะตัวเองพูด เรื่องที่จะรับสะใภ้รองเข้าบ้าน

นางทำอะไรผิดอย่างนั้นหรือ ลูกชายเป็นลูกคนโตของ ตระกูล จนวันนี้ยังไม่มีหลานชายให้สักคน แต่กลับมีหลานสาว คนแล้วคนเล่าแบบนี้ ก็เพราะหญิงในบ้านไม่ได้เรื่องไม่ใช่ หรอกหรือ คนเป็นแม่อย่างนางจะทำพิธีใช่ไหว้หรือว่าจะรับ สะใภ้รองเพิ่มอีกสักคนไม่ได้หรือไร

เซ่นไหว้วิญญาณเรื่องใหญ่เป็นหลักการแห่งฟ้าดิน

นางผิดอะไร!

ความผิดเพียงอย่างเดียว ก็คือลูกสะใภ้ตายในเรือนของ

เหล่าฮูหยินไม้เท้าในมือจนแน่น เหงื่อไหลเต็มฝ่ามือ

“อวิ๋นเหนียงไม่ได้ตาย” นางกล่าวออกมาทีละคำ เมื่อคำพูดนี้ออกจากปาก ผู้คน ณ ที่แห่งนั้นต่างอึ้งไปกัน

คนที่ยืนใกล้ก็อึ้ง ส่วนคนที่เหลือก็อึ้งไปตามกัน

เวลาฟ้าใกล้รุ่ง แสงจากโคมไฟในเรือนค่อยๆ เลือนหาย ต้นไม้เขียวขจีเป็นทิวแถว คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคล้ายว่าจะมอง หน้าอีกฝ่ายไม่ชัดเจนนัก
ในสายตาของผู้คน ณ ตอนนี้ เหล่าฮูหยินราวกับอยู่ใน เมฆหมอก

“ท่านพูดอะไรนะ” พี่ชายสะใภ้ตะโกนถาม

“ข้าบอกว่าอวนเหนียงไม่ได้ตาย!” เหล่าฮูหยินเริ่มเอ่ยคำ แรก หลังจากนั้นคำพูดก็เริ่มลื่นไหล

จะไม่ไหลลื่นได้อย่างไร ณ เวลานี้ ต้องฝืนกัดฟันเท่านั้น

คราวนี้ทุกคนได้ยินชัดเจน ไม่เพียงแต่คนของบ้านสะใภ้ เท่านั้นที่ตกใจ ขนาดคนในบ้านฝั่งตัวเองก็ตะลึงไปเช่นกัน

เหล่าฮูหยิน ท่านเสียสติไปแล้วหรือ

น้องเขยที่โดนต่อยจนหน้าตาดูไม่ได้ รีบร้อนจะปกป้องแม่ กระเด้งตัวขึ้นมาจากพื้นก่อนจะรั้งตัวพี่ชายของภรรยาไว้แน่น

“หากแม่ข้าเป็นอะไรไป ข้าไม่ปล่อยพวกเจ้าไว้แน่!” เขา

ตะโกน

ในตอนนี้เขากลายเป็นฝั่งที่พูดจาด้วยเหตุผล เขาดีใจ สุดขีดขึ้นมาในทันใด ข้าไม่ต้องกลัวพวกเจ้าอีกแล้ว!

เมื่อเห็นว่าสองฝ่ายจะลงไม้ลงมือกันอีกครั้ง เหล่าฮูหยินจึง กระแทกไม้เท้าแล้วพูดด้วยเสียงอันดังก้องว่า

“หยุดเดี๋ยวนี้! ไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือ อวิ๋นเหนียงไม่ได้ตาย นางแค่ไม่สบาย! นี่คือวิธีรักษาอาการป่วยของนาง!”

ทั้งสองฝ่ายนั่งลงในห้องโถง เหล่าสาวใช้ยกน้ำชามาให้จากนั้นจึงรีบถอยออกไป เพื่อไม่ให้ได้ยินคำพูดหรือ

เห็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมของเหล่าเจ้านาย

มากคนก็มากความ ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นคนมีฐานะทั้ง สิ้น ปิดประตูแก้ไขกันเองเสียน่าจะดีกว่า

“ท่านหมายความว่าจัดพิธีใหญ่โต เพียงเพื่อรักษาอาการ ป่วยอย่างนั้น” พี่ชายสะใภ้ถาม สายตากวาดมองคนตรงหน้า

“ใช่แล้ว เรื่องนี้นอกจากข้าและหมอท่านนั้นแล้ว ก็ไม่มีผู้ ใดล่วงรู้” เหล่าฮูหยินปั้นหน้าพูด

สาวใช้ที่อยู่ด้านนอกผู้หนึ่งรีบร้อนเข้ามา กระซิบกระซาบ ข้างหูพี่สะใภ้

พี่สะใภ้กระแทกถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะโดยทันที

“ท่านแม่ย่า ท่านเห็นพวกเราเป็นคนโง่หรืออย่างไร” นาง กล่าวอย่างเย้ยหยัน “ก็เห็นอยู่ว่าคนไม่หายใจแล้ว ตัวก็แข็ง ยังจะบอกว่ารักษาอาการป่วยอีกงั้นหรือ! ท่านเองหรือเปล่าที่ ป่วย”

“แม่นางเฉิงบอกว่าป่วย ก็คือป่วย!” เหล่าฮูหยินไม่มีทีท่า ยอมถอย นางเอ่ยด้วยสีหน้าขึงขัง

ดูจากท่าทางของเหล่าฮูหยินแล้ว หากไม่ได้บ้า ก็คงฝัน

เฟือนอยู่บ้าง

คนฝั่งบ้านพี่ชายสะใภ้หันมาสบตากันอย่างอดไม่ได้
“แม่นางเฉิงคือใคร” มีคนถามขึ้นมา

แม่นางเฉิงคือใคร คำถามนี้กล่าวออกมา แต่ยังไม่มีผู้ใด

ตอบ

ไม่ใช่พวกเขาไม่อยากตอบ แต่ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี เมื่อสองเดือนที่แล้ว เรือนริมน้ำที่ร้างมานานก็ได้ปล่อยให้ คนเช่าไป เหมือนว่าคนเช่าจะย้ายเข้ากลางดึก

เพื่อนบ้านละแวกนั้นไม่มีใครพบเห็นว่าเป็นผู้ใด วันต่อมา ก็เห็นว่ามีสาวใช้คนหนึ่งออกมาจับจ่าย ท่าทางเป็นกันเอง พูดจาอ่อนหวาน ติดสำเนียงเจียงไหวที่อยู่ทางใต้

“เป็นหมออย่างนั้น” พี่ชายสะใภ้ถามแทรกขึ้นมา สาวใช้ที่ยืนตอบคำถามในห้องโถงนั้นพยักหน้าอย่าง

ลังเล

“ทีแรกก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ ช่วงก่อนลูกชายคนเล็กของนาย ใบ้ทางถนนฝั่งตะวันออกไข้ขึ้นสูงไม่ยอมลด แถมยังพูดจาเพ้อ เจ้อ ไปหาแม่หลิวก็บอกว่าไม่รอดแล้ว นายใบ้กำลังร้องไห้ ฟูมฟายอยู่ สาวใช้ของแม่นางเฉิงเดินผ่านมาพอดี บอกว่าโรค นี้นายของนางสามารถรักษาได้ บ้านนายใบ้ได้ยินคำว่ารักษา ได้ก็ไม่สนใจใดๆ รีบอุ้มลูกน้อยไปหาทันที ได้หาหมอตอนเช้า พอตกบ่ายก็ฟื้นจริงๆ แถมยังกินข้าวชามใหญ่อีกต่างหาก วัน ต่อมาก็ลงจากเตียงมาวิ่งเล่นได้เหมือนไม่มี อะไรเกิดขึ้น” นาง กล่าว
คนแถวนั้นล้วนแต่เป็นหญิงแก่ไร้ชาติตระกูล ชอบฟังเรื่อง นินทาเป็นชีวิตจิตใจ ยิ่งเรื่องแปลกประหลาด

ของชาวบ้านแบบนี้ คงพูดกันสนุกปากจนน้ำลายกระเซ็น

เหล่าฮูหยินกระแอมขึ้น สาวใช้จึงจะได้สติกลับมา พอนึก ได้ว่ากำลังอยู่ต่อหน้าใครก็รีบหดหัวปิดปากในทันที ผู้หญิงที่ไหนจะเป็นหมอได้เล่า คงเป็นแค่คนที่มีรู้วิธีรักษา

อาการป่วยก็เท่านั้น

พี่ชายสะใภ้หยาม

“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ไม่ใช่เจ้าค่ะ” สาวใช้เกรงว่าจะเสียชื่อด้าน ความรอบรู้ของตน จึงรีบพูดพลางออกท่าทางไปด้วยว่า “ไม่ เพียงเท่านี้นะเจ้าคะ ต่อมามีแม่ของคนเชือดหมูในตลาดทาง ตะวันออก กินลูกท้อมากเกินไป ท้องเสียจนหมดแรง สาวใช้ บ้านตระกูลเฉิงได้ข่าวตอนซื้อหมู จึงเชิญแม่ของเขาไปดูอาการ พอกลางคืนส่งตัวกลับมาก็หายดีแล้ว วันต่อมายังถือไม้เท้า หลานอยู่เลยนะเจ้าคะ

พี่ชายสะใภ้ขมวดคิ้ว

สาวใช้พูดจาน้ำไหลไฟดับ นางถนัดนักเรื่องการแย่งพูด ฝึกจนวิชาแก่กล้า เมื่อเห็นพี่ชายสะใภ้ขมวดคิ้ว นางจึงสุด หายใจลึก แล้วพูดต่อทันที

“ตั้งแต่นั้นมา แม่นางเฉิงก็มีชื่อเสียง มีผู้คนมากมายอยาก ให้นางรักษา ทว่าสาวใช้บ้านตระกูลเฉิงกล่าวไว้ว่า บ้านนางไม่ปิดประตู อยากมารักษาที่เข้ามาได้เลย มีเงื่อนไขเพียงข้อเดียว คือ ถ้าไม่ใช่โรคที่รักษาไม่หายจะไม่รักษาให้

นางกล่าว

คำพูดของนางทําเอาคนทั้งห้องโถงประหลาดใจ สาวใช้สูดหายใจลึกอีกครั้ง

“หากไม่ใช่โรคที่รักษาไม่หาย จะไม่รักษาให้ หมายความ ว่าอย่างไรกัน” หญิงนางหนึ่งฝั่งทางบ้านพี่ชายสะใภ้ถามขึ้น อย่างอดไม่ได้

คราวนี้หัวข้อสนทนาตกเป็นเรื่องของนางเสียแล้ว สาวใช้ พักหายใจอยู่ครู่หนึ่ง ดูท่าทางแล้วไม่ว่าจะคนบ้านไหนก็สอดรู้ กันทั้งนั้น

“ก็หมายความว่า อาการป่วยจำพวกปวดหัวตัวร้อนไอ จาม เป็นต้น โรคที่ไม่เป็นอันตรายต่อชีวิตนางไม่รับรักษา จะไล่ ให้ไปที่โรงหมอ มีเพียงคนที่ถูกหมอวินิจฉัยแล้วว่ารักษาไม่ หายรอคอยความตายเท่านั้นนางถึงจะรักษาให้เจ้าค่ะ” นาง กล่าว

คำพูดที่ออกมาทำเอาคนทั้งห้องโถงถึงกับตะลึงงัน

“วาจาเหิมเกริมนัก” ฮูหยินทั้งหลายถกเถียงกันให้เซ็งแซ่

“มิได้เหิมเกริมเจ้าค่ะ” สาวใช้รีบร้อนพูดต่อ “แม่นางเฉิงบ อกว่า นางเป็นนักบวช ไม่สะดวกเรื่องการรักษา เพียงแต่ทน เห็นการเกิดแก่เจ็บตายของเหล่ามนุษย์มิได้ จึงตัดใจกระทำการเหิมเกริมเช่นนี้”

เมื่อได้ยินนางพูดดังนั้น หญิงกลุ่มหนึ่งก็เอ่ยขึ้นว่า พระพุทธเจ้าเมตตา

คงจะมีแค่หญิงเหล่านั้นที่เชื่อคำอวยพร ทว่าพี่ชายสะใภ้ และญาติพี่น้องต่างเบะปาก

ไม่สะดวกรักษาอย่างนั้น ให้ทานเพื่อให้ได้มาซึ่งบุญ บารมีอย่างนั้นหรือ แม้ใจอยากปฏิเสธแต่กลับใจทำอย่าง นั้นหรือ

“ช่วงนี้คนที่ไปขอให้แม่นางเฉิงรักษา ล้วนแล้วแต่เป็นคน ป่วยอาการหนักทั้งนั้น แล้วก็หายดีกันทั้งหมดด้วยเจ้าค่ะ” สาว ใช้จบบทสนทนา

ในห้องเต็มไปด้วยเสียงคนพูดจา

บนโลกนี้คนแปลกเรื่องประหลาดมีมากนัก เหมือนว่า เหลวไหลไร้สาระ แต่ก็มิอาจเหมารวมทั้งหมดได้

“อย่างนั้นน้องสาวข้าตอนนี้เป็นอย่างไรกันแน่ ในเมื่อเป็น เช่นนี้แล้ว เหตุใดยังไม่รีบช่วยรักษา ทำพิธีพวกนี้เพื่ออะไร” พี่ ชายสะใภ้เอ่ยเสียงทุ้ม

“ล้างซวยสักหน่อย” เหล่าฮูหยินพูดหน้านิ่ง จิตใจไม่สั่น ไหว เมื่อเห็นพี่ชายสะใภ้เลิกคิ้ว จึงรีบพูดต่อ “แม่นางเฉิงผู้นั้น เป็นคนบอกมา ยังต้องสมจริงอย่างยิ่งด้วย มิเช่นนั้นจะไม่ได้ ผล”
“นางเป็นหมอผีหรือหมอคนกันแน่ ล้างซวยอะไรกัน!” พี่ ชายสะใภ้เอ่ย เส้นเลือดบนหน้าพร้อมจะระเบิดออก

ล้างซวย แต่เกือบซวยถึงพ่อถึงแม่แล้ว! มีอย่างที่ไหนกัน

“ข้าไม่ใช่หมอ ข้าไม่รู้” เหล่าฮูหยินพูดอย่างไม่แยแส “ข้า เพียงแต่จะช่วยชีวิตลูกสะใภ้ อย่าว่าแต่ใช้งานศพล้างซวยเลย หากให้ข้านอนในโลงด้วยก็ย่อมได้

เห็นเหล่าฮูหยินท่าที่จริงจัง เหล่าหญิงฝั่งสะใภ้กลับอดไม่ ได้ที่จะรู้สึกผิดขึ้นมา

แม่ย่าที่กล้าทำในสิ่งที่คนถือที่สุดให้สะใภ้ บนโลกนี้จะมี สักกี่คนกัน

พี่ชายสะใภ้กระแอมหนึ่งที

“คำพูดสวยหรู แต่ไร้ประโยชน์” เขากล่าวเย้ย แต่ท่าที กลับแตกต่างจากตอนที่เพิ่งมาถึงยิ่งนัก เพราะใครก็ห้ามไม่อยู่ ราวกับจะพังบ้านคนอื่นทิ้งให้มันรู้กันไป

ผู้คนที่อยู่ตรงนั้นต่างโล่งอก แต่ก็รีบกลั้นใจหันมองไปทาง

เหล่าฮูหยิน

ก็ใช่น่ะสิ คำพูดสวยหรูไร้ประโยชน์ ก็เพราะว่า…

“ทำไมยังไม่เชิญแม่นางเฉิงมาอีก” เหล่าฮูหยินเลิกคิ้ว กล่าวถาม “ฟ้าสว่างแล้ว!

เสียงฝีเท้ามาจากนอกประตู แม่นมของพี่หยวนวิ่งเข้ามา
“แม่นางเฉิงมาแล้วหรือ” เหล่าฮูหยินยืนขึ้นถาม

แม่นางเฉิงผู้นั้นเป็นคนอย่างไรกันแน่ คนในที่นั้นต่างพา กันมองออกไป

หมอกจางๆ ภายนอกประตูเริ่มคลาย แสงแดดแรกแย้ม มาให้เห็น แต่กลับไร้ซึ่งเงาคน

“สาวใช้บ้านตระกูลเฉิงบอกว่า นายของนางป่วยยังไม่ หายจึงไม่ออกจากบ้าน ให้พวกเราพาคนไปส่งถึงที่ แม่นม พูดจาอึกอัก

สาวใช้คนนั้นยังอยู่ พอได้ยินก็รีบประสมโรง โดยไม่รอคำ

สั่ง

“ใช่แล้วๆ แม่นางเฉิงไม่เคยออกจากบ้าน ทุกคนต้องพา คนไข้ไปหาถึงที่ทั้งนั้น ทุกครั้งจะมีญาติเพียงหนึ่งคนเท่านั้นที่ อยู่เป็นเพื่อนข้างในนั้นได้เจ้าค่ะ” นางรีบพยักหน้ากล่าว

“อย่างนั้นรีบพาคนไข้ไปเร็วเข้า” เหล่าฮูหยินรีบพูดต่อ เช่นนี้สมใจนางยิ่งนัก คนบ้านสะใภ้จะได้ไม่ถามนุ่นนี้จน

ตนมีพิรุธ

คนใช้ตอบรับแล้วรีบไปทันใด

“รอเดี๋ยว” พี่ชายสะใภ้พูด ก่อนจะยืนขึ้นและมองแม่นม พร้อมคิ้วขมวดกันแน่น “เมื่อกี้เจ้าว่าอย่างไรนะ แม่นางเฉิงนั้น ป่วยยังไม่หายหรือ”

แม่นมพยักหน้า
สาวใช้บ้านนั้นบอกมาแบบนี้

“ตัวนางเองป่วยยังไม่หาย แล้วจะมีปัญญารักษาโรคที่ รักษาไม่หายได้อย่างไร!” พี่ชายสะใภ้กล่าวเย้ยหยัน


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ