การโต้กลับของหมอหญิง

บทที่ 1 คืนพิศวง



บทที่ 1 คืนพิศวง

บทที่ 1 คืนพิศวง

เมื่อยามกลับไม้เคาะครั้งที่สาม คนหน้าศาลาไหว้ศพยิ่ง

น้อยลง

สองสาวใช้จามเพราะพื้นที่ถูกโยนเข้าไปในกองไฟ “ท่านเจ้าคะ พวกเราไปจีบกันสักหน่อยเถอะ” สาวใช้คน หนึ่งกล่าว

“ไม่ดีหรอก ถ้าไปกันหมด ก็ไม่มีใครเฝ้าศพฮูหยินน้อยนะ สิ” สาวใช้อีกคนพูดด้วยความลังเล

สาวใช้ที่เอ่ยชวนเบะปาก

“ใครใช้ให้ฮูหยินน้อยตายเร็วล่ะ คุณหนูเล็กเพิ่งคลอด ออกมาตัวเล็กนิดเดียว ร้องไห้เป็นก็เก่งแล้ว คงไม่ต้องพูดถึง เรื่องความกตัญญู ดูแลพ่อแม่แล้วล่ะ” สาวใช้คนนั้นกล่าว พร้อมกับดึงสาวใช้อีกคน “ไปเถอะๆ เดี๋ยวก็กลับมาอยู่ดี ท่าน ชายใหญ่ยังไม่สนใจเลยแล้วพวกเราจะกลัวอะไร

สาวใช้คนนั้นลุกขึ้นตาม แล้วทั้งสองคนเดินไปคุยไป
“ก็อย่างว่าแหละนะอะไรดีก็สู้สุขภาพดีไม่ได้ ตายเร็วแบบ นี้ หาอะไรมาได้ก็ต้องยกให้คนอื่นหมด…”

ลมยามค่ำคืนพัดเข้ามากระทบกับกระดาษเงินกระดาษ ทองที่ห้อยระโยงระยางจนเกิดเสียงซ่าๆ ศาลาไหว้ศพสีขาวดุจ หิมะก็ว่างเปล่าและเงียบเหงายิ่งกว่าเดิม

กระดาษใบสุดท้ายที่ถูกเผาในเตาไฟหน้าโลงศพที่ยังไม่ ได้ทาสี บัดนี้กลายเป็นเถ้าถ่านล่องลอย ธูปสามดอกที่จุดไว้ก็ ไหม้จนเกือบจะหมดดอก

เงาเล็กๆ ของร่างคนวิ่งเข้ามาจากข้างนอก เงามืดนั้น เล็กเสียจนสูงไม่ถึงขาโต๊ะเสียด้วยซ้ำ หากจะมอง

โลงศพตรงหน้ายังต้องเงยหน้าขึ้นถึงจะมองเห็น

นั่นคือเด็กหญิงอายุราวสามสี่ขวบ ดวงตากลมโต ใบหน้า รูปไข่ ผิวอมชีพมู เพียงแต่เสื้อคลุมบนร่างนั้นถูกสวมอย่างหลุด ลุ่ย เส้นผมก็ปล่อยสยาย

เด็กน้อยมองดูโลงศพที่ยังไม่ได้ปิดฝา เดินเข้าใกล้อย่าง ช้าๆ ก่อนจะจับเก้าอี้ข้างโลงศพและปีนขึ้นไป หลังจากล้มเหลว อยู่สองสามครั้ง ในที่สุดเด็กหญิงก็จับขอบโลงศพไว้แล้วค่อยๆ ยืนขึ้นและมอง เข้าไปข้างใน

ภายใต้แสงเทียนสีขาวที่ส่องสว่างศาลาไหว้ศพ ร่างของ หญิงสาวคนหนึ่งนอนอย่างสงบอยู่ในโลง

ใบหน้ากลมถูกทาด้วยแป้งยิ่งดูขาวนวล จมูกเป็นสันโด่ง ริมฝีปากสีแดงเรื่อ หน้าผากกว้าง คิ้วเรียวยาว ผมเงางาม ด้วยปิ่นปักเก้าปีกประดับลูกปัดทอง ผ้าไหมหวินจินสีน้ำเงินเข้ม ปักลายปราณีต ลำคอมีไข่มุกหลากสีที่คล้องไว้ถึงสามรอบ ส่องประกายแวววาวสะดุดภายใต้แสงเทียน

เด็กน้อยยื่นมือเข้าไป

“ท่านแม่ ท่านแม่ตื่น อุ้มๆ” เด็กน้อยร้องอย่างงอแง

แขนป้อมยึดอยู่ที่ขอบโลงศพก็ลำบากมากแล้ว ยิ่งไม่ต้อง พูดถึงว่าหากต้องการจะเอื้อมไปถึงคนข้างในนั้นจะลำบาก ขนาดไหน

เด็กหญิงเขย่งเท้าขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า

เสียงเจี๊ยวจ๊าวของนางทำลายความสงบในศาลา

เด็กหญิงหันหลังกลับ ก็มองเห็นสาวใช้สองคนนั้นยืนอยู่ หน้าประตูศาลาไหว้ศพ ทั้งสองใบหน้าซีดเผือด มองมาทางตน ด้วยความหวาดกลัว
“ท่านแม่เรียกข้าอยู่” เด็กหญิงกล่าวเช่นนั้น ก่อนจะยื่นมือ ที่โลงศพเพื่ออธิบายแก่สาวใช้ทั้งสอง

คำพูดของเด็กหญิงท่าเอาสาวใช้ทั้งสองสติแตกกระเจิง จนสลบลงไปนอนกับพื้น

เรือนใหญ่แห่งตระกูลจางกินพื้นที่ทั้งถนนเส้นนี้ เสียง ครึกโครมจากเรือนดังขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้แสงจันทร์ในคิมหันต ฤดูสั่นไหว

บริเวณสุดเขตทิศตะวันตกของเรือนใหญ่ตระกูลจางนั้น มี สวนเล็กๆ อยู่สามสวนซึ่งไม่ได้อยู่ในครอบครองของตระกูล จาง แม่น้ำกลางเมืองไหลตามความคดเคี้ยวผ่านมายังที่แห่งนี้ ส่งผลให้ที่นี่ชุ่มชื้นจนขึ้นตะไคร่เขียวตลอดทั้งปี

เสียงฝีเท้าที่เร่งรีบดังขึ้นทำลายความสงบของถนนเส้นนี้

เสียงฝีเท้าหยุดลงหน้าเรือนเล็กหลังหนึ่ง หน้าประตูบาน แคมมีโคมไฟแขวนอยู่สองดวง ใต้ฟ้ายามราตรีแสงสลัวสี เหลืองนวลจากโคมไฟสาดส่องไปยังคนที่ยืนหยุดอยู่หน้าประตู

มีผู้มาเยือนทั้งหมดสี่คน ชายสองหญิงสอง หนึ่งในหญิง สองคนอุ้มผ้าไหมห่อนึงไว้ในอ้อมอก

ราวกับว่าเร่งฝีเท้าเร็วจนเกินไป พวกเขาหยุดหอบหายใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วค่อยให้ชายผู้หนึ่งจะเดินเข้าไปเคาะ ประตู

ประตูไม้ใต้แสงไฟทั้งดูเก่าและทรุดโทรม มือของชายผู้นั้น เพิ่งสัมผัสโดนประตู เสียงกุกกักจากประตูก็ดังขึ้น ก่อนประตูจะ เปิดออกเอง

ประตูที่เปิดออกเองกลางดึกเช่นนี้ ทำให้ทั้งสี่คนที่ ประหม่าอยู่แล้วตกใจยิ่งกว่าเดิม หญิงทั้งสองคนทนไม่ไหวจน ต้องก้าวขาถอยหลังออกมา และมองดูประตูที่เปิดออกเพียง ครึ่งเดียวด้วยความหวาดกลัว

แสงที่ส่องเพียงครึ่งเดียวยิ่งทำให้เงามืดนั้นน่ากลัวขึ้นไป

อีก

“แม่…แม่นางเฉิง…” ชายหนุ่มกล่าวด้วยเสียงสั่น “กลาง คืน…ก็ไม่ปิดประตูหรือ…

เสียงพูดผ่อนคลายความหวาดกลัวของทุกคนลง หญิงที่ อุ้มผ้าไหมอยู่สูดหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินก้าวไปข้างหน้า

“แม่นางเฉิง…” เธอมองเข้าไปด้านในและตะโกนด้วย เสียงเบาว่า “แม่นางเฉิง…แม่นาง…”

เสียงพูดแผ่วเบาลง เมื่อทุกคนเห็นไฟของโคมในมุมมืด พร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ดังก้องออกมา
“พวกเจ้ามาหาหมอ ”

เสียงหวานของหญิงสาวเอ่ยถาม

โคมไฟเขยิบเข้ามาใกล้ ทุกคนจึงได้พบว่าหลังโคมนั้นคือ หญิงสาวผู้หนึ่ง นางอยู่ในเสื้อสีเหลืองขนห่าน ดวงตาดุจหงส์ จมูกโด่ง ปากแดง ใต้ริมฝีปากมีไฝเสน่ห์ งดงามสมกับสาวแรก แย้ม

ความมืดมิดอันน่าสะพรึงกลัวหายไปในพริบตา ทั้งสี่คนที่ ยืนอยู่ด้านนอกหัวใจหล่นวูบ

“ใช่แล้วๆ ขออภัยที่รบกวนแม่นางเสียดึกดื่น คุณหนูของ ข้าอาการไม่สู้ดีนัก… หญิงที่อุ้มผ้าอยู่รีบเดินก้าวขึ้นมา ก่อนจะ รีบเปิดห่อผ้าออก

ปรากฏเป็นร่างของทารกน้อยคนหนึ่งกำลังนอนหลับ อย่างสบายอยู่บนบ่าของนาง

เด็กสาวในเสื้อสีเหลืองขนห่านขยับตัวเข้าไปดูและพยัก

“ได้สิ งั้นตามข้ามา” นางเอ่ย

ทั้งสี่คนรีบเดินตามเข้าไป แต่กลับถูกหญิงสาวเสื้อสี เหลืองขนห่านห้ามไว้

“ให้นางพาเด็กเข้ามาคนเดียวก็พอ” นางกล่าว ชายสองคนกับหญิงอีกคนหยุดฝีเท้า มองดูนางอุ้มเด็กเข้าไป โคมไฟค่อยๆ ไกลออกไปพร้อมกับสองคนที่หาย ไปในความมืด ราวกับถูกสัตว์ร้ายกลืนกินเข้าไป

เพราะเมื่อวานฝนตก หินตามถนนจึงลื่นเล็กน้อย ยิ่งทำให้

บ้านที่ตั้งอยู่ในมุมมืดใกล้แม่น้ำนั้นอับชื้นกว่ายามปกติ เรือนเล็กขนาดเล็ก ไม่มีโคมไฟแขวนอยู่ ทั้งสองเดินตาม แสงของโคมไฟในมือของหญิงสาว ความมืดรอบกายยิ่งทำให้

บรรยากาศอึดอัดมากขึ้น

“รบกวนแม่นางดึกดื่นป่านนี้ ” หญิงสาวที่อุ้มทารกอยู่อัด อันจนต้องพูดออกมา ราวกับว่าคำพูดจะทำลายความตึงเครียด ลงได้

“ไม่เป็นไร” หญิงสาวในชุดเหลืองตอบด้วยน้ำเสียง ฉะฉาน พร้อมกับ พากันเดินผ่านห้องโถง ก่อนจะหันมาส่องไฟ ให้เธอด้วยความเป็นห่วง “ระวังขั้นบันได

หญิงสาวเซเล็กน้อยแต่ก้าวถอยหลังได้ทรงตัวได้ทัน นาง เงยหน้าขึ้นก่อนเห็นแสงจากโคมไฟที่ส่องสว่างอยู่ใต้ความมืด หลังจากปรับสายตาได้แล้ว นางก็พบตัวเองยืนอยู่หน้าห้องหนึ่ง ที่มีแสงไฟสว่างอยู่ภายใน

หญิงสาวก้าวไปข้างหน้าอย่างฉับไวและเปิดประตูออก

แสงไฟจากด้านในส่องทแยงออกมา หญิงสาวรู้สึกไม่ชิน อยู่ครู่หนึ่ง นางเอี้ยวศีรษะและมองเข้าไปด้านในอีกครั้ง

โคมไฟที่ใช้ในวังหลังแสนงดงามตั้งอยู่กลางห้อง ฉากกั้น ลมแบบหกพับปักลายดอกไม้ ด้านหลังสะท้อนเห็นเงาเลือนลาง ของที่กำลังคนนอนตะแคงอยู่

นั่นคือแม่นางเฉิงอย่างนั้น

“แม่นาง มีคนมาขอรับการรักษา” หญิงสาวเดินเข้าไป ด้านใน ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงที่แผ่วเบา

เงาของร่างที่นอนตะแคงอยู่หลังฉากกั้นค่อยๆ ลุกขึ้น แสง จากโคมไฟทำให้มองเห็นผมดำสลวยดุจสายน้ำปล่อยสยายลง

มา

ให้คนป่วยเข้ามาได้

น้ำเสียงเรียบเฉยของหญิงสาวดังมาจากหลังฉากกั้นลม

หญิงสาวถอนหายใจก่อนจะอุ้มเด็กแล้วก้าวเท้าเข้าไป

“เจ้ายืนอยู่ตรงนั้น อย่าขยับ” เด็กสาวเสื้อสีเหลืองขนห่าน กล่าว นางก้าวขาอย่างฉับไว แล้วยื่นมือออกไปรับเด็ก “ส่งเด็ก ให้ข้าเถอะ”

หญิงสาวลังเลอยู่เพียงครู่แล้วจึงส่งเด็ก ให้กับเด็กสาว มองดูเด็กถูกอุ้มเข้าไปด้านใน

ประตูนั้นไม่ได้ปิดสนิท หญิงสาวพอจะมองเห็นทารกน้อย ถูกอุ้มเข้าไปด้านหลังจากเงาที่สะท้อนผ่านฉากกั้นลม เงาของ หญิงสาวสะท้อนอยู่บนฉากกั้น นางเหมือนจะอยู่ในชุดคลุมยาว ตัวหลวม จากนั้นเงาของแขนที่ยื่นออกมาก็ปรากฏขึ้น

ผ่านไปพริบตาเดียว เด็กสาวก็อุ้มทารกออกมา

หญิงสาวรีบยื่นมือรับเอาไว้ มองดูแล้วเด็กในอ้อมแขน ของเธอยังคงแก้มแดงและหลับอย่างสบายดังเดิม

“เป็นเพราะจู่ๆ ถูกพลังร้ายจู่โจม แต่ข้าฝังเข็มให้แล้ว ทารกจะไม่มีอาการชักอีกแล้ว” หญิงสาวหลังฉากกั้นลมกล่าว

หญิงสาวทั้งตกใจและดีใจ ตกใจที่ตนนั้นยังไม่ทันได้พูด อะไร แต่อีกฝ่ายกลับรู้อาการป่วย และดีใจก็เพราะเพียง ประโยคเดียวที่นางเอ่ยก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าฝีมือการรักษา ของแม่นางเฉิงนั้นยอดเยี่ยม

“ขอบใจแม่นางมาก” หญิงสาวรีบกล่าวขอบคุณ และหยิบ ถุงเงินออกมา “ค่ารบกวนแม่นาง
ยังไม่ทันสิ้นเสียงของนาง เสียงของหญิงสาวในห้องก็ดัง แทรกขึ้นมา

“เด็กคนนี้ไม่ได้ป่วยหรอก ในเรือนของเจ้ามีคนที่ป่วย จริงๆ คือคนที่นอนอยู่ในโลง พวกเจ้าไม่คิดจะรักษา

“ท่านว่าอย่างไรนะ”

หญิงสาวเงยหน้าด้วยความตกใจ มองดูเงาของร่างที่นอน ตะแคงอยู่หลังฉากกั้นลม เพราะใช้มือที่ดันศรีษะเอาไว้ ทำให้ เห็นความโค้งเว้าของเรือนร่างได้อย่างชัดเจน ยามที่ความมืด ไฟสลัวสีส้ม และภาพปักลายดอกไม้สอดผสานกันนั้น ทำให้ ภาพที่ปรากฏงดงามอย่างแปลกตา

คนตายในโลงศพ ยังรักษาได้อยู่

แม่นางเฉิงพูดเพ้อเจ้ออะไร

เวลาเช้ามืด แม่นมเปิดมุ่งออกช้าๆ เด็กหญิงที่นอนอยู่ใต้ ผ้าห่มผ้าฝ้ายรู้สึกเหมือนถูกรบกวน มือจึงกระตุกเล็กน้อย แม่นมรีบกลั้นหายใจ แต่เด็กน้อยก็กระตุกอยู่เพียงครู่เดียวก็ หลับต่อ

แม่นมยื่นมือเข้าไปจับใต้ผ้าห่ม แต่เด็กหญิงก็ยังคงหลับไหล
แม่นมโล่งใจและปล่อยมุ่งลงมา เธอหันหลังกลับมามอง เหล่าหญิงสาวที่อยู่ด้านหลัง

“เป็นอย่างไรบ้าง” หญิงชราหัวหงอกขาวคนหนึ่งกระซิบ ถามอย่างรีบร้อนด้วยความเป็นห่วง “เหล่าฮูหยิน พี่หยวนไม่ได้เจ้าค่ะ ไม่ได้ตื่นด้วย ตั้งแต่

กลับมาถึงก็นอนจนถึงตอนนี้ ระหว่างนี้ก็ไม่ชักเจ้าค่ะ” แม่นม

เอ่ยเสียงแผ่วเบา

หญิงสาวทุกคนในห้องรู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยินเช่นนี้

เหล่าฮูหยินสะบัดมือและเดินออกไปก่อน ส่วนคนอื่นๆ ก็ รีบเดินตามออกไป

ด้านนอกเริ่มสว่างแล้ว โคมไฟสีขาวถูกแขวนเต็มเรือน มี แต่คนใส่ชุดไว้ทุกข์ ดูแล้วน่าหนักใจยิ่งนัก

“แม่หลิวมาแล้ว” คนใช้เดินอย่างฉับไวและอ่ยด้วยเสียง

แผ่วเบา

เหล่าฮูหยินนิ่งไปครู่หนึ่ง

“ให้นางรอก่อน เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที” เหล่าฮูหยินกล่าว

งานศพในเรือน แต่เชิญแม่ชีมาเวลานี้ ถ้าคนนอกเห็นคงมีเรื่องให้นินทากัน

น่าปวดหัวเสียจริง

จู่ๆ เหตุใดลูกสะใภ้ถึงได้พลาดหกล้มจนสิ้นลมไป แถม

นางยังล้มที่ห้องของตัวเองอีก และยิ่งไปกว่านั้นคือ ในช่วงเวลา นั้นลูกสะใภ้กับแม่ยายกำลังมีปากเสียงกันเสียด้วย

“แม่นางเฉิงบอกว่า…” เหล่าฮูหยินนึกขึ้นได้จึงเอ่ยถาม

แม่นมด้วยเสียงแผ่วเบา

ยังไม่ทันพูดจบ เสียงร้องไห้จากด้านนอกดังเข้ามา ช่วงฟ้า ใกล้สางแต่ยังไม่สว่างดีเช่นนี้ เสียงแหลมของหญิงสาวที่ร้องไห้ ฟังดูหดหูเหลือเกิน

คนที่อยู่ ณ ที่นั้นสีหน้าเปลี่ยนทันที

“คนของเรือนสะใภ้มาถึงแล้วเจ้าค่ะ!” สาวใช้หลายคนวิ่ง

มารายงาน

พี่ชายของฮูหยินน้อยยืนด้านนอกศาลาไหว้ศพหัวใจแทบ

สลาย

ทั้งตระกูลแทบเสียสติเมื่อรู้ข่าวการตายอย่างกระทันหัน ของน้องสาว คนเป็นพ่อหน้ามืดในทันทีเมื่อทราบข่าว แต่ก็ยัง ไม่กล้าบอกแม่ หลังปลอบใจคนในบ้านที่ขวัญหนีดีฝ่อ พี่ชาย ของฝ่ายสะใภ้ก็พาลูกน้องสามคนมายังบ้านที่น้องสาวแต่งเข้าไปเป็น สะใภ้

ชุดไว้ทุกข์ที่อยู่ตรงหน้าทำให้ความหวังสุดท้ายของพวก เขาสลายไป หลังเดินเข้ามาในศาลาไหว้ศพอันว่างเปล่า บ้าน ฝ่ายสะใภ้ที่โศกเศร้าอยู่ แทบจะเป็นลมกันไปหมด

นี่มันหมายความอย่างไร นี่หมายความอย่างไรกันแน่! อย่าว่าแต่นางร้องไห้หน้าศพเลย แม้แต่ธูปหน้าศาลายังหักเป็น ท่อนๆ ไม่มีชิ้นดี!

ตายแล้วยังถูกรังแกถึงเพียงนี้ ตอนมีชีวิตจะลำบากเพียง

ใด!

น้องเขยที่พุ่งตัวออกมาอย่างลนลานถูกเหล่าน้องชายของ ฝ่ายสะใภ้ล้อมเอาไว้

“นายท่าน พวกข้าไม่ใช่ไม่มาเฝ้า แต่เพราะมีผี… สาวใช้

ตะโกนเสียงสั่นเครือ พยายามอธิบาย

“ย คนไม่เคยทำชั่ว เขาไม่กลัวผีกันหรอก! พวกเจ้าทำให้ น้องสาวของขาต้องตาย จะเสแสร้งอะไรอีก!” หญิงสาวจาก บ้านฝั่งสะใภ้ทิ้งความเป็นผู้ดีไปจนหมด ทั้งร้องไห้ ด่าทอ แถม ยังสั่งให้คนใช้ที่ตนพามาลงไม้ลงมือกับคนใช้จากบ้านนี้อีก ด้วย
ศาลาไหว้ศพวุ่นวายไปหมด

เหล่าฮูหยินกับสาวใช้อีกหลายคนที่มาจากด้านหลังตกใจ กับภาพตรงหน้าจนไม่กล้าเดินเข้าไป

แต่การหนีมิใช่วิธีแก้ปัญหา

“เหล่าฮูหยิน ฟ้าใกล้จะสว่างแล้ว” สาวใช้เตือนด้วยความ

วิตก

ในเรือนยังวุ่นวายถึงเพียงนี้ บนถนนจะต้องได้ยินแน่นอน หากฟ้าสว่างกว่านี้คงมีคนมามุงดูยิ่งกว่าเดิม!

เหล่าฮูหยินมือเท้าสั่นไปหมด ได้ยินว่าบ้านของลูกสะใภ้

โวยวายจะแจ้งกับทางการ นี่จะเอาเรื่องกันถึงทางการเซียว ชื่อเสียงเรียงนามที่สั่งสมกันมา คงพังทลายในคราวนี้แน่ๆ!

เกียรติยศชื่อเสียงที่สืบทอดกันมาหลายต่อหลายรุ่นจะพัง ทลายที่รุ่นของนางงั้นหรือ ถ้าเธอตายไป จะมีหน้าไปพบ บรรพบุรุษได้อย่างไรกันเล่า !

บาปกรรมจริงๆ !

“เหล่าฮูหยิน ทำอย่างไรดีเจ้าคะ” ลูกสะใภ้และสาวใช้

ต่างก็ถาม

ทำอย่างไรดี เวลานี้แล้วจะทำอะไรได้ ! เว้นเสียแต่ว่าคน จะยังไม่ตาย !
คนยังไม่ตายงั้นรึ?

เหล่าฮูหยินนึกอะไรได้บางอย่าง

“แม่นม แม่นม!” เธอหันไปเรียก “รีบไปเชิญแม่นางเฉิงมา!”


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ