ตอนที่14ผู้หญิงตื้อ
บทสนทนาของสาวใช้สองคนไม่ได้ทำให้หลินซินเยียนโกรธเคือง นางรู้อยู่แล้วว่านางไม่เคยคิดว่าจะได้อะไรจากโม่จื่อฟงและไม่เคยคิด จะบินขึ้นยอดกิ่งไม้ เพราะว่านางไม่ได้ต้องการ จึงไม่เกรงกลัว
เพียงแต่ที่แท้โม่ซื่อฟงออกด่านเพื่อไปรับสตรีนางหนึ่งหรือ ? หลินซินเยียนแสยะยิ้ม ที่แท้ก็เป็นท่านอ๋องที่เจ้าชู้จริงๆ
ผ่านไปสองวันหลินซินเยียนอยู่อย่างสงบ ตอนกลางวันออกไป เดินเล่นในลาน แต่ไหนแต่ไรไม่เคยขอออกไป ช่วงแรกมีสาวใช้เดิน ตามนางทั้งวัน พอช่วงหลังๆพวกสาวใช้เริ่มเบื่อหน่ายจึงไม่เดินตามนาง แล้วอีกอย่างนางไม่เป็นวรยุทธ์จะหนีออกจากเรือนไปได้อย่างไร?
เมื่อหลินซินเยียนได้เดินสำรวจไปทั่วแล้ว ในเรือนนี้มีสาวใช้ ทั้งหมดสี่คน คนงานสี่คน หญิงแก่สองคน แต่ทุกคนคล้ายกับมีวร ยุทธ์เก่งกล้า
ในจุดนี้ทำให้หลินซินเยียนนับถือโม่จื่อฟงอย่างมาก เรือนที่อยู่ ในหมู่บ้านเล็กติดชายแดน คนที่นี่ล้วนฝึกฝนมาอย่างดีเช่นนั้น แล้ว หากอ่องอู่เสวียนยึดครองแคว้นหนานเยวได้เกือบครึ่งก็ไม่ถือว่าเป็น เรื่องบังเอิญ
ชนะด้วยกำลังไม่ได้ก็ชนะด้วยสติปัญญาแล้วกัน
หลินซินเยียนอ้างว่าอยากปักผ้าเช็ดหน้าให้ท่านอ่องจึงไปถามหา เข็มและด้ายกับหญิงแก่ ถึงหญิงแก่จะมองด้วยสายตาเหยียดหยาม คล้ายกับคิดว่านางจะคิดเล็กคิดน้อยอะไร แต่สุดท้ายก็นำเข็มด้าย และผ้าแพรมาให้นางอยู่ดี
ในค่ำคืนนั้นหลินซินเยียนได้ปิดประตูและหน้าต่างในห้องเพื่อปัก
ผ้า นางใช้เวลาปักผ้าหนึ่งคืนเต็มๆ
เช้าวันรุ่งขึ้น สาวใช้ที่ยกน้ำล้างหน้าไปให้ เคาะประตูห้องเรียก
ในห้องเงียบกริบไม่มีเสียงใดๆ สาวใช้เริ่มกังวลจึงใช้แรงเคาะ ประตูอีกที เสียงเคาะประตูดัง”ก๊อกๆๆ “ภายในห้องยังคงเงียบไม่ส่ง เสียงใดๆ
ในที่สุดสาวใช้ก็ทนไม่ไหวถีบประตูจนเปิดออกในครั้งเดียวและ เข้าดูมาในห้อง ในห้องว่างเปล่าไร้เงาคน
“เป็นไปไม่ได้ ! เห็นอยู่ว่านางไม่เป็นวรยุทธ์!”ไม่มีทางหนีรอดพ้น จากสายตาของพวกนางไปได้ สาวใช้แปลกใจ และยิ่งทำให้นาง แปลกใจอีกเมื่อมีคนอยู่ด้านหลัง
“เจ้าหาข้าอยู่ ? “ทันทีนั้นก็มีเสียงดังมาจากด้านหลังของนาง ที่แท้เป็นหลินซินเยียนที่หลบอยู่หลังประตู
สาวใช้ชะงักไปช่วงหนึ่งหันหลังมายังไม่เห็นคนที่อยู่ตรงหน้าอย่าง ชัดเจนก็รู้สึกเจ็บตรงกลางหน้าผากสักพัก โลกทั้งใบก็จมลงสู่ความมืด
มิด
เมื่อเห็นสาวใช้ล้มลงหลินซินเยียนก็โล่งใจยังดี เพราะว่านางไม่ เป็นวรยุทธ์ ดังนั้นสาวใช้พวกนี้ไม่ได้ระมัดระวังในตัวนาง นางจึง สามารถใช้ประโยชน์จากตรงนี้ได้
หลินซินเยียนไม่กล้าถ่วงเวลาจึงรีบถอดชุดสาวใช้และนำมา เปลี่ยนให้ตนเอง สองวันที่ผ่านมาได้เดินไปทั่วเรือนหลังนี้แล้วนางจึง จำเส้นทางได้เป็นอย่างดี
แต่ว่านางไม่ได้เดินไปทางออกข้างนอก แต่เดินไปทางห้องเก็บ
ของ ผ่านไปไม่นานก็มีคนตะโกนออกมาจากห้องเก็บของ”แย่แล้วไฟ
ไหม้ ! ”
พวกสาวใช้และคนงานต่างวิ่งตาลีตาเหลือกมาที่ห้องเก็บห้องเพื่อ มาช่วยกันดับไฟ น่าเสียดายที่คนในเรือนมีน้อยทุกคนในเรือนจึงต้อง เปลืองแรงไปอย่างมากในที่สุดไฟก็ดับลง
“เห็นอยู่ดีๆทำไมถึงไฟไหม้ได้ ? “สาวใช้และคนงานต่างก็ สงสัย”เอ๊ะแล้วฟางเฉาล่ะ ไฟไหม้ขนาดนี้ไม่ยอมมาช่วยกันเลย”
“ฟางเฉาไม่ใช่ไปรับใช้สตรีผู้นั้นอยู่…แย่แล้ว ! “หญิงแก่รู้สึกตัว ก่อนคนอื่นจึงให้ทุกคนออกตามหา พอเห็นฟางเฉาล้มอยู่หน้าประตู ทุกคนถึงกับขาสั่นไปหมด
อารมณ์ของท่านอ๋องพวกเขาล้วนรู้ดี หากคนผู้นี้หายไป ชีวิต
ของพวกเขาคง..
หญิงแก่ก้มตัวไปตรวจศพของฟางเฉาพบว่ามีเข็มปักผ้าเล็กๆอยู่ ตรงกลางหน้าผาก สตรีผู้ไม่เป็นวรยุทธ์กลับใช้เข็มปักผ้าสังหารฟาง เฉาที่มีวรยุทธ์เก่งกล้าได้
พวกเขาสะเพร่าเองคิดว่าหญิงที่ไม่เป็นวรยุทธ์จะไม่มีพิษภัยอะไร ใครจะรู้ว่านางจะใช้วิธีนี้ !
“มัวรออะไรอยู่เล่า ? ไปตามสิ ! “หญิงแก่โกรรจนหน้าแดง ในใจ เกลียดสตรีเจ้าเล่ห์ผู้นี้อย่างมาก
สายลมในฤดูหนาวหนาวเย็นอย่างมากยิ่งช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์
ตกดิน
หลินซินเยียนใช้โอกาสตอนที่เกิดเรื่องวุ่นวายหนีออกจากเรือน หลังนั้นเดินตรงมาที่ทำการส่งสารใช้สิ่งของมีค่าอย่างเดียวที่พกติดตัว มาเป็นหยกที่โม่จื่อฟงมอบไว้ให้แลกกับม้าหนึ่งตัวและควบม้าวิ่งออกไป อย่างไม่ลังเล
ตอนที่นางหยิบหยกออกมา นางจำท่าทางของคนขายม้า ที่ทำการส่งสารได้สีหน้าที่เต็มไปด้วยความเหลือเชื่อบางทีหยกชิ้นนั้น อาจจะมีค่ามากกว่าที่นางคิดไว้เช่นนั้นแล้วทำไม?ตอนที่หนีเพื่อเอาตัว รอดถึงจะให้จ่ายมากน้อยแค่ไหนก็ไม่สำคัญทั้งนั้น
ในตอนนี้สิ่งของที่มีค่าในตัวนางก็มีแต่หยกนี้ เพียงแค่สามารถ หนีได้ ล้วนคุ้มค่ายิ่งนัก!
หลินซินเยียนขี่ม้าไปสักพักเห็นชายวัยกลางคนกำลังแบกถุงผ้าที่ ทั้งหนาและหนักอยู่บนถนนจึงดึงสายบังเหียนให้ม้าหยุดวิ่งทันที
“คุณลุง ม้าตัวนี้ส่งให้ท่าน”หลินซินเยียนยิ้มหวานดวงตาใสแป๋ว
ชายวัยกลางคนผู้นั้นนิ่งอึ้งไปสักพัก เอียงคอมองนางอย่าง งุนงง “แม่นางอย่าล้อข้าเล่นเลย ม้าตัวนี้นำไปแลกเป็นเงินพอเลี้ยงตัว ข้าไปได้หลายเดือน เจ้ายกให้ข้าง่ายๆเช่นนี้ได้ รี ?”
หลินซินเยียนลงจากหลังม้านาสายบังเหียนวางไว้ในมือของ เขา”ข้าพูดจริง ท่านขี่ม้าไปเถิดก่อนที่ข้ายังไม่เปลี่ยนใจ ท่านจงรีบขี่ ม้าไปเถอะ แล้วท่านก็ไม่ได้เสียอะไร”
ชายวัยกลางคนนั้นลังเลเล็กน้อยแต่เมื่อคิดอย่างดีแล้วว่าตัวเขาก็ ไม่ได้เสียหายอะไร อยากจะรวยต้องยอมเสี่ยง ไม่ลองก็ไม่รู้จึง กัดฟันกระโดดขึ้นหลังม้า”ครั้งนี้เป็นเจ้าที่เต็มใจยกให้ข้า อย่าโทษว่า ข้ารังแกเด็กอย่างเจ้าแล้วกัน”
“ไปเถิด”หลินซินเยียนตบหลังไปหนึ่งที่ม้าวิ่งทะยานตัวออกไป นางยกมือขึ้นปัดยุ่งไปมาแล้วถอยหลังเดินเข้าไปในป่าซ่อนตัวอยู่หลัง ต้นไม้ใหญ่ สายตาจ้องมองไปบนถนน
ผ่านไปสักพักมีม้าสองสามตัววิ่งตามมา ม้าไม่ได้หยุดยังคงวิ่งมุ่ง หน้าไปบนถนน
ในป่าเงียบสงบหลินซินเยียนที่ซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ใหญ่เดินออก มาอย่างไม่รีบร้อน ผ่านไปสักพักก็เห็นพวกสาวใช้และคนงานวิ่งกลับ มา
พอหลังจากที่รอให้พวกเขาจากไป ในที่สุดหลินซินเยียนก็เดิน ออกจากป่า
นางยื่นมือออกไป แสงอาทิตย์ที่ส่องมาในมืออบอุ่นยิ่งนัก นี่เป็น ความรู้สึกของการเป็นอิสระ!
นางยิ้มแต่ไม่อาจชะล่าใจได้ ยิ่งตอนที่นางไม่มีเงินตัวอยากจะมี ชีวิตอยู่รอดต่อไปคงไม่ง่ายแน่
ทุ่งหญ้าเขตชายแดนมักจะทำให้รู้สึกเงียบเหงาและเปล่าเปลี่ยว ใจอย่างมาก บนทุ่งหญ้ามีรถม้าสิบกว่าคันจอดเรียงรายอยู่ แม้จะมี คนยืนอยู่เป็นจำนวนมากแต่ในทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่นี้มองเห็นเป็นเพียง แค่มดตัวเล็กๆ
อินทรีตัวหนึ่งกางปีกบินวนไปมาระหว่างก้อนเมฆผ่านไปพริบตา เดียวก็บินดิ่งลงมาเกาะอยู่บนรถม้าที่อยู่แถวหน้าในที่สุด
ในรถม้า มือที่สะอาดดูทรงพลังแต่เรียวงามก็ยื่นออกไปอินทรีตัว นั้นคล้ายกับจ่ามือนั้นได้จึงก้มหน้าคายจดหมายออกมาให้ในมือ
“เป็นสตรีที่อยู่เฉยไม่เป็นจริงๆ”
เสียงที่เย็นชาได้ดังออกมาจากในรถม้า จินมู่ที่อยู่ข้างหน้าเดินมา หา”ท่านอ่องเกิดเรื่องกับแม่นางซีนเยียนรี ?”
“อืม นางหนีไปแล้ว”โม่จื่อฟงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่เสียงที่ ดั้งในกลางทุ่งหญ้าที่โล่งแม้อากาศจะหนาวเย็นกลับเป็นน้ำเสียงที่ไม่มี ความโกรธเคืองใดๆ
จินมู่แปลกใจ”เป็นไปได้อย่างไร คนที่เรือนล้วนมีวรยุทธ์เก่งกล้า แม่นางซินเยียนไม่เป็นวรยุทธ์จะหนีได้อย่างไร?”
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ