The king of War

บทที่ 274 น้ำตาจระเข้



บทที่ 274 น้ำตาจระเข้

สองพี่น้องฉินซีกับฉันเอาแต่เฝ้าอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉิน น้ำตา ของทั้งคู่นั้นร้องจนแห้งเหือดไปนานแล้ว ตอนนี้ต่างก็ดวงตาแดง กา สีหน้าร้อนรน

สิ่งที่ทำให้หยางเฉินแปลกใจคือ โจวซุ่ยที่ไม่ค่อยชอบหน้า ฉันต้าหย่งเท่าไหร่นัก กลับมีสีหน้าที่กังวล

และสิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ โจวชุ่ยนั้นกลัวว่าฉันต้าหย่งจะถูกช่วย ชีวิตไว้ได้ ฉันต้าหย่งนั้นเกิดเรื่องตอนห้าโมงเย็นของวันนั้น จน เจ็ดโมงเช้าของอีกวันถึงถูกเข็นออกจากห้องฉุกเฉิน

“พ่อคะ!”

พอเห็นฉินต้าหย่งที่มีเครื่องมือมากมายเสียบอยู่ตามตัว สองพี่น้องก็ร้องไห้ออกมาทันที

โชคดี ที่เขายังมีชีวิตอยู่

แต่สีหน้าของโจวชุ่ยนั้นกลับทำหน้าไม่ถูกด้วยความร้อนรน

“คุณหมอคะ พ่อของฉันเป็นยังไงบ้างคะ?” ฉินซีจับมือของหมอไว้ แล้วถามไปด้วยความตื่นเต้น

“ตอนนี้เข้าพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่สมองก็ได้รับการกระทบ กระเทือนอย่างหนัก บางทีชีวิตของเขาต่อจากนี้ อาจจะเป็นแบบ นี้ไปตลอดก็ได้ครับ!” หมอพูดออกมาด้วยสีหน้าที่รู้สึกผิด
สําหรับคนที่เป็นหมอแล้ว การต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้ ในใจ ของพวกเขานั้นต้องรู้สึกแย่เป็นอย่างมาก

“หมายความว่ายังไงคะ?

ฉันทำหน้าค่อนข้างช็อก น้ำตาของเธอทะลักออกมาราวกับ น้ำป่าที่ไหลเชี่ยว จนมันเต็มหน้าไปหมด

ฉันเองก็ไม่ต่างกัน

ส่วนโจวซุ่ยที่ค่อนข้างเอาแต่ใจ เธอจึงตะคอกออกไปเสียง ดังว่า “คุณพูดให้มันชัดเจนหน่อยได้มั้ย ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกัน แน่?”

“อาการของคนไข้นั้นสาหัสมาก นอกจากพวกการตอบสนอง ของระบบประสาทบางอย่างกับระบบการเผาผลาญการย่อย สลายและการขับถ่ายแล้ว การตอบสนองต่อการรับรู้ของเขาก็ได้ สูญเสียไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว โดยเขานั้นไม่สามารถช่วยเหลืออะไร ตัวเองได้เลยครับ

หมอนั้นได้ใช้ความเข้าใจของหมออธิบายไปก่อนรอบหนึ่ง จากนั้นก็พูดต่อว่า “พูดง่ายๆ ก็คือ เจ้าชายนิทราครับ! หลังจากนี้ คนไข้จะสามารถฟื้นได้รึเปล่านั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวเขาเองแล้ว ครับ”

ตบ!

คำพูดเหล่านี้ของหมอ เป็นเหมือนกับฟ้าผ่า ที่ดังขึ้นในหัวของ ฉินซีและฉินยี น้ำตาของสองพี่น้องนั้นเอ่อล้นออกมาทันที
หยางเฉินเองก็อึ้งไปเหมือนกัน ดวงตาที่แดงจ้องมองไปยัง ใบหน้าที่คุ้นเคยนั่น ในใจเกิดความเจ็บปวดที่ไม่สามารถพูด ออกมาได้

สําหรับคนที่ไม่เคยได้รับความรักจากพ่อมาตั้งแต่เด็กอย่าง หยางเฉินนั้น ฉันต้าหย่งนั้นก็คือพ่อของเขา

ตอนนี้ หมอกลับบอกว่า ฉันต้าหย่งได้กลายเป็นเจ้าชายนิทรา ไปแล้ว

ฉินซีนั้นเจ็บปวดยิ่งกว่า สองตาเหลือกขึ้นข้างบน แล้วหมดสติ

“พี่คะ!”

ฉันร้องไห้ตะโกนออกมา แล้วรีบเข้าไปประคองฉันเอาไว้ ตอนที่ฉินซีฟื้นขึ้นมานั้น มันก็ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้ว เพียงแต่หลังจากที่เธอตื่นขึ้นมา ก็ไม่ยอมพูดอะไรเลย เอาแต่ นอนเงียบอยู่บนเตียง จ้องมองไปยังเพดานด้วยใบหน้าที่ล่อง ลอย

ฉันนั่งอยู่ตรงข้ามเตียงขอฉันต้าหย่ง ไม่พูดไม่จา เครื่อง สําอางบนหน้านั้นได้เลอะจากน้ำตาไปนานแล้ว

โจวซุ่ยเองก็กำลังร้องไห้ไม่ยอมหยุด “ต่อไปจะให้ฉันอยู่ยัง ไง? ต้าหย่ง คุณรีบฟื้นขึ้นมาได้มั้ย?”

ทั่วทั้งห้องนั้น ตกอยู่ในบรรยากาศที่แสนเจ็บปวด
หยางเฉินเดินออกจากห้อง แล้วกดโทรออกไป

ไม่นาน น้ำเสียงที่หยอกล้อก็ดังขึ้น “พี่เฉิน มีเรื่องอะไรจะ รบกวนฉันอีกแล้วใช่มั้ยค่ะ?”

“พี่อ้าย ตอนเย็นของเมื่อวานพ่อตาของผมถูกรถชนครับ เพิ่ง ถูกเอาตัวออกมาจากห้องฉุกเฉิน หมอบอกว่า จากการวินิจฉัย เบื้องต้น เขาได้กลายเป็นเจ้าชายนิทราไปแล้วครับ”

หยางเฉินไม่มีอารมณ์ล้อเล่น เขาพูดด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม พอได้ยินแบบนั้น อ้ายหลินก็รีบเก็บอารมณ์ขันเข้าไปทันที แล้วพูดไปว่า “ตอนนี้ฉันกำลังอยู่ระหว่างการกิจการช่วยเหลือ ทางการแพทย์ระหว่างประเทศ ตอนนี้จึงยังกลับไปไม่ได้ คุณช่วย บอกอาการของคนไข้ให้ฉันอย่างละเอียดที

“พี่อ้าย รบกวนพี่หน่อยนะครับ!” น้ำเสียงของหยางเฉินนั้น เต็มเปี่ยมไปด้วยการขอร้องอย่างจริงใจ

ในความทรงจําของอ้ายหลิงนั้น นี่เป็นครั้งแรกที่หยางเฉินขอร้ องคนอื่นเลย เธอต้องเข้าใจอยู่แล้วว่ามันหมายถึงอะไร เธอจึงรีบ พูดไปว่า “พี่เฉิน พี่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ต่อให้พ่อตาของคุณ กลายเป็นเจ้าชายนิทราไปแล้วจริงๆ มันก็ใช่ว่าจะหมดหวังไป เลยซะหน่อย”

ถึงแม้อ้ายหลินจะมีอายุมากกว่าหยางเฉินหลายปี แต่ด้วย ฐานะของหยางเฉิน อ้ายหลินจึงเรียกเขาว่าพี่เฉินมาโดยตลอด

หยางเฉินพยักหน้าเบาๆ “ขอบคุณครับพี่อ้าย ผมจะไปขอรายงานสรุปผลการตรวจกับหมอเดี๋ยวนี้เลย แล้วจะส่งให้พี่ทาง เมลนะครับ”

“ตกลง!”

หลังจากที่วางสาย หยางเฉินก็รีบไปขอรายงานสรุปผลการ ตรวจทันที จากนั้นก็ส่งมันให้อ้ายหลิน

การที่ตอนนั้นอ้ายหลินได้ถูกส่งไปที่ชายแดนเหนือ รับหน้าที่ รักษาให้เหล่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากสนามรบ นั้นก็เพียงพอที่ จะการันตีได้แล้วว่าฝีมือในการรักษาของเธอนั้นมีมากแค่ไหน

หลังจากที่หยางเฉินส่งรายงานสรุปผลการตรวจให้อ้ายหลิน แล้ว ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง เขาก็ได้รับสายจากอ้ายหลิน “พี่ เงินคะ รายงานสรุปผลการตรวจนั้นฉันได้อ่านดูแล้ว ถ้าอธิบาย อย่างละเอียดคุณก็คงไม่เข้าใจ พูดง่ายๆ ก็คือสถานการณ์ของ เขาไม่ถือว่าหนักหนามาก มีหวังอย่างมากที่เขาจะมีโอกาสพื้น ขึ้นมาได้ค่ะ”

“ดีมากๆ เลยครับ!”

เมื่อได้รับข่าวดีนี้ หยางเฉินก็ตะโกนออกมาด้วยความดีใจ พอ เห็นคนที่ผ่านไปผ่านมากำลังมองมาที่เขา เขาจึงเก็บอาการเอา ไว้

อ้ายหลินพูดไปยิ้มไปว่า “ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ในอีกหนึ่ง อาทิตย์ ภารกิจของฉันก็จะเสร็จสิ้น พอกลับประเทศ ฉันจะไปที่ เมืองเจียงโจวทันทีเลย และถือโอกาสไปดูโรคโลหิตมีสารของ ปัสสาวะและทำให้เกิดภาวะเป็นพิษขึ้นได้ที่คุณพูดไว้คราวก่อน
พอได้ยินคําพูดของอ้ายหลิน ในที่สุดหยางเฉันก็รู้สึกโล่งอก ได้สักที

ความมั่นใจที่เขามีต่อฝีมือในการรักษาของอ้ายหลินนั้นเต็ม ร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ต่อให้เป็น ในจิ๋วโจว คนที่มีฝีมือทางการ แพทย์เหนือไปกว่าเธอนั้น หยางเฉินยังไม่เคยเจอมาก่อนเลย

เพียงแต่ว่า ตอนนี้อาการของฉันต้าหญิงนั้นหนักสาหัสมาก ก่อนที่จะได้รับการวินิจฉัยจากอ้ายหลิน หยางเฉินก็ยังไม่กล้า บอกเรื่องนี้กับฉินซีและฉัน

พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปสามวันแล้ว

สัญญาณชีพต่างๆ ของฉันต้าหย่งนั้นค่อนข้างคงที่ แค่เขายัง คงนอนเป็นเจ้าชายนิทราอยู่เหมือนเดิมเท่านั้น

สามวันมานี้ ฉินซีกับฉันได้ผลัดเปลี่ยนกันมาเฝ้าฉันต้าหญิงที่ โรงพยาบาล เอาแต่พูดคุยกับฉันต้าหย่งเกี่ยวกับเรื่องราวใน อดีต

ในวันนี้ หลังจากที่ฉินซีเพิ่งเปลี่ยนตัวกับฉินยี โจวซุ่ยก็ได้พูด ขึ้นว่า “นี่เสี่ยว เมื่อเช้าฉันก็คุยกับเสี่ยวไปแล้ว ว่างานของ พวกแกก็ยุ่งมาก ทุกวันยังต้องใช้เวลาอีกครึ่งวันในการเฝ้าพ่อ ของพวกแก มันดงกระทบกับงานน่าดูเลย

“สภาพของพ่อแกตอนนี้ ไม่มีใครรู้ว่าเขายังจะสามารถฟื้นขึ้น มาได้อีกมั้ย พวกแกจะเอาแต่ทำแบบนี้ต่อไปไม่ได้จริงมั้ย?”

“หลังจากนี้ พวกแกก็กลับไปทำงานอย่างสบายใจเถอะ ทางพ่อของแกยังมีฉันอยู่ พอพวกแกเลิกงานแล้ว ค่อยเปลี่ยนกันมา เยี่ยมพ่อแกทุกวันก็ได้ อีกอย่างที่บ้านยังมีเสี้ยวเลี้ยวต้องให้ดูแล อีกคนนะ”

โจวซียจับมือของฉันไว้ พูดด้วยน้ำเสียงที่แสนอบอุ่น พูดไป พูดมา น้ำตาก็ได้เอ่อล้นออกมาเต็มหน้า

หลายวันมานี้ โจวซุ่ยเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เอาแต่ เฝ้าอยู่ที่ข้างเตียงของฉันต้าหย่ง เป็นห่วงเป็นใยฉินซีและฉัน มาก ราวกับเป็นแม่ที่แสนดีคนหนึ่ง

“แม่คะ ขอบคุณมากเลยนะคะ ขอบคุณที่แม่ยอมคิดเพื่อพวก

เราได้มากขนาดนี้” ฉินซีพูดพร้อมกับร้องไห้ด้วยความรู้สึกที่ ซาบซึ้งอยู่เต็มอก โจวซุ่ยยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้ฉินซี แล้วพูดพร้อมกับน้ำตาที่

ไหลรินว่า “เด็กโง่ แกเป็นลูกของฉัน การที่ฉันทำแบบนี้มันก็เป็น

เรื่องที่สมควรอยู่แล้ว จะมาพูดขอบคุณฉันทำไม?”

“แม่คะ!”

ฉันไม่อาจอดกลั้นความเจ็บปวดที่อยู่ในใจได้อีกแล้ว เธอ กอดโจวซุ่ยแล้วร้องไห้ฟูมฟายออกมา

หลายวันที่ผ่านมา หัวใจของเธอนั้นต้องบอบช้ำอย่างมาก ตอนนี้การที่โจวชุ่ยพูดมาแบบนั้น มันก็ทำให้เธอรู้สึกว่าอยาก จะระบายความทุกข์ทั้งหมดที่พบเจอในหลายวันนี้ออกมาให้ หมด
แต่ว่า สิ่งที่เธอมองไม่เห็นก็คือ ดวงตาของโจวซุ่ยที่กำลัง กอดเธออยู่นั้นเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม

ภายใต้การเกลี้ยกล่อมที่ “หวังดี” ของโจวชุ่ย ในที่สุดฉินซี และฉันก็ยอมใจอ่อน จนกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ ทุกวันหลัง จากที่เลิกงานแล้ว ทั้งคู่ก็ผลัดเปลี่ยนกันมาที่โรงพยาบาล ส่วน อีกคนก็คอยดูแลเสี้ยวเสี้ยวอยู่ที่บ้าน

ส่วนหยางเฉินนั้น ก็เอาแต่สืบหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องที่เกิด ขึ้นกับฉันต้าหย่งอยู่ทุกวัน

กวนเจิ้งซานได้ตรวจสอบเรื่องของคนก่อเหตุได้อย่างละเอียด ยิบแล้ว แต่ก็ไม่เจอเบาะแสอะไรเลย

ดูเหมือนมันจะเป็นแค่อุบัติเหตุจริงๆ

ในวันที่ห้าหลังจากที่เกิดเรื่องขึ้นกับฉันต้าหย่ง หยางเฉินก็ได้ รับสายที่โทรมาจากกวนเจิ้งซาน “คุณหยางครับเรื่องที่เกิดขึ้นกับ พ่อตาของคุณ มีเบาะแสแล้วครับ!”

“ผมตามหาภรรยาของหูฉาวเจอแล้วครับ!”

หูฉาวก็คือคนร้ายที่ขับรถ วันที่เกิดเรื่อง กวนเจิ้งซานก็สืบหา ข้อมูลทุกอย่างของหูฉาวได้แล้ว แต่ภรรยาของหูฉาวก็ได้หายตัว ไปในวันนั้นทันที

“คุณมารับผมที่เยี่ยนเฉินกรุ๊ปตอนนี้เลย!” หยางเฉินพูด

“คุณหยางครับ ผมไปเอาตัวภรรยาของหูฉาวมาเลยจะดีกว่า นะครับ” กวนเจิ้งซานบอก
“เรื่องนี้ ผมต้องการจัดการด้วยตนเอง!” หยางเฉินพูดโดยไม่ ยอมให้ใครเข้ามาแทรกแซง

กวนเจิ้งซานไม่กล้าเกลี้ยกล่อมอะไรอีก และรีบพูดไปว่า “ครับ

ผมจะไปรับคุณตอนนี้เลยครับ!” หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง เมอร์เซเดส เบนซ์ จีคลาสกันก็ได้

มาจอดอยู่ที่หน้าเยียนเฉินกรุ๊ป

กวนเจิ้งซานมารับหยางเฉินถึงหน้าประตูด้วยตนเอง รถพุ่ง ตรงไปยังสถานที่ที่ชื่อว่าหมู่บ้านเหลียงในเขตของเมืองเจียงโจว


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ