The king of War

บทที่ 242 แตกหักกับฉินซี



บทที่ 242 แตกหักกับฉินซี

คำพูดของโจวอทรง ทำให้ฉันมีสีหน้าเคร่งขรึม

ถ้าเป็นเมื่อวาน เธออาจจะไม่แสดงท่าทีเช่นนี้ แต่การกระทำ ของเจิ้งเหม่ยหลิงเมื่อคืน ทำให้เธอผิดหวังกับครอบครัวนี้มาก

ตั้งแต่พวกเธอมาถึงตระกูลโจวตั้งแต่เมื่อวาน จนกระทั่งงาน แต่งวันนี้ โจวอทรงยังคงดูถูกพวกเธอต่อหน้าทุกคน

ทั้งหมดนี้ ทำให้ฉันทนไม่ไหว

“คุณน้าไม่มีสิทธิ์มาตัดสินว่าสามีของหนูเป็นคนยังไง ถึงเขา จะเกาะผู้หญิงกินจริงๆ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับน้าเหรอคะ”

ฉันพูดด้วยสีหน้าราบเรียบ จากนั้นจึงพูดว่า “ถ้าหนูจำไม่ผิด

สี่ปีที่แล้ว น้ายืมเงินหนูไปสามแสนไม่ใช่เหรอคะ”

“แถมลับหลังพวกเรา แม่ยังให้น้ายืมเงินไปอีกสองแสน

“ตอนนี้ก็ผ่านไป ปีแล้ว น้ายังไม่คืนให้เราสักบาท หนูว่ากำไล หยกที่น้าใส่ น่าจะประมาณห้าหมื่นสินะ น่าจะไม่ได้เดือดร้อน เรื่องเงิน ควรจะคืนเงินห้าแสน ให้เราได้แล้วมั้งคะ แน่นอนว่า เห็นแก่ที่เป็นญาติกัน หนูจะไม่พูดถึงเรื่องดอกเบี้ย”

คำพูดที่โจวอวี้หรงพุ่งเป้าไปที่หยางเฉินกับฉันยี เรียกความ

สนใจจากทุกคน

ตอนนี้ฉินซีเลียนแบบท่าทีของโจวอวี้หรง โดยจงใจพูดเสียงดัง ทันใดนั้น ในห้องบอลรูมขนาดใหญ่ ทุกคนล้วนได้ยินเสียง ของเธอ

ใครก็ไม่คิดว่าฉันจะทวงหนี้โจวอทรงในสถานการณ์แบบนี้ ปกติแล้ว ฉินซีในสายตาคนตระกูลโจว เป็นผู้หญิงที่มีนิสัย

อ่อนโยน เงินที่ถูกยืมไป เธอไม่เคยเป็นฝ่ายขอคืน

วันนี้ในวันมงคลของตระกูลโจว แถมรอบๆ ยังเต็มไปด้วยแขก ฉินซีมาทวงหนี้ในตอนนี้ นี่เป็นการไม่ไว้หน้าโจวอทรงสักนิด ขนาดหยางเฉินยังคิดไม่ถึง แต่เมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงของ ฉินซี เขาก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก

“เธอพูดอะไรน่ะ”

โจวอทรงพูดออกมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เธอพูดอย่าง โมโหว่า “ฉันเอาเงินสามแสนจากเธอตั้งแต่ตอนไหน เคยยืมเงิน จากแม่เธอตั้งแต่ตอนไหนไม่ทราบ

“เสี่ยว วันนี้เป็นวันดีของพี่ชายที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอ

เห็นแก่หน้าลุงเถอะ อย่าก่อเรื่องเลย

ไม่รู้โจวอวี้เจี้ยเดินมาข้างฉินซีตั้งแต่ตอนไหน เขาพูดกับเธอ เสียงเบา

ฉันไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น เธอพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “คุณ ลุง ถ้าคุณลุงไม่พูด หนูเกือบลืมคุณลุงไปแล้ว คฤหาสน์สองหลัง ในตระกูลโจว สร้างจากเงินของแม่หนู คฤหาสน์หลังที่คุณตาคุณยายอยู่ ถือว่าเป็นความกตัญญูจากพวกเรา แต่หลังที่คุณลุงอยู่ สร้างจากเงินร้อยกว่าล้าน ตอนนี้ชีวิตของคุณลุงช่างราบรื่น ขับ รถคันละหกเจ็ดแสน เงินหนึ่งล้านคงไม่เท่าไร จะคืนพวกเราเลย ไหมคะ”

คําพูดที่น่าตกใจออกมา

ฉินซีเพิ่งทวงหนี้จากโจวอหรง ตอนนี้เธอหันมาทวงหนี้โจวอ เจียต่อ ตอนนี้ทำให้คนในตระกูลโจวอึ้งมาก

นี่ใช่ฉินซีที่ยอมก้มหัวให้คนอื่นโดยไม่บ่นอะไรสักคำหรือเปล่า

“ไร้สาระ!”

“คฤหาสน์สองหลังนั้น เป็นเงินที่ฉันใช้เงินสร้าง เกี่ยวอะไรกับ แม่ของเธอ”

“โจวซุ่ย เธอยังไม่ออกมาอธิบายอีกเหรอ!”

โจวอวี้เจี๋ยหงุดหงิดจนโมโห เขาตวาดใส่โจวซุ่ย

เรื่องนี้ฉันต้าหย่งพูดขึ้นในตระกูล ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ตอนนั้น

ยังแค่คนในตระกูล แต่วันนี้กลับโดนฉินซีแฉ ต่อหน้าของเพื่อนสนิทที่มาร่วมงาน

นี่เป็นเรื่องที่น่าอับอายในตระกูลโจว

“เสี่ยวซี อย่าก่อเรื่อง!”

โจวชุ่ยพูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ
ฉินซีแสยะยิ้มให้ตัวเอง “ทำไมเหรอ คุณไม่มีความกล้าแม้แต่ จะยอมรับความผิดของตัวเองเลยหรือ

“ถือว่าแม่ขอเถอะ ให้งานแต่งสิ้นสุดลงก่อน เราค่อยมา ปรึกษากันเรื่องนี้ โอเคไหม

โจวซุ่ยพูดด้วยสีหน้าอ้อนวอน แต่ลึกๆ ในแววตาของเธอ

เต็มไปด้วยความเย็นชา

“ลับหลังพวกเรา คุณท่าเรื่องเลวๆ ตั้งเยอะแยะ ยังกล้ามา ขอร้องพวกเราอีกเหรอ”

ฉันยีพูดด้วยความโมโห

โจวซุ่ยเงียบ ถ้าเธอยังไม่ถึงเป้าหมาย ยังไงเธอก็ต้องอดทน เอาไว้ “แม่ผิดไปแล้ว แม่รับปากพวกเธอสองคน รอให้งานแต่งสิ้น

สุดลง เราจะไปคุยกับคุณลุงกับคุณน้าของพวกเธอ

โจวยู่ฮุ่ยพูดเสียงเบา ดวงตาของเธอแดงก่ำ “พวกเธอดูสิ รอบๆ มีแต่แขกที่กำลังมองอยู่ วันนี้เป็นงานแต่งของลูกพี่ลูกน้อง พวกเธอ ถ้าพวกเธอยังก่อเรื่องแบบนี้ มันจะดีหรือ

ดวงตาของฉินซีแดง ถ้าเธอไม่โดนบีบบังคับจนถึงขนาดนี้ เธอจะข่มขู่คนอื่นไปทำไม

เธอกวาดตามองรอบๆ เห็นความดูถูกและเย้ยหยันจาก ใบหน้าของทุกคน
ในที่สุด เธอก็ใจอ่อน “ได้ เราค่อยคุยกัน ตอนงานแต่งจบ

เรียบร้อย!”

ฉันกำลังจะพูดเกลี้ยกล่อม จู่ๆ หยางเฉินพูดขึ้นว่า “เสี่ยว ค่อยว่ากันเถอะ!”

สำหรับฉัน คำพูดของหยางเฉินได้ผลกว่าใครทั้งนั้น เธอ สะกดกลั้น ที่จะพูดออกมา

ในใจของหยางเฉันรู้สึกเศร้าและเวทนา เดิมทีเขาคิดว่าการ แต่งตัวดี จะทำให้ฉันซีหน้ากลับมาได้ แต่คิดไม่ถึงว่าคนในตระ กูลโจว ก็ยังคงไม่เลิกดูถูกเขา

“ก็ได้ ฉันเชื่อพี่เขย

ฉันยีพูดประชดออกมาว่า “เกิดเป็นมนุษย์ อย่าทำตัวเป็นคน หนีหนี้เหมือนใครบางคน

“คนตา เธอว่าใครเป็นคนหนีหนี้ไม่ทราบ

เมื่อได้ยินคำพูดของฉันยี โจวอทรงโมโหขึ้นมาทันที เธอ กระทืบเท้าลุกขึ้นยืน และตวาดใส่ฉัน

“น้าว่าใครเป็นคนไม่ทราบ

ฉันไม่กลัวแม้แต่น้อย เธอสบตาและพูดว่า “เห็นแก่ที่น้าเป็น ผู้อาวุโส หนูจะไม่ถือสา น้าอย่ามาทำเกินไป!”

“เธอยังเห็นฉันเป็นผู้อาวุโสเหรอ”
โจวอวีทรงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เธอคิดว่าตัวเองเก่งมาก หรือไง ถ้าไม่ขายตัว เธอจะได้เป็นผู้จัดการใหญ่ของเยี่ยนเงินก รุ๊ปเหรอ”

“โจวอวี้หรง เธอพูดอะไรออกมา

ฉันมีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ เธอคิดไม่ถึงว่าน้าของตัวเอง จะ พูดแบบนี้กับเธอ

“ทำไม กล้าทำแต่ไม่กล้ารับเหรอ ไม่เชื่อก็ถามคนที่นี่สิ ยัยเด็ก ที่เพิ่งจบมหาวิทยาลัย มีสิทธิ์อะไรที่จะรับตำแหน่งผู้จัดการใหญ่ ของเยี่ยนเฉินกรุ๊ป”

โจวอวี้หรงดูถูกฉันต่อหน้าทุกคน

ทุกคนมีสีหน้าตกตะลึง ฉันมองสายตาของพวกเขา ก็รู้เลยว่า พวกเขาเชื่อคําพูดของโจวอวี้หรง

“ยังมีนังนี่อีกคน บ้าเงินจนบ้าไปแล้วหรือไง ฉันติดหนี้ ครอบครัวเธอห้าแสนงั้นหรือ ทำไมเธอถึงไม่พูดว่าห้าล้านไปเลย ล่ะ”

โจวอวี้หรงด่าฉันยีจบ เธอก็หันไปด่าฉันต่อ

สีหน้าของหยางเฉินเย็นชาลงเรื่อยๆ ดูถูกเขาได้ แต่อย่ามา ดูถูกภรรยาของเขา

ถึงแม้ฉินซีจะโมโห แต่เธอยังไม่พูดอะไรออกมา รอให้โจวอจี้หรงพูดจบ
เมื่อโจวอทรงพูดจบ ฉินซีจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พูดพอ หรือยัง ถ้าพูดพอแล้ว งั้นเรามาคุยกันตอนนี้เลย เรื่องที่คุณคิด หนี้แล้วไม่ยอมจ่าย!!

เมื่อพูดจบ ผู้หญิงวัยกลางคนในชุดทำงาน เดินเข้ามาข้างฉัน ซี เธอมองมายังโจวอหรง “สวัสดีค่ะ ฉันคือหวังจิง จาก สำนักงานกฎหมายเฉินซี สำนักงานกฎหมายของฉัน ได้รับการ มอบหมายจากคุณฉินซี ให้จัดการเรื่องการค้างชำระเงินของคุณ โจวอวี้หรง โดยการแจ้งเรื่องเป็นหนังสือทางด้านกฎหมาย

จากนั้นทนายจึงพูดพฤติกรรมที่โจวอทรงไม่คืนเงิน และผลที่ ต้องรับผิดชอบออกมาทั้งหมด

ตอนนี้โจวอทรงตระหนักได้ว่า ฉันซีเอาจริงกับเธอแล้ว

“คุณน้าคิดว่าการที่ไม่ยอมรับ จะหลุดพ้นได้เหรอ อย่าลืมสิคะ ตอนที่หนูให้น้ายืมเงิน น้าเซ็นสัญญาการกู้ยืม นอกจากนี้ ยังมี บัตรที่แม่โอนเงินให้น้า บัตรนั่นหนูเป็นคนจัดการ บันทึกการโอน เงินก็ยังอยู่”

ฉินซีพูดด้วยสีหน้าเฉยชา


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ